ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 104 ฉันอร่อยนะ

ตอนที่104 ฉันอร่อยนะ

วันต่อมา เมื่อผลการสืบสวนของคดีในKTVเมื่อคืนออกมา เหอจื่อจึงรีบบอกฉีเล่ยไปทันที

สิ่งนี้ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกประทับใจต่อการทำงานของภาครัฐจีนเป็นครั้งแรก

แน่นอน เขาเองย่อมทราบว่า นี่เป็นผลมาจากการแรงกดดันของนายพลระดับสูงที่สั่งการลงมาอีกที

สิ่งที่น่าตกใจคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกบอดี้การ์ดชุดสูทดำเหล่านั้นกระทำความผิด แต่ประวัติอาชญากรรมที่ผ่านมาของแต่ละคนยาวเป็นหางว่าว และครั้งนี้ทางเบื้องบนเองก็ต้องการจัดการกับคนพวกนี้อย่างจริงจังแล้ว มีแนวโน้มสูงว่า น่าจะติดคุกกันหัวโต

และสิ่งทำเอาตกตะลึงที่สุดคือ ชายวัยกลางคนที่ต่อสู้กับเขาแบบหนึ่งต่อหนึ่งคืนนั้น เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งมาเฟียในโลกใต้ดินอันดำมืดของจีน แค่ประวัติเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะเอาผิดแล้ว คาดว่าเขายังต้องเผชิญหน้ากับศาลทหารเพื่อรับโทษรุนแรงต่อไป

ส่วนหวางหลิงและกลุ่มรปภ.เองก็โดนทางตำรวจเข้าจับกุมตัวทีหลังเช่นกัน เนื่องจากตรวจพบในภายหลังว่า ภูมิหลังและที่มาของรายได้ค่อนข้างสกปรกไม่น้อย

แต่หม่ารุ่ยถือว่าโชคดีที่สุดในบรรดาทุกคนทั้งหมดแล้ว แม้จะโดนเหอจื่อกล่าวหาว่า เขาล่วงละเมิดและทำอนาจาร แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐาน ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิดในKTV ก็ไม่มีจุดไหนชี้ชัดเลยว่า เขาล่วงละเมิดเธอจริง ข้อหาดังกล่าวจึงถูกปัดตกไป

มิหนำซ้ำยังถูกตัดสินว่าเป็นเหยื่อเฉกเช่นเดียวกับพวกฉีเล่ย…

แต่หากจะพูดกันตามความจริง เจ้าหมารุ่ยคนนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นเหยื่อก็คงไม่ผิด เดิมทีเขาต้องการแค่จะแก้แค้นฉีเล่ย แต่สุดท้ายกลับถูกเหอจื่ออัดจนน่วม แถมยังโดนซูจงกระหน่ำหลังมือใส่จนใบหน้าบวมช้ำอาการหนัก

สุดท้ายนี้ เขาจึงถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล โดยมีสมาชิกในครอบครัวช่วยย้ายไปรักษาตัวในห้องVIP

หลังจากสอนวิชา‘การวินิจฉัย’เสร็จสิ้นทั้งสองคาบ ฉีเล่ยก็เดินออกจากห้องเรียนกำลังกลับไปยังห้องพักอาจารย์ แต่ทันใดนั้นเองเสียงเรียกเข้ามือถือก็พลันดังขึ้น

บนหน้าจอปรากฏหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ฉีเล่ยกดรับและเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ฮัลโหล นั่นใครพูดครับ?”

“ทายสิว่าฉันเป็นใคร?”

ปลายสายเป็นสุ้มเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาว และดูท่าเธอจะจงใจแกล้งบีบเสียงเพื่อไม่ให้ฉีเล่ยจำได้

ปฏิกิริยาแรกที่เขานึกขึ้นได้คือ แม่ของเหอจื่อ เพราะเธอคนนี้ดูท่าค่อนข้างขี้เล่น

แต่ทันใดนั้นฉีเล่ยก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ตนไม่เคยให้เบอร์กับมู่เซียวหยานไป และยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องโทรหาเขาในเวลานี้

“ผมไม่รู้ครับ”

ฉีเล่ยเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นต่อว่า

“ถ้ามีอะไรก็พูดมา แต่ถ้าไม่มีก็แค่นี้นะครับ”

หญิงสาวปลายเสียงเริ่มวิตกทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เธอรีบกล่าวขึ้นทันทีเจืออารมณ์ขุ่นเคืองว่า

“นี่เจ้าบ้า! แค่ฉันไม่บอกชื่อถึงกับจะวางสายใส่เลยเหรอ?”

“เลิกก่อกวนได้แล้วครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณคือใคร”

สีหน้าของฉีเล่ยอัดแน่นไปด้วยความหมองหม่น

“ถ้ายังไม่บอกว่าคุณเป็นใคร ก็แค่นี้นะครับ ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้น”

“ทำฉันเจ็บแล้วไม่รับผิดชอบ แถมตอนนี้ยังจะวางสายใส่อีก!”

ทางฝั่งปลายสายเวลานี้ หญิงสาวคนนั้นได้ปั้นหน้ามุ่ยใส่แล้ว

“ไม่รับผิดชอบ? ผมไม่รับผิดชอบอะไร?”

น้ำเสียงของหญิงสาวคนนั้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งเจือหงุดหงิดเล็กน้อยว่า

“ตาบ้า! นี่ฉันเอง หลินชูวโม่ จำไม่ได้รึไงตอนที่ฉันขอเบอร์นายน่ะ? ต้องให้ฉันเขย่าหัวเตือนความจำหน่อยไหม? แล้วนี่หมายความว่ายังไงล่ะ? ทำไมไม่บันทึกเบอร์ของฉันเอาไว้!”

“อ่อ ขอโทษครับ ผมลืม”

ฉีเล่ยจะบันทึกเบอร์ของคนที่เขาต้องการจะติดต่อด้วยเท่านั้น แน่นอนว่าสำหรับหลิวชูวโม่คนนี้ เขาไม่ต้องการจะติดต่อหรือพบหน้าเธออีกเป็นครั้งที่สอง จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่จำเป็นต้องบันทึกเบอร์ของอีกฝ่าย

“ฉันรู้นะว่า นายมีสอนแค่สองคาบเช้า ตอนนี้คงหมดเวลางานแล้วถูกไหม? มารอเจอฉันหลังอาคาร ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากนายหน่อยน่ะ”

หลิวชูวโม่พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้สุดฤทธิ์ มีอย่างที่ไหนผู้ชายที่ปฏิบัติกับเธอเย็นชาได้ขนาดนี้?

ที่ฉันสนใจในตัวนายเพราะนายหน้าตาดี แล้วฉันเองก็มั่นใจว่า หน้าตาของฉันก็ไม่ได้แย่ แล้วทำไมถึงไม่สนใจกันเลย?

หลิวชูวโม่เธอเป็นคนสวยมากคนนึง เพียงว่าสไตล์อาจจะแตกต่างกับหลี่ถงซีและเหอจื่อ ดังที่เขากล่าวกันไว้ว่า ดอกไม้ร้อยชนิดก็หอมร้อยกลิ่นฉันท์ใด หญิงงามร้อยคนก็ทรงเสน่ห์ร้อยแบบฉันท์นั้น

ถ้าเปรียบหลี่ถงซีเป็นน้ำแข็ง หรือเหอจื่อเป็นดั่งลูกกวาดรสหวาน หลินชูวโม่คนนี้ก็ร้อนแรงดั่งไฟ

หากพูดว่า การพบกันครั้งแรกกับสาวคนใดปลุกเร้าจิตวิญญาณมากที่สุด คงหนีไม่พ้นหลิวชูวโม่

ไม่ใช่แค่ทรวดทรงอันอวบอิ่มและสมบูรณ์แบบ แต่ยังรวมไปถึงวิธีการพูดที่น่าหลงใหล

โดยรวมแล้วช่างมีเสน่ห์เกินต้านทาน

ฉีเล่ยเดินตรงไปยังอาคารสอนของเธออย่างช่วยไม่ได้ พอไปถึงก็เห็นหลินชูวโม่เดินมาแต่ไกล เขานึกสงสัยอยู่ภายในใจว่า บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของเธอยังมีสมาธิฟังการบรรยายของเธออยู่จริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าความสนใจทั้งหมดตกไปอยู่บนเสื้อผ้าอันน้อยชิ้นบนร่างกายของเธอแทน?

คงต้องบอกอย่างหนึ่งว่า หลินชูวโม่เป็นผู้หญิงที่รู้จักใช้ประโยชน์จากข้อดีของตัวเองถึงขีดสุด สไตล์การแต่งตัวแบบนี้ ผู้ชายคนไหนได้เห็นเพียงปราดตาเดียว สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวน่าจะเป็นคำว่า‘เตียง’

พอเห็นว่าฉีเล่ยมาแล้ว หลินชูวโม่ก็รีบสับเท้าตรงเข้าไปกอดแขนของอีกฝ่ายทันที ปั้นหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะกล่าวว่า

“นี่! ฉีเล่ย ทำไมนายต้องทำลายความภาคภูมิใจของฉันด้วย? รู้ไหมว่ามีผู้ชายมากมายขนาดไหนกันที่เฝ้าใฝ่หาเบอร์มือถือของฉัน แต่ฉันก็ไม่เคยให้ใครเลยสักคน! แต่นายกลับลืมบันทึกนี่นะ? นี่นายลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ยังไง?”

“ผมไม่ได้ใส่ใจน่ะครับ ก็คิดแค่ว่าเดี๋ยวบันทึกทีหลังจนสุดท้ายก็ลืมไป”

ฉีเล่ยกล่าวจบก็พยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเธอ แต่ที่ไหนได้พอยิ่งขัดขืนแบบนั้น อีกฝ่ายก็ยิ่งกอดรัดแขนของเขาแน่นเข้าไปใหญ่

หลินชูวโม่เงยหน้าซบจนจมลงบนแขนของฉีเล่ย ก่อนยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“แหม…ปากคอเราะร้ายจังนะ ฉันไม่สำคัญสำหรับนายขนาดนั้นจริงเหรอ? แต่นายเป็นคนทำร้ายฉันจนหัวเข่าเป็นแผลเลยนะ จะไม่รับผิดชอบหน่อยรึไง?”

“ผมก็ให้เบอร์คุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่เกี่ยวกันหนิ ประเด็นมันอยู่ที่นายต่างหากที่ไม่ยอมบันทึกเบอร์ฉัน ทั้งๆที่ฉันบันทึกเบอร์นาย หรือว่า…คิดจะหนีไปโดยไม่รับผิดชอบกันแน่?”

“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นครับ”

ฉีเล่ยลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนชำเลืองมองดูบาดแผลบริเวณเข่าของอีกฝ่ายและเอ่ยขึ้นว่า

“ก็ไม่เป็นอะไรแล้วหนิ?”

ในความเป็นจริงเธอปกติดีแล้ว ซึ่งบาดแผลบริเวณหัวเข่าเองก็หายสนิทเรียบร้อย นอกจากนี้ผงยาสีดำที่ฉีเล่ยทาไว้ให้ตั้งแต่วันนั้น ยังช่วยทำให้ไม่เหลือทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้อีกด้วย

หลินชูวโม่แอบเคาะหัวของเขาไปทีหนึ่ง

“นี่นายกำลังมองอะไรอยู่? ถ้ายังกล้ามองอีก ฉันจะควักลูกตานายทิ้งซะ!”

“…”

ฉีเล่ยพลางคิดกับตัวเองว่า ‘ก็เห็นๆอยู่ว่ากำลังดูแผลเก่า กล้าคิดไปได้ยังไงว่า ผมกำลังลวนลามทางสายตา?’

อย่างไรก็ตามแต่ สีหน้าการแสดงออกของหลินชูวโม่พลันเปลี่ยนไปกะทันหัน เธอทำตัวราวกับเป็นแฟนสาวเกาะติดแฟนหนุ่มแน่น อีกทั้งยังเคลื่อนใบหน้าเข้าปะชิดใบหูของอีกฝ่ายและเอ่ยกระซิบเสียงหวานขึ้นว่า

“ถ้าอยากจะเห็นมากกว่านี้…ก็ตามฉันมาสิ เดี๋ยวฉันให้ดูเพิ่ม อิอิ…”

“ที่ไหน?”

“มากับฉันสิ เดี๋ยวก็รู้…”

“ไม่ล่ะ ผมยังมีงานต้องทำ”

“หยุดเล่นละครได้แล้ว! ฉันเช็คตารางสอนของสาขานายมาหมดแล้ว! วันนี้นายมีสอนแค่สองคาบ!”

“ผม…”

“อะไร? นี่นายลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันแล้วเหรอ? ฉันถูกนายชนจนล้มหัวคะมำกับพื้น ข้อเท้าก็พลิก หัวเข่าก็เป็นแผล นี่นายไม่คิดจะรับผิดชอบกันเลยรึไง? นายยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้างไหม?”

“ไม่ใช่ ผม…”

ฉีเล่ยอยากจะพูดไปตามตรงว่า ตัวเองกลัวหลี่ถงซีจะเสียใจถ้ามาเห็นภาพฉากอะไรแบบนี้ ประการแรกเลย ผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอยังพอไว้ใจคือเขา และถ้าเห็นเขาอยู่กับสาวอื่นแบบนี้อาจทำให้ความไว้ใจดังกล่าวพังพลายลง และอาจทำให้การรักษาหลังจากนี้ยากขึ้นมาก แต่พอคิดไปได้ครึ่งทาง เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ควรพูดเรื่องแบบนี้ออกไป

สำหรับหลินซูวโม่คนนี้ ฉีเล่ยสามารถบอกได้ทันทีว่า นิสัยของเธอเป็นเหมือนขั้วตรงข้ามกับหลี่ถงซีโดยสิ้นเชิง เธอเป็นผู้หญิงแรงและรับมือได้ยากมากหากทำให้โกรธขึ้นมา ดังนั้นเขาไม่ควรสร้างศัตรูให้หลี่ถงซีเพิ่ม

หลินชูวโม่เธอไม่ขับรถส่วนตัว แต่กลับโบกแท็กซี่หลังมหาวิทยาลัยแทน พอดึงฉีเล่ยขึ้นรถได้แล้ว เธอก็ติดตามเข้าไปนั่งและบอกกับคนขับว่า

“ไปถนนตัดใหม่ ที่ร้านชูวโม่เซียงเทียน”

ทว่าสายตาของคนขับกลับจดจ่ออยู่กับหน้าอกหน้าใจของสาวงามผ่านกระจกหลัง ด้วยแววตาแสนตะกละตะกลาม ค่อยได้สติสตาร์ทรถแล่นออกไป

“นี่คุณกำลังจะพาผมไปไหน?”

ฉีเล่ยขมวดคิ้วแน่นเอ่ยถามขึ้น

หลินชูวโม่หัวเราะคิกคักเอ่ยเสียงกระเส่าขึ้นว่า

“ก็นายอยากเห็น…ขาอ่อนของฉันมากกว่านี้ไม่ใช่รึไง? ฉันก็กำลังจะพาไปที่นั่นเพื่อให้นายดูจนสมใจไงล่ะ!”

มือไม้ของคนขับถึงกับสั่นเทาจนเกือบคุมพวงมาลัยไม่อยู่

ภายในใจร้องอุทานลั่นแทบกรีดร้อง ‘ผมเองก็อยากดูเหมือนกัน! พาผมไปด้วยได้ไหมครับคุณพี่!’

ฉีเล่ยรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที

“คุณไม่มีรถส่วนตัวเหรอ?”

“มี แต่ฉันไม่ชอบขับเองน่ะ”

หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า

“การจราจรของปักกิ่งแย่มาก นั่งแท็กซี่แบบนี้สบายกว่าเยอะ เวลารถติดกลางท้องถนนก็แค่นอนหลับบนเบาะหลังนี่แหละ รู้ไหมว่าถ้าผู้หญิงนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจทำให้ใบหน้าเหี่ยวก่อนวัยอันควรนะ”

หลังจากพูดจบ เธอก็เคลื่อนใบหน้าเข้าชิดใกล้กับฉีเล่ยจนลมหายใจไออุ่นแทบจะรดกัน เธอกระซิบเสียงหวานขึ้นเบาๆว่า

“แต่…ฉันชอบนอนกับผู้ชายมากกว่าน่ะ”

“…”

ฉีเล่ยเลือกที่จะเงียบ

“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ? กลัวถูกพี่สาวคนนี้จับกินเหรอ?”

“ไม่”

“ลองชิมฉันสิ ฉัน…อร่อยนะ”

“…”

ยิ่งฉีเล่ยนิ่งเงียบมากเท่าไหร่ หลินชูวโม่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่ารักมากขึ้นเท่านั้น ตลอดการเดินทาง เธอยังคงหว่านเสน่ห์ใส่อีกฝ่ายไม่หยุด

ส่วนทางด้านคนขับรถได้แต่ปั้นหน้าเคร่งขรึม ทุกคนพูดอันแสนยั่วยวนของหลินชูวโม่ได้กรีดแทงลงไปในหัวใจของเขา

โถ่วพ่อหนุ่ม มีอะไรดีก็รับไปเถอะนะ

เขาสัมผัสได้เลยว่า นี่เป็นงานขับรถที่ยากที่สุดตั้งแต่เขาเคยทำอาชีพนี้มาเลย

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset