ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 105 ดูขาอ่อน

ตอนที่105 ดูขาอ่อน

เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง ในที่สุดฉีเล่ยก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ส่วนคนขับเหงื่อแตกจนเปียกชุ่มทั้งแผ่นหลัง

หลินชูวโม่จ่ายค่ารถเสร็จสรรพ คนขับรีบเหยียบคันเร่งจากไปทันที เพื่อความสุขสงบของครอบครัว เขาจำเป็นต้องลบภาพผู้หญิงคนนี้ออกไปโดยเร็วที่สุด!

เธอคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ชูวโม่เซียงเทียน หรือเป็นที่รู้จักในชื่ออย่างเป็นทางการคือ ชูวโม่เซียงเทียน บิลตี้เชน ฮอล์ ฟังจากชื่อแล้วดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นธุรกิจเสริมที่หลินซูวโม่กำลังทำอยู่

หรือบางทีนี่อาจเป็นอาชีพหลัก ส่วนอาชีพเสริมของเธออาจจะเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จะอย่างไรก็ยากเกินกว่าจะบอกได้

“เป็นร้านของคุณเองเหรอครับ?”

ฉีเล่ยชี้ไปที่ตึกตรงหน้าและเอ่ยถามขึ้น

“แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นจะมีชื่อว่า ‘ชูวโม่’ เซียงเทียนเหรอ?”

“แต่คุณเป็นอาจารย์ไม่ใช่เหรอ?”

“แล้วใครบอกว่าอาจารย์ทำธุรกิจไม่ได้?”

หลินชูวโม่จับจ้องยังฉีเล่ยที่มองเธออย่างกับเด็กเลี้ยงเกะ

“ก็นะ ฟังดูน่าแปลกใช่ไหมล่ะ? ก็จะมีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสักกี่คนที่เปิดธุรกิจควบคู่กับงานสอน บางคนเอาแต่แขวนป้ายชื่ออาจารย์ เดินเที่ยวหลังเลิกงานไปวันๆ ส่วนฉันก็ใช้เวลาที่เหลือกับงานอดิเรกของฉัน พอดีฉันชอบเรื่องความสวยความงามน่ะ เลยไปเรียนสาขาศัลยกรรมตกแต่งมาเพิ่ม”

ฉีเล่ยพยักหน้าและเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วพาผมมาที่นี่ทำไม?”

“ก็ฉันอยากให้นายเห็นขาอ่อนของฉันหนิ”

“เอาจริง?”

“ก็ตามนั้น”

“…”

ฉีเล่ยค้นพบแล้วว่า เขาไม่สามารถสื่อสารกับเธอคนนี้ได้รู้เรื่องเลยสักอย่าง

“มาเถอะ มาเถอะ พวกเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า ขอต้อนรับสู่โลกของผู้หญิงนะ นี่นายเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้เข้ามาในร้าน ปกติฉันไม่ต้อนรับลูกค้าผู้ชาย”

คล้อยหลังพูดจบหลินชูวโม่ก็ดึงแขนของฉีเล่ย ลากเข้าไปทันที

“บอสหลิน สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีค่ะบอสหลิน”

เมื่อก้าวเท้าเดินเข้าไป พนักงานทุกคนต่างเอ่ยปากทักทายเธออย่างพร้อมเพรียง และเหลือบมองไปที่ฉีเล่ยเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามอะไร

พวกเธอทราบดีว่า บอสหลินเป็นคนขยัน ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมารวมกับเรื่องงาน แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีผู้ชายถูกพามาที่นี่

ชายหนุ่มคนนี้คงเป็นคนโปรดปรานของบอสหลินอย่างไม่ต้องสงสัย

อาคารทั้งหลังเป็นคลินิกศัลยกรรมขนาดใหญ่ เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปยังชั้นที่สอง ฉีเล่ยก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นในทันใด

ภาพฉากตรงหน้าปรากฏเป็นกลุ่มสาวสวยแต่งตัวแฟชั่นจัดเต็มกำลังนอนเล่นอยู่บนโซฟา ขณะพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดูผิวเผินราวกับที่นี่เป็นแหล่งรวมกลุ่มของเด็กสาวบ้านรวยทั้งหลายแหล่ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่งตัวแต่งหน้าสะสวยและดูดีเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นหลิวชิวโม่เดินตรงเข้ามา เหล่าสาวๆต่างก็โบกมือทักทายเธอกันทันที

“พี่หลินคนสวยของเรามาถึงแล้ว”

“โอ้? วันนี้พี่หลินพาหนุ่มน้อยสุดหล่อมาด้วย เปลี่ยนคนควงอีกแล้วเหรอค่ะ?”

“โอ้โห! ไปหามาจากไหนคะเนี่ย? มานี่เร็วสุดหล่อ มานั่งข้างๆพี่สาวคนนี้นะ”

“พี่หลิน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอค่ะ? ยังดูเด็กอยู่เลย อย่าบอกนะว่า…เป็นลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัย?”

หลินชูวโม่หัวเราะพร้อมกล่าวดุสาวๆไปว่า

“นี่พวกเธอ นับวันยิ่งปากเสียนะ เขาไม่ใช่ผู้ชายของฉัน ฉันเชิญเขาให้มาดูเรียวขายาวของเซียวเซียวต่างหาก”

“อิอิ เซียวเซียว มีหนุ่มมาขอดูเรียวขายาวของเธอเลยนะ ลุกขึ้นให้ดูเร็ว!”

“สุดหล่อ เรียวขาของพี่สาวเองก็สวยไม่แพ้เซียวเซียวเลยนะ อยากดูไหม?”

ฉีเล่ยถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าสาวสวยมากเสน่ห์เกินบรรยาย ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาถูกเหล่าสาวๆหยอกเย้าเล่นไม่หยุดราวกับเป็นลูกเจี๊ยบตัวน้อย ใบหน้าของฉีเล่ยเห่อร้อนแดงขึ้นเป็นสีจางๆ

ทันใดนั้นเองผู้หญิงที่นั่งอยู่มุมห้องก็ยืนขึ้น และตรงมาหาทันที

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉัน เซียวเซียวนะ”

เมื่อสาวสวยคนนี้ลุกขึ้น ฉีเล่ยถึงกับผงะจนร่นถอยออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ

ไม่ใช่เพราะเธอมีหน้าตาน่าเกลียดแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก และเธอยังเป็นคนที่สูงมากอีกด้วย

ดูจากลักษณะแล้ว เธอคนนี้น่าจะสูงประมาณ1.75เมตร บวกกับส้นสูงอีกประมาณ10ซม. ส่วนสูงโดยรวมก็อยู่ที่1.85เมตรเห็นจะได้ ร่างกายครึ่งท่อนบนดูสมส่วนดี ที่ทำให้เธอดูสูงขนาดนี้น่าจะเป็นเพราะเรียวขาอันยาวสวยอย่างแท้จริงนั่น หาใช่ของปลอมแต่อย่างใด…

ถึงแม้เซียวเซียวจะสวมรองเท้าส้นสูงแบบนั้น แต่เธอก็ดูไม่ค่อยต่างจากฉีเล่ยมากนัก ถ้าหากมายืนเทียบกันคงมีความแตกต่างกันไม่เกินครึ่งศีรษะ

เนื่องจากเขาเป็นคนค่อนข้างสูง ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่พบเจอจึงค่อนข้างอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา แต่สำหรับเซียวเซียวคนนี้ไม่จำเป็นต้องกดสายตาก็มองเห็นความงดงามของเธอได้อย่างชัดแจ้ง

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ ผม ฉีเล่ย”

ฉีเล่ยและเซียวเซียวจับมือกันพอเป็นพิธี เป็นภาพฉากที่ดูสุภาพและห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก

จนถึงตอนนี้ฉีเล่ยยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองมาที่นี่ทำไม?

หลินชูวโม่เริ่มขยับริมฝีปากสวยเคลื่อนเข้าใกล้ใบหูของฉีเล่ยอีกครั้ง เธอเอ่ยขึ้นว่า

“ขาอ่อนของเธอสวยไหม?”

“สวย…”

ทันใดนั้นฉีเล่ยรีบส่ายหัวทันทีและรีบแก้คำตอบอย่างร้อนรน

“ปะ-เปล่าครับ แล้ว…แล้วสรุปพาผมมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่?”

“ฮ่าๆๆๆ..”

ดูเหมือนท่าทางการแสดงออกอันเซ่อซ่าของฉีเล่ยเมื่อครู่จะเรียกเสียงหัวเราะให้กับสาวๆเหล่านี้ได้ไม่น้อย บางคนขำหนักจนต้องยกมือขึ้นป้องปาก แค่จ้องขาอ่อนคนอื่นไม่เห็นจะต้องประหม่าจนเลิ่กลั่กขนาดนี้เลย?

“พี่หลิน ถามจริงเถอะ ไปหาหนุ่มหล่อน่ารักขนาดนี้มาจากไหนคะ? นี่…เดี๋ยวหนูให้เงิน ขอยืมตัวไปเล่นด้วยสักวันสองวันได้ไหม?”

“ถ้าฉันให้พวกเธอยืมไปเล่น มีหวังเขาคงโดนเขมือบจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเลยน่ะสิ? ไม่ให้หรอกนะ!”

หลินชูวโม่กล่าวดุพลางหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหันมาพูดกับฉีเล่ยว่า

“เห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม?”

“ผิดปกติงั้นเหรอ?”

พอได้ฟังแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยกลับมาจริงจังทันที พร้อมใช้สายตาอันเฉียบคมเข้าตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะตระหนักได้ว่า มีรอยแผลสีจางปรากฏอยู่บนขาของเซียวเซียว แม้สีจะอ่อน และเนื้อแผลค่อนข้างตื้นเขินมาก แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ไม่ยาก

“นายเห็นรึเปล่า?”

หลินชูวโม่เอ่ยถาม

“เห็นแล้ว”

หลินซูวโม่ปรายสายตาหวานให้ฉีเล่ยและกล่าวต่อว่า

เซียวเซียวเป็นเพื่อนสนิทของฉัน นายมีวิธีช่วยเธอไหม?“

“ไม่มีปัญหา… แต่ขอร้องเถอะครับหยุดทำท่าทำทางแบบนี้ได้แล้ว”

ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และกล่าวไปตามตรงว่า

“ผมประหม่า”

ผู้หญิงหนึ่งคนเทียบเท่าหายนะ เมื่อผู้หญิงมากกว่าสองคนมารวมตัวภายใต้ชายคาเดียวกันถือได้ว่าเป็น‘ทะเลแห่งความหายนะ’

เลกกิ้งคือสิ่งคู่บุญกับนางแบบไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพหรือมือใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาถุงน่อง รองเท้า กระโปรง หรือชุดเดรส ทั้งหมดล้วนต้องใช้เลกกิ้งก่อนเสมอ

ความสูงเฉลี่ยของผู้หญิงเอเชียจะอยู่ที่1.60เมตร ซึ่งเลกกิ้งโดยทั่วไปจะถูกผลิตให้มีความยาวสมส่วนพอดี แต่เมื่อผู้หญิงร่างสูงที่มีเรียวขาวที่ยาวกว่านั้น โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่มีส่วนสูงเกิน1.80เมตร จะทำให้เนื้อผ้าเลกกิ้งถูกยืดจนตึงเมื่อสวมใส่ และถ้าปล่อยไว้เป็นเวลานาน เส้นใยเหล่านั้นจะเข้าบาดบริเวณเรียวขาจนเกินเป็นรอยเสียดสี และหนักสุดก็คือแผลเป็น

หากถามว่า ทำไมไม่ลือกใช้การเลกกิ้งที่ผลิตจากเส้นใยคุณภาพที่สามารถยืดได้360องศา ก็ตอบได้เพียงว่า เพราะเซียวเซียวเลือกใช้แต่เลกกิ้งมีคุณภาพ จึงทำให้แผลเป็นที่เกิดบนเรียวขาไม่ร้ายแรงมาก

แต่จะอย่างไร เซียวเซียวก็เป็นถึงนางแบบขาอันดับหนึ่งในซูฮัง และมีรายได้ไหลเวียนเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ดังนั้นแล้วเธอจำเป็นต้องใส่ใจดูแลเรียวขาของตัวเองเป็นพิเศษ จนถึงขั้นที่ว่าต้องทำประกันขากันเลยทีเดียว และบาดแผลดังกล่าวก็เปรียบเสมือนหนามแหลมทิ่มแทงใจเธออยู่นาน หากมีโอกาสก็อยากรักษาให้หายไปเสียที

ถึงบาดแผลจะไม่ลึกและเห็นได้ไม่ชัด แต่ถ้ายังปล่อยไว้นานวันเข้าอาจจะส่งผลกระทบต่องานถ่ายแบบเช่นกัน ยิ่งทุกวันนี้แรงกดดันและการแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกัน นับวันก็ยิ่งสูงขึ้น ถ้าคู่แข่งของเธอค้นพบว่า เรียวขาอันไร้ที่ติของเซียวเซียวไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนแต่ก่อน มีหวังเส้นทางในอาชีพนี้ของเธอต้องดับวูบเป็นแน่

ยิ่งพยายามปกปิดเท่าไหร่ก็ยิ่งวิตกจนเป็นอันกินไม่ได้นอนไม่หลับ เซียวเซียวค่อนข้างกังวลกับปัญหานี้มาก

เธอและหลินชูวโม่เป็นเพื่อนร่วมคลาสตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแพทย์มาด้วยกัน พวกเธอสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เมื่อแผลที่ขาเข้ามากวนใจเธอไม่หยุดไม่หย่อนแบบนี้ เซียวเซียวจึงรีบบึ่งรถมาปรึกษากับหลินชูวโม่ทันที ผู้หญิงชื่นชอบความงามโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอาชีพที่ต้องใช้เรือนร่างเพื่อหาเงินอย่างนางแบบ ถ้าใครรู้ว่านางแบบขากลับมีแผลเป็นที่ขาแบบนี้ ในอนาคตใครจะมาจ้างเธอกัน?

และบังเอิญเหลือเกินที่ หลินชูวโม่ดันไปชนเข้ากันฉีเล่ยเมื่อสองสามวันก่อน ทีแรกเธอยังรู้สึกกังวลเล็กๆว่าบาดแผลบริเวณหัวเข่าของเธอจะหายดีหรือไม่ แต่หลังจากผ่านไปเพียงแค่วันสองวัน กลับหายดีชนิดที่ว่าไม่ทิ้งแม้แต่รอยแผลเป็น ในเวลานั้นเธอรู้ได้ทันทีว่า ทั้งหมดเป็นเพราะยาผงสีดำมหัศจรรย์ขวดนั้นของฉีเล่ย หลินชูวโม่ที่นึกได้แบบนั้นจึงรีบโทรบอกเซียวเซียวทันที

ดังนั้นหลินชูวโม่จึงลากตัวฉีเล่ยมาที่คลินิกศัลยกรรมของเธอในวันนี้ ก็เพื่อดูขาอ่อนจริงๆ ทว่าไม่ใช่ให้มาชื่นชม แต่ให้มารักษา

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset