ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 108 ของปลอม

ตอนที่108 ของปลอม

บรรยากาศทั่วทั้งโรงงานแห่งนี้เงียบสงัด และปราศจากแสงแดดจากข้างนอกสาดส่องเข้ามา ภายในไม่หลงเหลือพนักงานอยู่กันเลยแม้แต่คนเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่า นี่เป็นช่วงเวลาพักที่พวกเขาออกไปทานข้าว

จากมุมมองของฉีเล่ย แค่สภาพแวดล้อมของโรงงานก็ไม่ถูกสุขลักษณะแล้ว นี่ยังคงห่างไกลจากโรงงานที่ใช้สำหรับผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานมาก

แน่นอน ผลิตภัณฑ์บางอย่างถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่มีการบรรจุที่ถูกต้อง บางชิ้นตกอยู่กับพื้น นี่ขนาดยังไม่ได้ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านมาตรฐานหรือไม่ เขาก็พอทราบกลายๆแล้วว่าไม่น่าผ่านอย่างแน่นอน

ฉีเล่ยกวาดสายตามองไปรอบพื้นที่โรงงาน มันทีทั้งเข็มฉีดยา เครื่องมือผ่าตัดต่างๆ รวมไปถึงท่อออกซิเจนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดอื่นๆอีกมากมาย มีแม้กระทั่งตรายางประทับแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่เป็นสัญญาลักษณ์เครื่องหมายการค้าของแบรนด์จัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ชื่อดังจากต่างประเทศด้วย

เมื่อเห็นเจ้าสิ่งนี้อยู่ตรงหน้า ฉีเล่ยก็เข้าใจได้ทันทีว่าหานหมิงต้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่

ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด เขากำลังผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์เถื่อนขึ้นมา!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขากำลังผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วยต้นทุนผลิตที่ต่ำไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง และประทับตราสัญญลักษณ์เครื่องหมายทางการค้าของบริษัทอื่นย้อมแมว

ฉีเล่ยหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายทุกซอกทุกมุมของโรงงานแห่งนี้อย่างดุเดือด ทั้งยังแอบหยิบตัวอย่างของปลอมสองสามชิ้นเก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง ก่อนจะรีบออกมาทันที

ขณะที่เขากำลังโดดข้ามรั้วเพื่อหนีออกไปนั้น จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ฉีเล่ยตกใจจนทรงตัวไม่อยู่และเกือบล้มคะมำลงกับพื้น

เขารีบกระโดดไปหลบข้างกำแพงมุมหนึ่ง ก่อนจะกดรับสายและเอ่ยถามทันทีว่า

“นั่นใคร?”

“ฉันเอง”

ปลายสายเป็นเสียงของหลี่ถงซี

“อ่า คุณอยู่ไหน?”

“พอดีฉันติดประชุมด่วนตอนเที่ยง คงกลับบ้านพร้อมนายไม่ได้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับเอง”

“อืมม”

“งั้นแค่นี้นะครับ”

ทันทีที่วางสายไป ฉีเล่ยก็รีบวิ่งกลับออกไปทางถนนสายหลักที่เชื่อมกับทางเข้าตัวเมืองหลวงโดยตรง และรอโบกรถอยู่ข้างถนนนานกว่าสิบนาทีกว่าจะได้ขึ้น

เมื่อฉีเล่ยกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบหลี่ฮั่วเฉินกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงชั้นสอง มันเป็นข่าวการเกษียณของตัวเขา และยังมีข่าวประกาศแต่งตั้งโห่วเซินกัวขึ้นมาเป็นประธานบริหารคนใหม่ของโรงพยาบาลพ่วงท้าย

โห่วเซินกัวจ้องที่จะโค้นล้มหลี่ฮั่วเฉินให้ลงมาจากตำแหน่งนานแล้ว และปีนี้เขาก็เล็งเห็นว่าอีกฝ่ายแก่เกินกว่าจะรับภาระความรับผิดชอบอีกต่อไปไหว

เมื่อใดที่ชายชราคนนี้ลงจากตำแหน่ง โห่วเซินกัวจะขึ้นไปแทนที่พร้อมด้วยอำนาจอิทธิพลอันแข็งแกร่ง และต้องการปฏิวัติพวกสายเลือดเก่าออกจากสังคมภายในโรงพยาบาลที่เป็นอยู่ออกไปให้หมด จากนั้นก็แต่งตั้งคนของตัวเองขึ้นมาแทนที่ เพื่อรักษาอำนาจต่อไป

เห็นว่าฉีเล่ยกลับมาเพียงลำพัง หลี่ฮั่นเฉินจึงวางหนังสือพิมพ์ในมือลงในทันที พร้อมเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฉีเล่ย เธอกลับเองเหรอ? แล้วถงซีล่ะ?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปตามตรงว่า

“วันนี้ถงซีมีประชุมด่วนครับ เธอน่าจะกลับมาช่วงบ่ายๆ”

“อืม งั้นไปทานข้าวกันเถอะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ”

ฉีเล่ยรีบร้องห้ามไว้เสียก่อน

“อาวุโสหลี่ ผมมีอะไรให้ดู”

“หื้ม? มีอะไรงั้นเหรอ?”

ทันทีทันใดเขาก็หยิบหลอดฉีดยาออกจากกระเป๋า และส่งให้หลี่ฮั่วเฉินที่กำลังงุนงง

“นี่คือ?”

ชายชราทำสีหน้างุนงงสับสนอย่างมาก

“นี่คือกุญแจสำคัญครับ”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“กุญแจสำคัญในการทวนคืนตำแหน่งประธานของคุณ”

แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางนิ่งเฉยของหลี่ฮั่วเฉิน ฉีเล่ยก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง สำหรับทักษะด้านการแพทย์ของชายชราคนนี้ ไม่จำเป็นต้องกล่าวพรรณนาให้มากความ แต่ในแง่ของการคิดวิเคราะห์และวางแผน เขายังขาดแคลนประสบการณ์มากเกินไป พูดง่ายๆคือไร้ซึ่งลูกล่อลูกชน แก้ไขสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ไม่เก่ง และเพราะแบบนี้อย่างไรเล่า โห่วเซินกัวที่เป็นเพียงรองประธาน จึงสามารถสร้างปัญหาและไล่ต้อนชายชราได้อย่างทุกวันนี้

ฉีเหล่ยพาหลี่ฮั่วเฉินเข้าไปบริเวณบันได้ภายในบ้าน และส่งซองบรรจุภัณฑ์หลอดยาแบบใช้แล้วทิ้งให้อีกฝ่ายดู

“แล้วนี่อะไรครับ?”

“บรรจุภัณฑ์สำหรับใส่หยอดฉีดยาของแบรนด์โอลิมปัส?”

“แล้วก็นี่ด้วย!”

ฉีเล่ยเปิดภาพตรายางประทับที่ถ่ายในโรงงานให้หลี่ฮั่งเฉินดูอีกครั้ง

ชายชราถึงกับตะลึงทันที

“นี่มัน…ตรายางประทับสัญลักษณ์ทางการค้าของแบรนด์โอลิมปัสไม่ใช่เหรอ? นี่เธอเอาภาพนี้มาจากไหน?”

ฉีเล่ยรีบอธิบายให้หลี่ฮั่วเฉินฟังทันที

“ถ้าเป็นหลอดฉีดยาของโอลิมปัสจริง ทุกชิ้นที่นำเข้ามาในประเทศจะถูกบรรจุแบบสุญญากาศแล้วเท่านั้น แต่ทำไมบรรจุภัณฑ์ที่ยังไม่มีร่องรอยการเปิดใช้ ถึงไม่มีหลอดยาอยู่ข้างใน? ถ้าไม่ใช่ว่ามันถูกผลิตเลียนแบบในประเทศเพื่อใช้เตรียมบรรจุหลอดยาของโอลิมปัสปลอม? แล้วไม่ใช่ว่าตรายางประทับเครื่องหมายทางการค้าที่สำคัญขนาดนี้ต้องอยู่ในประเทศผู้ผลิตอย่างญี่ปุ่นหรอกเหรอ? ทำไมถึงปรากฏอยู่ในโรงงานในแถบชานเมืองปักกิ่งได้?”

ในที่สุดหลี่ฮั่วเฉินก็เข้าใจทุกอย่าง

“นี่หมายความว่า มีคนจงใจผลิตขึ้นมาเอง?”

ฉีเล่ยแก้ไขคำพูดให้ชายชราทันที

“ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ของปลอม!”

ผลิตขึ้นมาเองกับคำว่าของปลอม มันเป็นสองขั้วแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ตามกฎหมายของกรมการตรวจสอบคุณภาพสินค้าของจีน ตราบเท่าที่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานตรงตามที่จดทะเบียนไว้ในตลาด และมีจุดประสงค์เพื่อขายทำกำไร ทั้งหมดจะถูกเรียกว่า ของที่ผลิตขึ้นมาเองโดยไม่ผ่านมาตรฐาน

แต่ในกรณีของปลอม คือการปลอมแปลงสินค้าภายในโดยใช้บรรจุภัณฑ์ หรือเครื่องหมายทางการค้าของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เพียงจะมีความผิดฐานล่วงละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังผิดฐานหลอกลวงผู้บริโภคอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทต้นทางที่ถูกนำเครื่องหมายทางการค้ามาใช้อย่างมิชอบ มีสิทธิ์ฟ้องและดำเนินการตามกฎหมายได้

ฉีเล่ยเก็บบรรจุภัณฑ์และหลอดฉีดยาลงในถุงใสและกล่าวกับหลี่ฮั่วเฉินต่อว่า

“หลักฐานเพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่า โรงงานแห่งนี้ไม่ได้รับอำนาจทางการผลิตมาจากโอลิมปัส แต่พวกเขาแอบผลิตซองบรรจุของโอลิมปัสขึ้นมาเอง และใช่หลอดฉีดยาคุณภาพต่ำใส่เข้าไปแทน ทั้งยังส่งมอบให้กับทางโรงพยาบาล!”

หลี่ฮั่วเฉินเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วเธอได้สิ่งของพวกนี้มาจากไหน?”

“โรงงานของหานหมิงต้า”

“ใครคือหานหมิงต้ากัน?”

“เขาเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์”

“….”

“แต่การจะนำเข้าเครื่องมือแพทย์มาใช้ในโรงพยาบาลจะต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนมาก พวกพ่อค้าของเถื่อนแบบนี้ไม่มีทางได้รับสิทธิ์จัดจำหน่ายอยู่แล้ว”

ฉีเล่ยหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วครับที่คนแบบนี้จะไม่ได้รับสิทธิ์จัดจำหน่าย แต่ถ้าพวกเขา…มีเส้นสายกับคนใหญ่คนโตในโรงพยาบาลนั้นๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หานหมิงต้าคนนี้อาจจะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับโห่วเซินกัวก็เป็นได้ อย่างเลวร้ายสุดอาจจะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนด้วยซ้ำไป”

หลี่ฮั่วเฉินถึงกับตกตะลึง

“หมอนี่ที่เธอว่ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับโห่วเซินกัวด้วยงั้นเหรอ?”

“ผมเห็นกับตาตัวเอง”

ฉีเล่ยยังคงกล่าวต่อว่า

“ถ้าจำไม่ผิด…สิทธิ์ในการพิจารณาและเลือกซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่ง จะอยู่ในมือของโห่วเซินกัวใช่ไหมครับ?”

หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้าตอบไปว่า

“ใช่ หัวหน้าของแต่ละแผนกจะมีสิทธิ์เบิกซื้อยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มได้ แต่สุดท้ายนี้ ทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปให้โห่วเซินกัวพิจารณาอีกที เพื่อขอลายเซ็นและคำอนุมัติ”

“ถูกต้องครับ”

ฉีเล่ยยิ้มกล่าวต่อว่า

“และผมก็คิดว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหมดในโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่งในปัจจุบัน น่าจะถูกจัดจำหน่ายโดยโรงงานของหานหมิงต้าเช่นกัน”

“คนพวกนี้….มันกล้าดียังไง!?”

ชายชราโกรธจัดจนเนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด ไม่เพียงเขาจะโมโหอย่างมากกับการคอรัปชั่นของบุคลากรเบื้องล่าง แต่ทั้งนี้ก็ยังโมโหกันตัวเองอย่างมากที่ไร้ประโยชน์ และไม่สามารถตรวจพบปัญหาดังกล่าวได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

หากผู้ป่วยทั้งหลายในโรงพยาบาลยังใช้อุปกาณ์ด้อยคุณภาพพวกนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน เปรียบเสมือนมีระเบิดเวลาติดอยู่

ฉีเล่ยส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นคำหนึ่งว่า

“เพื่อผลกำไร20% นักธุรกิจย่อมกล้าที่เสี่ยง แต่ถ้าพุ่งไปถึง30%เมื่อไหร่ คนเหล่านี้ก็กล้าที่จะฆ่าพวกเราทิ้งเพื่อเงิน อาวุโสหลี่คงทราบนะครับว่า ต้นทุนระหว่างอุปกรณ์ของปลอมกับของโอลิมปัสจริงๆ มันมีส่วนต่างอยู่ที่เท่าไหร่?”

เขาถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า

“ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ โรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมอาจารย์แพทย์ที่เก่งที่สุดอีกด้วย จึงมีระดับความไว้วางใจในกลุ่มผู้ป่วยที่สูงมาก แม้ว่าพวกเขาจะติดเชื้อจากอุปกรณ์ของปลอมเหล่านี้ คงไม่มีใครสงสัยทางโรงพยาบาลอยู่แล้ว นี่ยิ่งทำให้เอาผิดโห่วเซินกัวได้ยากเข้าไปใหญ่”

ปัง!

หลี่ฮั่วเฉินทุบโต๊ะน้ำชาด้วยความเดือดดาลถึงขีดสุด

“เดนมนุษย์พวกนี้ยังมีจรรยาบรรณความเป็นแพทย์อยู่ไหม?! ไม่สิ…พวกมันยังหลงเหลือความเป็นมนุษย์กันอยู่รึเปล่า? กล้าทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

“ฉันจะไปแจ้งความ!”

ใบหน้าอันแก่ชราของหลี่ฮั่วเฉินกลายเป็นสีแดงก่ำเพราะความโมโห

“ฉันยอมสละตำแหน่งประธานโรงพยาบาลได้ แต่ฉันไม่มีทางทนดูไอ้เดนมนุษย์พวกนี้มันเอาเปรียบประชาชนตาดำๆได้!!”

ฉีเล่ยพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายสงบสติลงก่อน และกล่าวชี้แนะไปว่า

“ถ้าเราไปแจ้งความตอนนี้ ย่อมเท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พอถึงเวลาที่เบื้องบนลงมาตรวจสอบ หานหมิงต้าคงไหวตัวทันและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นกลับเป็นเราแทนที่จะโดนคนพวกนั้นเล่นงานแทน”

“แล้วพวกเราควรทำยังไงดีล่ะ?”

หลี่ฮั่วเฉินเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset