ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 109 ใช้สมองแก้เกม

ตอนที่109 ใช้สมองแก้เกม

ฉีเล่ยจ้องมองไปทางหลี่ฮั่วเฉินและกล่าวขึ้นว่า

“เราต้องหาทางตรวจสอบให้ได้ว่า หานหมิงต้ากับโห่วเซินกัวร่วมมือกันอย่างไร? จากนั้นก็ค่อยหาหลักฐานการร่วมมือของสองคนนั้นมา มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถทำให้สองคนนั้นไม่สามารดิ้นหลุดได้ ผมมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ซึ่งเราต้องทำสองสิ่งควบคู่กันไป หนึ่งคือหาหลักฐานเปิดโปงโรงงานเถื่อนของหานหมิงต้า และสอง หาหลักฐานที่จะใช้พิสูจน์ว่ามันกับโห่วเซินกัวสมรู้ร่วมคิดกันจริงๆ แต่ทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมจัดการเอง”

หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้าอย่างขมขื่นใจยิ่ง

“เฮ้ออ…คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธอจริงๆนั่นแหละ ฉันก็โง่อยู่กับมันมาตั้งนานจนอายุปูนนี้ แต่กลับไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยจริงๆ”

ฉีเล่ยเดินเข้าไปตบไหล่เพื่อปลอบใจอีกฝ่ายทันที

“อย่ากังวลไปเลยครับ เพราะคุณไม่รู้ต่างหาก แล้วที่สำคัญ…กฎแห่งกรรมมีจริง ใครทำอะไรเอาไว้จะต้องได้รับผลที่ตัวเองก่อขึ้นในสักวัน แค่ว่าที่ผ่านมา…พวกมันยังไม่ถึงเวลาตายเท่านั้นเองครับ”

ระหว่างมื้ออาหารเที่ยง หลี่ฮั่วเฉินตักข้าวเข้าปากเพียงไม่กี่คำเท่านั้น แล้วรีบเดินขึ้นชั้นบนเพื่อไปพักผ่อนทันที

ฉีเล่ยทราบดีว่า ชายชราในตอนนี้คงกำลังรู้สึกว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพราะเขาโดนแย่งตำแหน่งประธานโรงพยาบาลไป แต่กลับกัน เขาเป็นห่วงบรรดาคนไข้ที่ตกเป็นเหยื่อของพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนั้นต่างหาก

ยิ่งปล่อยไว้นาน ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะได้รับก็ยิ่งสูงขึ้น

“จะดีแค่ไหนถ้าแพทย์ทุกคนบนโลกเป็นเหมือนคุณ”

ฉีเล่ยเหม่อมองชายชราที่เดินคอตกขึ้นบันไดไปชั้นบนไป พลางเอ่ยปากพึมพำขึ้นกับตัวเอง

แม้ว่าเขาจะล่วงรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว แต่ฉีเล่ยเองก็ทราบว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเสาะหาหลักฐานเหล่านั้น เพื่อมาใช้มัดตัวหานหมิงต้าและโห่วเซินกัวที่สมรู้ร่วมคิดกัน ก่อนจะทำการใหญ่ สองคนนี้ย่อมทราบว่ามีความเสี่ยง มีเหรอที่จะทิ้งหลักฐานให้คนอื่นตามสืบได้ง่ายๆ?

ในทางตรงกันข้าม มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะพยายามปกปิดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ และนั่นก็คือช่องทางรายได้ที่ไหลเข้ามา แต่ปัญหาคือในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง ฉีเล่ยจะมีสิทธิ์อะไรไปตรวจสอบช่องทางการเงินในธุรกิจของบุคคลอื่น?

ดูเหมือนว่าครั้งนี้ เขาจำเป็นจะต้องมองหาคนช่วย

แต่ว่าจะไปมองหาใครที่ไหนมาช่วยล่ะ?

คนแรกที่ฉีเล่ยนึกถึงคือพวกตระกูลชู

เรื่องอำนาจอิทธิพลภายในเมืองหลวง นอกเหนือไปจากหลี่ฮั่วเฉินแล้ว ก็เหลือแต่ตระกูลชูที่มีอำนาจบารมีล้นฟ้า อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลชูกลับไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก แต่ถ้าได้ความแข็งแกร่งของตระกูลชูเข้ามาเสริม ปัญหาตรงหน้าย่อมสามารถจัดการได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งปฏิเสธคำขอร้องของตระกูลนี้ไปหมาดๆ แล้วจะให้บากหน้าไปขอความช่วยเหลือ ฉีเล่ยไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ลงแน่

แล้วยังเหลือใครอื่นที่จะช่วยเขาได้?

เหอจื่อ?

ใช่แล้ว!

จู่ๆฉีเล่ยก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ภูมิหลังของเหอจื่อค่อนข้างแข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน หากครอบครัวของเธอเต็มใจให้ความช่วยเหลือ การตรวจสอบบัญชีรายได้ของสองคนนั้นก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉีเล่ยก็รีบตักข้าวใส่ปากลวๆ ก่อนจะโยนจานชามลงไปในอ่างล้างจาน แล้วรีบโทรหาเหอจื่อทันที

“อาจารย์ฉีเหรอคะ?”

เหอจื่อที่อยู่ปลายสายร้องอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ใช่ผมเอง…”

จู่ๆก็รีบเร่งโทรไปลูกศิษย์แบบนี้ ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรออกไปดี เหอจื่อเป็นลูกศิษย์ของเขา ถ้าจะโทรมาขอความช่วยเหลือเลยคงจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่

“อาจารย์ฉี มีอะไรรึเปล่าค่ะ?”

เหอจื่อที่เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบอยู่นาน จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเสียเอง

“เอ่อ…พอจะมีเวลาว่างไหมครับ?”

“มีค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น มานัดเจอกันหน่อยได้มั๊ยสักบ่ายแก่ๆ? สะดวกรึเปล่า?”

“สะดวกค่ะ! เจอกันที่ไหนดีค่ะ?”

แม้ฉีเล่ยจะมองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายผ่านทางโทรศัพท์ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็ทราบได้ทันทีว่า สาวน้อยคนนี้กำลังดีอกดีใจเป็นอย่างมาก

“คุณตัดสินใจเลยครับ”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบกลับไป

“งั้น…ร้านอาหารในห้างซีตานดีไหมค่ะ?”

ฉีเล่ยประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าเหอจื่อจะนัดตนแถวหอพักของมหาวิทยาลัย แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นห้างซีตานที่อยู่ห่างจากบ้านหลี่ฮั่วเฉินไกลไม่น้อยเลย

ถึงแบบนั้นเขาก็เป็นคนบอกให้อีกฝ่ายเลือกเอง ก็เลยไม่อยากกลับคำพูดกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เช่นกัน เหอจื่อกล่าวต่อว่า

“งั้นเจอกันที่ร้านแมคโดนัลชั้นล่างที่ห้างซีตานตอนบ่ายสามนะคะ”

“เข้าใจแล้ว เจอกันนะ”

กรี๊ดด!!

ทันทีที่วางสาย เหอจื่อก็โยนมือถือของตนลงบนโซฟา แล้วกระโดดกอดหมอนในมือแนบอกแน่น พร้อมกับเริ่มกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นห้อง

มู่เซียวหยานที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอกำลังบรรจงวางแตงกวาที่หั่นเป็นแว่นไว้บนแผ่นมาส์หน้า ถึงกับสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของลูกสาว จนเผลอทำแตงกวาร่วงหล่นลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ

เธอค่อยๆหันมาเหลือบหางตามอง พร้อมกรนเสียงเย็นเอ่ยปากดุทันทีด้วยความหงุดหงิด

“อยากตายมากรึไงห๊ะ!?”

เหอจื่อพุ่งตัวเข้าไปเขย่าไหล่ของแม่ตัวเองอย่างแรงสองสามรอบ พลางกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจว่า

“มู่เซียวหยาน! เขาชวนฉันไปเดท! เขาชวนฉันไปเดทด้วยแหละ!”

“เหอจื่อ ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้ายังกล้าเรียกฉันว่ามู่เซียวหยานอีกครั้งเดียว พวกเราแม่ลูกจบกันตรงนี้เลย! อ่อว่าแต่…ใครชวนแกไปเดทกันห๊ะ?”

“ก็ต้องอาจารย์ฉีสิ! เมื่อกี้เขาเพิ่งโทรมานัดฉันไปเจอกันที่แมคโดนัลด์ในห้างซีตานตอนบ่ายสาม!”

มู่เซียวหยานเบนสายตาจับจ้องอีกฝ่ายเล็กน้อย และเอ่ยขึ้นว่า

“แล้วกว่าแกจะอาบน้ำแต่งหน้าเสร็จ จะไปทันเหรอ?”

“แม่ไม่รู้อะไรหรอก เพื่อความรักหนูทำได้หมดแหละ”

“ใครบอกว่าฉันไม่รู้? ถ้าฉันไม่รู้จักความรัก แล้วจะมีแกออกมาให้ยืนบ่นยืนด่าฉันอย่างทุกวันนี้รึไง?”

มู่เซียวหยานคว้าหมอนบนโซฟาขึ้นมาตบหัวลูกสาวตัวเองไปหนึ่งที

“จะไปเข้าใจได้ยังไง? คนแก่แบบแม่รู้จักด้วยเหรอความรักน่ะ?”

เหอจื่อคว้าหมอนอีกใบตีโต้กลับไปทันที

“จ๊ะ จ๊ะ แม่คนเก่ง”

ตุบ!

“โอ้ย! ไม่เห็นรึไง? แตงกวาบนหน้าฉันร่วงหมดแล้ว!”

“…”

จากนั้นสองแม่ลูกก็ตีกันอยู่สักพักหนึ่ง

ตัดภาพมาอีกที สองแม่ลูกต่างก็นอนหอบหมดสภาพอยู่บนโซฟา

มู่เซียวหยานหันหน้าไปถามลูกสาวว่า

“เสี่ยวจือ นี่แกชอบเขาจริงๆงั้นเหรอ?”

“ใช่”

“ก็ได้ งั้นแม่จะช่วยแกเอง”

“…”

“ไม่ต้อง หนูไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า”

“ก็คิดดูนะ ถ้าแม่ช่วยก็มีโอกาสสำเร็จมากกว่าไหมล่ะ? ถ้าเขาลวนลามแก ฉันจะได้แอบถ่ายคลิปใช้มัดเป็นหลักฐาน แต่ถ้าแกอยากลวนลามเขา แม่จะได้ช่วยปิดประตูตีแมวให้”

“….มู่เซียวหยาน”

“เฮ้อ…ถ้าแกยังเอาแต่ปฏิเสธแม่ แล้วชาตินี้จะได้ผัวไหมล่ะ?”

“ออกไปเดี๋ยวนี้!”

ตุบ! หมอนอิงอันทรงพลังบินฉีกกระชากห้วงอากาศ พุ่งอัดหน้าของมู่เซียวหยานเต็มแรง

หน้ากระจกบานใหญ่ภายในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ชุดนี้เป็นไง?”

“ไม่ สีเรียบเกินไป ดูเป็นคุณหนูไม่พอ มันไม่ได้ช่วยดึงเสน่ห์ของลูกสาวฉันออกมาเลย”

“แล้วอันนี้ล่ะ?”

“ไม่! ไม่ได้เลย! นี่แต่งตัวเป็นเด็กประถมไปทัศนศึกษารึไง? ดูเรียบร้อยเกินไป!”

“มู่เซียวหยาน! ก็หน้าอกฉันไม่ได้ใหญ่โตเท่าเธอนี่!”

มู่เซียวหยานตบกบาลเหอจื่อไปอีกหนึ่งที

“ที่ฉันติก็เพื่อตัวแกเองไม่ใช่รึไง? แล้วขอโทษนะ ใครเขาออกเดทด้วยชุดเอี๊ยมกันห๊ะ? ปิดทั้งขาทั้งแขน ปิดทุกส่วนยันนม! ยังเหลืออะไรให้อวด?”

“แล้วนี่ล่ะ?”

เหอจื่อหยิบชุดเดรสสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้ขึ้นมาใส่ พร้อมอวดทรวดทรงของเธอ

มู่เซียวหยานส่ายหัวเล็กน้อย

“สไตล์ไม่เลวนะ แต่ดูรักนวลสงวนตัวเกินไป คอเสื้ออะไรปิดยันคอ? แขนเสื้อก็ยาวเกิน ไม่ได้โชว์เรียวแขนเลย”

“ได้โปรดเถอะนะ นี่เป็นเดทแรกของฉันกับอาจารย์ฉี ไม่ใช่ว่าจะเข้าโรงแรมไปนอนด้วยกันเลย!”

เหอจื่อกรอกตาใส่และกล่าวต่อว่า

“อีกอย่างนะ ฉันไม่ค่อยมีหน้าอก…”

“ทำไมแกชอบพูดว่าตัวเองไม่มีหน้าอกห๊ะ? ของแกก็ใช่ว่าจะแบนราบเลยที่ไหน? อย่างที่ชู่ซุนเคยพูดเอาไว้ หน้าอกของผู้หญิงเป็นแค่ส่วนเสริมเสน่ห์เท่านั้น พอผู้ชายมีอารมณ์ขึ้นมา จะเล็กหรือใหญ่มันก็บีบหมดนั่นแหละ จุ๊จุ๊…แต่ถ้าแกอยากมีใหญ่ๆนักนะ เดี๋ยวแม่ช่วยบีบให้เอาไหม?”

เหอจื่อปัดมือปลาหมึกของมู่เซียวหยานทิ้งไปทันที

“เอามือสกปรกออกไปเลย! นี่ลูกสาวตัวเองนะ!”

“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันจะไม่พูดไร้สาระให้เสียเวลาแล้ว ในเมื่อเสื้อผ้าของแกมีแต่ชุดเด็กน้อย ทำไมแกไม่ลองชุดแม่ดูล่ะ?”

เหอจื่อส่ายหน้าทันที

“ไม่ ไม่! ชุดของแม่เปิดเผยแทบทุกส่วน! อย่างกับเอาเศษผ้ามาตัดแปะมากกว่า!”

ทว่ามู่เซียวหยานกลับไม่สนใจฟัง เดินไปหยิบชุดของตนเองขึ้นชุดหนึ่ง เธอพินิจพิจารณาอย่างจริงจัง พลางกวาดสายตามองทรวดทรงของลูกสาวตัวเอง ก่อนจะพยักหน้าและบอกไปว่า

“แกต้องดูเซ็กซี่มากแน่ถ้าใส่ชุดนี้”

“ไม่!”

“ลองใส่ดู!”

“ฉันบอกว่าไม่!”

“ก็ฉันสั่งให้ใส่!”

“นี่มันสิทธิ์ของฉัน!”

“ก็เซ้นส์แกมันห่วย”

“ฉันตัดสินใจเองได้น่า!”

“แต่ฉันเป็นแม่ของแก ดังนั้นฉันมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนแก!”

เหอจื่อโกรธมาก เธอผลักแม่ตัวเองออกจากห้องแต่งตัวพร้อมปิดประตูกระแทกเสียงดังปัง

“เฮ้ออ…”

เหอจื่อถอนหายใจเสียงยืดยาว โลกทั้งใบพลันเงียบสงบลงอีกครั้ง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset