ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 111 เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

ตอนที่111 เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

ในช่วงระหว่างการรักษาที่ผ่านมา หลังจากฝังเข็มเสร็จก็มีบ้างที่ฉีเล่ยจะอยู่ดื่มชากับหลี่ถงซี ระเบียงห้องนอนของเธอจึงกลายเป็นที่พักสำหรับจิบชาพลางชื่นชมแสงจันทร์ในยามค่ำคืน

พรุ่งนี้จะเป็นวันที่พระจันทร์ขึ้นเต็มดวง สายลมเย็นพัดโชยอ่อน กลิ่นชาสนุนไพรหอมพร้อมไออุ่นให้ริมจิบ เคียงข้างพร้อมกับสาวงามบนระเบียงในยามราตรี ช่างเป็นวันเบาๆที่สุดแสนจะสบาย

ฉีเล่ยเป็นคนจีนทางตอนใต้ หนานหยางถูกขนานนามว่าเมืองแห่งชา ดังนั้นกระบวนการดื่มชาของผู้คนแถบนี้จึงค่อนข้างพิถีพิถันกว่าคนอื่นๆ ไม่เหมือนกับคนจีนทางตอนเหนือที่ต้มน้ำและยกขึ้นเทใส่กาโดยตรง และเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนทางตอนใต้แบบฉีเล่ย หลี่ถงซีจึงออกไปเดินห้างเพื่อซื้อชุดชาราคาแพง และมักจะชอบให้ฉีเล่ยสอนทักษะการชงชาที่ถูกต้องให้ด้วย นี่จึงถือเป็นกิจกรรมก่อนเข้านอนอีกอย่างที่ทำให้เธอมีความสุขมาก

“ปู่ฉันออกไปโรงพยาบาลอีกแล้ว สงสัยวันนี้จะนอนค้างที่นั่น”

หลี่ถงซีเอ่ยกล่าวขึ้น

ฉีเล่ยหัวเราะ

“จู่ๆก็ได้ตำแหน่งหัวเรือใหญ่กลับมาแบบนี้ ต่อให้ไม่เต็มใจก็ต้องไปคุมอยู่ดีนั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่าปู่ของคุณจะมีความสุขนะที่ได้กลับมามีงานยุ่งอีกครั้ง”

ฉีเล่ยเข้าใจความรู้สึกของหลี่ฮั่วเฉินดี ในมุมหนึ่ง โรงพยาบาลแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนหลานคนที่สองของชายชรา ย่อมมีความรักและผูกผันเป็นธรรมดา ก่อนหน้านี้เจ้าตัวถูกบีบบังคับให้ต้องสละตำแหน่ง ทำให้กลุ่มคนของฝ่ายโห่วเซินกัวก้าวขึ้นมามีบทบาทในโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า จู่ๆเรื่องโรงงานนรกที่ร่วมมือกับหานหมิงต้าจะแดงขึ้นมาแบบนี้ จนทำให้โห่วเซินกัวต้องถูกปลดฟ้าผ่า เหล่าโจรที่ไร้ซึ่งหัวหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนไร้หัว ย่อมถูกหลี่ฮั่วเฉินไล่กวาดล้างเป็นธรรมดา

หลี่ฮั่วเฉินกลับมาขึ้นครองบังเหียนอีกครั้ง นี่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในโรงพยายบาลครั้งใหญ่

อย่างน้อยที่สุดพวกเลือดเสียคงถูกชำระล้างออกไปกว่าครึ่งแน่นอน

“ขอบคุณนะ”

หลี่ถงซีวางแก้วชาพร้อมกลับหันมากล่าวของคุณกับฉีเล่ย

“ทำไมถึงต้องขอบคุณผม?”

ฉีเล่ยเหลือบมองเธอด้วยความสงสัย

หลี่ถงซีกล่าวว่า

“อำนาจและอิทธิพลของหานหมิงต้าภายในเมืองหลวงค่อนข้างซับซ้อนและแข็งแกร่งมาก ส่วนโห่วเซินกัวก็มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังอยู่มากมาย การที่จู่ๆตำรวจจะส่งทีมเข้าไปบุกทลายรังของพวกมันแบบนั้นโดยปราศจากหลักฐานใดๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถทำได้ ใช่ว่าจะสามารถเดินไปแจ้งความแล้วตำรวจจะบุกจับเลย”

“คุณพยายามจะบอกอะไรผมกันแน่?”

“คุณอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด”

“ผมนี่นะ?”

ฉีเล่ยยกนิ้วถูกถูจมูกเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า

“ผมว่าคุณคิดมากเกินไปแล้ว ลำพังแค่ผมคนเดียวจะมีอำนาจบารมีขนาดนั้นได้ยังไง?”

มุมปากของหลี่ถงซีกระตุกขึ้นพร้อมเอ่ยตอบทันที

“ฉันรู้นะ มีลูกศิษย์ของคุณคนหนึ่งเป็นลูกสาวของนายพลใหญ่ในกรมทหาร”

ฉีเล่ยผงะเล็กน้อยด้วยความตกใจ

“นี่คุณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”

หลี่ถงซีพยักหน้า

“ตอนนี้ข่าวคราวเรื่องที่เกิดขึ้นในKTVค่อนข้างโด่งดังอย่างมาก ทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างรู้เรื่องเรื่องกันหมดแล้ว”

ฉีเล่ยยกมือเกาหัว

“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เหอจื่อเลยครับ ผมแค่นัดเธอมาพบเพื่อว่าจะดูว่าเธอจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เด็กสาวตัวเล็กๆแบบนั้นจะมีอำนาจอิทธิพลมหาศาลได้ขนาดนี้”

จู่ๆหลี่ถงซีก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า

“ฉันมีบางอย่างจะให้”

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นว่า

“อะไรเหรอครับ?”

“แล็ปท็อป”

พูดจบหลี่ถงซีก็เดินไปหยิบกระเป๋าแล็ปท็อปใบหนึ่งในห้องออกมา

“นี่เป็นรุ่นเดียวกับที่ฉันใช้ประจำ ยังไงระหว่างคลาสสอนก็ต้องใช้สักวัน ฉันเพิ่งนึกได้ก็เลยแวะไปห้างซื้อให้คุณ”

“ขอบคุณมากครับ”

ฉีเล่ยกำลังต้องการอยู่พอดี เพราะภายในห้องพักอาจารย์ของเขามีคอมพิวเตอร์อยู่แค่สองเครื่อง แถมยังเก่ามาก นอกจากนี้เวลากลับเข้าบ้าน ภายในห้องนอนของเขาก็ยังไม่มีคอมพิวเตอร์เลยสักตัว เขาต้องการหาข้อมูลเพื่อใช้สำหรับเตรียมการเรียนการสอนให้พวกนักศึกษานคาบต่อๆไปเช่นกัน ได้แล็ปท็อปมาใช้แบบนี้ก็ทำให้ชีวิตของเขาสะดวกขึ้นมาก ฉีเล่ยจึงรีบเอ่ยขอบคุณหลี่ถงซีด้วยความดีใจ

“ฉันจะนอนแล้ว”

“ครับ ฝันดีนะครับพี่หลี่”

พูดจบ ฉีเล่ยก็เดินถือกระเป๋าแล็ปท็อปเครื่องใหม่ออกจากห้องไปทันที

หลี่ถงซีตกใจไม่น้อยเลยที่จู่ๆอีกฝ่ายก็เรียกเธอว่า‘พี่หลี่’

ทั้งท่าทางการวางตัวและวิธีการพูดของฉีเล่ยนั้น ดูสงบแล้วก็เป็นผู้ใหญ่อย่างมาก จนทำให้หลี่ถงซีลืมความจริงข้อหนึ่งไปเสียสนิท อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเธอสองถึงปีไม่ใช่เหรอ?

พอเห็นฉีเล่ยค่อยๆปิดประตูลงอย่างเบามือ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป หลี่ถงซีก็พึมพำกับตัวเองเบาๆว่า

“ปีนี้ฉันก็อายุ28แล้ว…”

วิธีการสอนของฉีเล่ยแตกต่างจากอาจารย์คนอื่นโดยสิ้นเชิง เขาไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือหรือตำราเรียนใดๆเข้ามาเสริมประกอบ เพียงสอนในวิถีทางของตัวเองเท่านั้น

หนังสือเรียนหนึ่งเล่มบัญญัติคำศัพท์อย่างมากก็ไม่เกินแสนคำ ความรู้โดยส่วนใหญ่ก็เป็นความรู้ทั่วไปหาได้จากหนังสือทุกเล่ม แต่สำหรับแพทย์แผนจีนแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น

ฉีเล่ยกล่าวไว้ในคาบเรียนแรกว่า เขาจะต้องทำให้ทุกคนกลายมาเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีนที่โดดเด่นระดับประเทศให้จงได้ และเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งปณิธานอันแน่วแน่นี้ไป

“ผมรู้นะครับว่ามันยากที่จะจดจำสูตรยาสมุนไพรพวกนี้ ตอนที่ผมเรียนยังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะจำได้”

เพื่อให้กำลังใจแก่เหล่านักศึกษา ฉีเล่ยจึงจำใจต้องพูดโกหกออกไปแบบนั้น

“แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้พวกคุณขี้เกียจ เพราะถ้าแม้แต่ปรุงยาสมุนไพรไม่ได้ ก็คงรักษาผู้ป่วยให้หายจากความทรมานไม่ได้เช่นกัน หวังว่าพวกคุณทุกคนจะกลับไปทบทวนบทเรียนของวันนี้ให้มากยิ่งขึ้น เอาล่ะ เลิกคลาสเรียนได้”

ขณะที่ฉีเล่ยเดินออกจากห้องเรียนไป จู่ๆก็มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากข้างใน

ฉีเล่ยอดยิ้มขื่นไม่ได้ แต่อย่างไรเขาก็เข้าใจหัวอกของนักศึกษาเหล่านี้ดี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การต้องมานั่งเรียนทฤษฎีต่างๆและหลักการของแพทย์แผนจีนตั้งแต่หนึ่งคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก โชคดีที่ภายในห้วงสมองของเขามีมรดกอันล้ำค่าของบรรพบุรุษสลักจารึกไว้อยู่ เมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้ ข้อมูลเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นภายในใจทันที จึงทำให้ฉีเล่ยสามารถหยิบขึ้นมาใช้ได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยกลับการไปพลิกหน้าหนังสือ

ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่า การนั่งท่องจำหนังสือแพทย์แผนจีนมันน่าเบื่อขนาดไหน แต่นี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน นอกจากคนที่โชคดีอย่างฉีเล่ย ถ้าใครอยากจะประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องฝ่าฟันความทุกข์ทรมานเหล่านี้ไปให้ได้

ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเองภายในใจ จู่ๆมือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็สั่นและดังขึ้นมา

ปรากฏว่าเป็นข้อความWechatจากหลี่ถงซี : ฉันรอคุณอยู่ด้านนอกเหมือนเดิม

ฉีเล่ยพิมพ์ตอบไปว่า : เข้าใจแล้ว กำลังออกไป

จากนั้นฉีเล่ยก็รีบเดินไปทางประตูรั้วด้านหลังมหาวิทยาลัย เพราะในขณะนี้หลี่ถงซีกำลังรอเขาอยู่นอกประตูรั้วนั้น และถ้านัดเจอกันในมหาวิทยาลัย ก็คงหนีไม่พ้นเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆอีกแน่นอน

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัย จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังขึ้นจากด้านหลัง

“ฉีเล่ย”

ฉีเล่ยเหลียวหน้าไปมองก่อนจะพบว่าเป็นหลินชูวโม่

“อาจารย์หลิน มีอะไรรึเปล่าครับ?”

ฉีเล่ยเหลือบมองไปที่BMWที่จอดเทียบข้างอยู่อีกฟากด้านนอกมหาวิทยาลัย ก่อนจะตัดสลับหันมามองหลินชูวโม่ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาตนเอง

เขารีบใช้ความคิดอย่างหนักทันทีว่า ควรทำอย่างไรถึงจะหลีกเลี่ยงการตอบโต้กับหลินชูวโม่ได้

“อาจารย์หลินมีอะไรรึเปล่าครับ?”

หลินชูวโม่สวนกลับทันควัน

“ถ้าไม่มีอะไรฉันก็มาหาไม่ได้ใช่ไหม? ฉันไม่มีธุระอะไรหรอก แค่คิดถึงนาย”

ขณะเอ่ยกล่าวไป เธอก็เคลื่อนขยับเข้ามาใกล้ฉีเล่ย และต้องการจะคว้าแขนของอีกฝ่ายมากอด

“เดี๋ยวก่อน! ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรทำตัวสนิทสนมกันขนาดนี้นะครับ”

ฉีเล่ยรีบถอยหนีสร้างระยะห่างทันที

“ฮ่าฮ่า…”

หลินชูวโม่กลั้นขำต่อไปอีกไม่ไหวจนต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

“ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรทำตัวสนิทสนมงั้นเหรอ? รู้ตัวไหมว่านายน่ารักมากเลย ไปดินเนอร์กับพี่สาวคนนี้สักมื้อสิจ๊ะ วันนี้จะได้ดูผลลัพธ์หลังการรักษาของเซียวเซียวด้วย เพราะฉะนั้นนายไม่ควรปฏิเสธนะ”

“แต่ผมไม่ว่างจริงๆ”

น้ำเสียงที่เอ่ยตอบออกมาจากปากฉีเล่ยทั้งชัดเจนและเย็นชา

ทว่าฉีเล่ยกลับไม่รู้ตัวว่า ตอนนี้หลี่ถงซีได้เปิดประตูลงจากรถและเดินมายืนอยู่ด้านหลังของตนแล้ว

ดูท่าคำกล่าวที่ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้นั้นจะเป็นจริงทุกประการ โดยเฉพาะแม่เสือสาวสองตัวนี้

เดิมทีความสนอกสนใจทั้งหมดของหลินชูวโม่อยู่ที่ฉีเล่ยเสมอมา จนไม่ได้สังเกตเลยว่า หลี่ถงซีกำลังเดินเข้ามาใกล้ ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากตอบฉีเล่ยกลับไป ก็ดันไปสังเกตเห็นแววตาอันสุดแสนจะเย็นชาของหลี่ถงซีจากด้านหลังของฉีเล่ยเข้า

สองเทพธิดาผู้งดงามที่สุดแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งกำลังเผชิญหน้ากัน เสมือนน้ำแข็งกับเปลวเพลิง ทันใดนั้นประดุจจิตวิญญาณแห่งนักสู้ของหลินชูวโม่ก็ถูกปลุกขึ้นมาจากภายใน

“มองอะไร? เธอกับเขาเป็นอะไรกัน?”

“ครอบครัว”

“อะห๊ะ แล้วยังไง?”

“หลินชูวโม่กลอกตามองบนใส่อีกฝ่าย ราวกับพยายามจะสื่อว่า ‘แล้วเธอมาจุ้นจ้านอะไรแถวนี้?’

หลี่ถงซีกล่าวตอบเสียงเย็นว่า

“เขาต้องไปทานอาหารเย็นกับฉัน”

หลินซูวโม่หัวเราะใส่

“เสียใจด้วยนะ ฉันชวนเขาก่อน”

หลี่ถงซีตอบโต้กลับทันที

“งั้นเขาก็ต้องปฏิเสธเธอ”

“ตลกไปหน่อยมั๊ง?”

หลินชูวโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เธอมีสิทธิ์อะไรไปสั่งเขาให้ปฏิเสธฉัน?”

“เพราะฉันมาก่อน!”

ในระหว่างที่พูด หลี่ถงซีก็ได้หยิบมือถือของเธอขึ้นมาและเปิดข้อความในWechatให้หลินชูวโม่ดู เห็นได้ชัดว่าฉีเล่ยตอบตกลงกับหลี่ถงซีก่อนที่หลินชูโม่วจะเอ่ยชวนจริงๆ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset