ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 112 ไม่จำเป็น

ตอนที่112 ไม่จำเป็น

หลินชูวโม่ไม่ได้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉีเล่ยกับหลี่ถงซีเท่าไหร่นัก แต่จู่ๆจะมีผู้ชายคนหนึ่งบังเอิญไปเดินชนกับอาจารย์ที่ได้ชื่อว่า‘เทพธิดาน้ำแข็ง’ และสนิทสนมกันขนาดนี้ได้ยังไง? อย่างน้อยๆพวกเขาทั้งคู่จะต้องสนิทกันมาก่อนในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

หญิงสาวสองคนนี้มีอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกันนอกจากความสวย นั่นก็คือนิสัยอันแปลกประหลาดในทางลบ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนบอกว่า หลี่ถงซีชอบตีตัวออกห่างจากสังคมและอยู่คนเดียว ความจริงแล้วตัวของหลิวชูวโม่เองก็เป็ฯเช่นนั้น ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเธอเป็นคนเข้าหาง่าย อัทยาศรัยดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนที่เข้าใกล้เธอกลับรู้สึกห่างเหินอย่างบอกไม่ถูก

อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนเลยก็คือ ตอนประชุมสัมมนาเรื่องการใช้ยาในระบบการศึกษา มีอาจารย์ผู้ชายจากมหาวิทยาลัยอื่นอยู่คนหนึ่ง พยายามชวนหลี่ถงซีพูดคุยอยู่สองสามคำ และนั่นก็ทำให้เธอเผยสีหน้าอันสุดแสนจะรังเกียจออกมาอย่างเปิดเผย ส่วนของหลินชูวโม่ก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเช่นกัน ถึงแม้เธอจะดูคุยเก่งสนุกสนาน แต่เธอก็กำหนดสถานะและระยะห่างจากคู่สนทนาพอควร

สำหรับเรื่องความรักต้องห้ามระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หลินชูวโม่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

เนื่องจากนิสัยอันแปลกประหลาดของเธออีกนั่นแหละ จึงเว้นระยะห่างกับคนอื่นเอาไว้ค่อนข้างมารก เธอจึงไม่มีเพื่อนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเลย ไม่มีใครสักคนที่จะคอยเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟัง และตัวเธอเองก็ไม่สนใจที่จะฟังอีกด้วย นอกจากหน้าที่การงานในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว เธอยังมีธุรกิจคลินิกเสริมความงามอีก หรือพูดง่ายๆก็คือ วงสังคมโดยส่วนใหญ่ของเธอไม่ได้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่หลินชูวโม่สัมผัสได้อย่างชัดแจ้งคือ ความกระวนกระวายใจของหลี่ถงซีที่มีต่อฉีเล่ย นี่ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ

หลินชูวโม่เป็นหญิงสาวที่ภาคภูมิใจในตัวเองที่สุดคนหนึ่ง ถ้าเธอไม่ได้สนใจฉีเล่ยมากขนาดนี้จริงๆ เธอคงไม่เลือกที่จะมีเรื่องกับหญิงสาวคนนี้อย่างแน่นอน

พวกเธอทั้งคู่สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เธอทั้งสองกลับไม่เคยเอ่ยปากทักทายกันแม้แต่คำเดียว

หลินชูวโม่ไม่อยากยอมแพ้ทั้งแบบนี้เลย เธอจึงเอ่ยปากกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มขึ้นว่า

“ทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างพูดกันว่า อาจารย์หลี่เป็นสาวบริสุทธิ์ไม่เคยทำเรื่องไม่เหมาะสม ทั้งยังรักษาระยะห่างกับผู้ชายทุกคนที่เข้ามาใกล้ แต่ดูท่าข่าวลือนี้คงจะไม่เป็นความจริงสินะ?”

หลี่ถงซีเองก็ไม่ถอยเช่นกัน เธอโต้สวนกลับไปทันที

“ฉันเองก็ได้ยินมาว่า อาจารย์หลินเปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่น รสนิยมค่อนข้างบิดเบี้ยว อย่างกับว่าผู้ชายทุกคนในโลกต้องผ่านการขึ้นเตียงกับเธอมาก่อน จนถูกบางคนนินทาว่าทำตัวสำส่อน ดูท่าข่าวลือนี้ก็คงจะเป็นความจริงสินะ”

“อยู่แล้ว”

หลินชูวโม่ยักไหล่ราวกับไม่ได้แยแสคำพูดพวกนั้นนัก เธอหันไปมองฉีเล่ยแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ยังไงก็เถอะ ฉันรักอาจารย์ฉีจริงๆนะ”

หลี่ถงซีเอ่ยตอบกลับไปว่า

“เป็นคนตรงไปตรงมาดีนะ แต่มาบอกฉันทำไม?”

“โถ่…อาจารย์หลี่คิดมากเกินไปแล้ว ที่ฉันต้องบอก…เพราะเป็นมารยาทก่อนแย่ง!”

“คุณมาช้าเกินไป”

“ของแบบนี้มันแข่งกันที่ใครมาก่อนมาหลังเหรอคะ? ผลลัพธ์ยังไม่ออก อย่าเพิ่งด่วนตัดสินสิ?”

“ผลมันก็เห็นๆกันอยู่แล้ว อะไรนะ? หรือคุณก็แค่พวกขี้แพ้เอาแต่คร่ำครวญ?”

ฉีเล่ยได้แต่ยืนโง่อยู่แบบนั้น

“….”

เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยสักคำ ทำได้เพียงกวาดตามองสองสาวที่ตั้งท่าราวกับจะตบตีกันอยู่แล้ว

คนหนึ่งแสยะยิ้มเย้ยเยาะอย่างกับดอกไม้ไฟที่พร้อมระเบิดอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกคนก็สีหน้าเยือกเย็นจนหนาวจับขั้วกระดูกดำ

ผู้หญิงคนหนึ่งร้อนเป็นไฟ ส่วนเธออีกคนก็เย็นราวกับน้ำแข็ง…

ฉีเล่ยทราบดีว่า ตัวเองไม่น่าจะเข้าไปขัดขวางอะไรได้ และเขาก็ไม่คิดที่จะเข้าไปขัดจังหวะด้วย เพราะคนหนึ่งก็ผู้ร่วมอาศัย ส่วนอีกคนก็หุ้นส่วนธุรกิจ…

แต่ทันใดนั้นเอง คำพูดประโยคถัดไปของหลี่ถงซี ก็ทำเอาเขายิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปใหญ่

“ฉันมาก่อนคุณ และคุณมาช้าเกินไป! นี่ยังไม่ใช่คำตอบอีกรึไงว่าใครเป็นผู้ชนะ? เขาไม่ใช่ผู้ชายของคุณ เสียใจด้วย!”

โอ๊ยย…หยุดเถอะ!

ฉีเล่ยจงใจถอนหายใจเสียงดังใส่หญิงสาวทั้งคู่และรีบพูดขัดขึ้นทันที

“พวกคุณสองคนช่วยหยุดทะเลาะกันสักครู่จะได้มั๊ย? เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมเลี้ยงอาหารเย็นทุกคนเอง เรามาทานข้าวด้วยกันดีไหม?”

“ไม่!”

สองสาวกล่าวตอบโดยพร้อมเพรียง

“…”

ฉีเล่ยไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ทำได้เพียงต้องหยิบเอาท่าไม้ตายประจำตัวของเขาออกมาใช้!

“งั้นก็เชิญพวกคุณสองคนทะเลาะกันตามสบาย แต่ยอบอกไว้อย่าง ผม มี เมีย แล้ว!!”

“ฉัน รู้!!”

สองสาวตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง

“…”

หลังจากนั้นไม่นาน หลินชูวโม่ก็ขยิบตาหวานส่งให้ฉีเล่ยไปหนึ่งครั้ง และพูดขึ้นด้วน้ำเสียงอันทรงเสน่ห์ขึ้นว่า

“สุดหล่อ งั้นพี่สาวขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่นะจ๊ะ”

ทันทีที่พูดจบ เธอก็เดินขึ้นแท็กซี่ออกไปทันที

ฉีเล่ยเหลือบสังเกตมองสีหน้าท่าทางที่สุดแสนจะน่าสงสัยของหลี่ถงซีที่มีต่อเขา ก่อนจะยักไหล่ถามขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า

“ถ้ามีอะไรอยากจะถาม ก็ถามมาเลย”

หลี่ถงซีกล่าวตอบน้ำเสียงเย็นชาว่า

“เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ฉันไม่มีสิทธิ์ถามหรอก อีกอย่างนั่นมันเรื่องส่วนตัวของคุณ”

ทันทีที่พูดจบเธอก็หมุนตัวกลับออกไป และเดินไปที่รถBMWของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินตามเธอไป

ตลอดทางกลับ บรรยากาศภายในรถช่างน่าอึดอัดมากเหลือเกิน

หลี่ถงซีนั่งหน้าตรงเอาแต่ขับรถโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองควรจะพูดอะไร เพราะถ้าสิ่งที่พูดออกไปไม่ถูกใจเธอขึ้นมา เกรงว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

ซึ่งอันที่จริง เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เธอฟังด้วยซ้ำ เขาอาศัยอยู่กับอาวุโสหลี่เพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้น ทันทีที่เฉินอวี้หลัวมาถึงปักกิ่ง ช้าเร็วเขาก็ต้องย้ายออกไปอยู่ดี ถึงเวลานั้นเขาก็จะเป็นอิสระและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่ถงซีอีก

ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ฉีเล่ยก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันดังมาจากห้องนั่งเล่น และเมื่อเปิดประตูเข้าไปจึงพบว่า มีแขกมาเยี่ยมเยีอนที่บ้าน

ภายในห้องนั่งเล่น มีชายสามคนกำลังหันมาจับจ้องมองเขากันเป็นตาเดียว ชายชราสองคนนี้เป็นที่รู้จักดีนั่นก็คือ หลี่ฮั่วเฉินและหลินหมิงจาง ส่วนชายหนุ่มอีกคนฉีเล่ยกลับไม่รู้จัก

หลี่ฮั่วเฉินยิ้มและกล่าวขึ้นว่า

“กลับมาสักที นี่คือแขกของฉันในวันนี้”

หลินหมิงจางรีบยืนขึ้นและผายมือไปทางฉีเล่ย พร้อมแนะนำชายหนุ่มอีกคนให้รู้จักทันที

“จ้าวหยวน นี่คือฉีเล่ยที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังยังไงล่ะ เขาเป็นคนเดียวที่สามารถอ่านตำราเล่มนั้นเข้าใจ! พวกเธอสองคนล้วนแต่เป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าในแวดวงแพทย์แผนจีนจริงๆ เร็วเข้ารีบมาทำความรู้จักกันไว้ดีกว่า”

ทว่าสายตาคู่นั้นของเป่ยจ้าวหยวนกลับดูลุ่มหลงไปกับความงดงามของหลี่ถงซี เขาเอาแต่จับจ้องเธอที่อยู่ด้านหลังของฉีเล่ยแน่นิ่ง หลังจากได้ยินคำพูดของหัวหน้าภาคหลิน เขาจึงเพิ่งได้สติกลับคืน แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันสุดแสนจะอ่อนเยาว์ของฉีเล่ย สิ่งแรกที่เขาทำคือเริ่มกล่าวสบประมาททันที

“เฒ่าหลินพูดเล่นอีกแล้วนะ เด็กหนุ่มคนนี้น่ะเหรอที่จะเข้าใจหนังสือ‘ชีพจร’เล่มนั้น?”

แม้ชายหนุ่มคนนี้จะอายุใกล้เคียงกับฉีเล่ย แต่คำเรียกที่ออกจากปากของเขาคือ‘เฒ่าหลิน’

หลินหมิงจางหัวเราะตอบไปว่า

“ฉันเคยพูดเล่นกับนายที่ไหน? ฉีเล่ยเคยใช้วิชาจากตำราเล่มนั้นคลายเส้นลมปราณคนไข้ต่อหน้าตาแก่หลี่มาก่อนด้วย”

เป่ยจ้าวหยวนลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมพินิจฉีเล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยื่นมืออกไปให้และกล่าวทักทายว่า

“เป่ยจ้าวหยวน ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ฉีเล่ย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

ฉีเล่ยยื่นมืออกไปจับ

แต่สีหน้าการแสดงออกของอีกฝ่ายแค่เห็นก็รู้แล้วว่า รู้สึกขยะแขยงแค่ไหนที่ต้องจับมือกับฉีเล่ย นัยน์ตาที่สาดสะท้อนออกมามันเปี่ยมไปด้วยแววเหยียดหยามดูถูก ราวกับว่าทุกคนบนโลกนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะยกสถานะทียบเท่าเขาได้ ด้วยความหยิ่งผยองเหล่านี้ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกอึดอัดอย่างมาก

“อ่านตำรา‘ชีพจร’นั่นรู้เรื่องด้วยเหรอ?”

“นิดหน่อยครับ”

“จริงเหรอ?”

“อยู่ที่คุณจะเชื่อครับ”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสสนใจเช่นกัน

“งั้นแสดงให้ฉันดูหน่อยสิ?”

เป่ยจ้าวหยวนยิ้มเยาะพร้อมเอ่ยถามขึ้น

“แสดงให้ดู?”

ฉีเล่ยสบสายตามองอีกฝ่ายราวกับว่า กำลังมอง‘คนปัญญาอ่อน’

“แล้วทำไมผมต้องแสดงให้คุณดู?”

“พูดแบบนี้แสดงว่า…ทำไม่ได้สินะ? ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่าVein Scriptureที่ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเขียนไว้ โดยเขาบอกว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า พลังฉี พลังปราณในร่างกายของคนเราคือเรื่องหลอกลวง ผมจึงสรุปได้ว่าที่ทั้งเฒ่าหลิน ผมหรือแม้แต่อาวุโสหลี่อ่านตำราเล่มนั้นไม่เข้าใจ เป็นเพราะตำราเล่มนั้นมันถูกเขียนออกมามั่วๆ ถ้าคุณบอกว่าอ่านมันแล้วเข้าใจ งั้นก็ช่วยแสดงหลักฐานอะไรให้ดูหน่อยสิครับ?”

“ไม่ ไม่จำเป็น”

ฉีเล่ยโบกมือปฏิเสธและกล่าวต่อว่า

“ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องพลังปราณ หรือพลังฉีในร่างกายคนเราหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมมีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตและรักษาโรคภัยของผู้คน ไม่ใช่ตัวตลกที่จะมาโชว์อะไรสุ่มสี่สุ่มห้า หรือเห็นผมเป็นนักกายกรรมเหรอครับ?”

ฉีเล่ยดูถูกดูแคลนคนประเภทนี้อย่างสุดหัวใจ เขารู้สึกว่า เวลาคนเก่งที่มีฝีมือจริงๆมาพบเจอกัน สิ่งแรกที่ทำต้องไม่ใช่การข่มอีกฝ่ายหรือโอ้อวดตนเอง แต่ควรจะต้องเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้เพื่อเสริมซึ่งกันและกัน

ถ้ามีเวลาว่างจนถึงขั้นต้องมาแสดงโชว์อะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น สู้เอาเวลาไปช่วยชีวิตผู้ป่วยในโรงพยาบาลจะดีกว่าไหม?

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset