ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 113 เทคโนโลยีระดับนี้

ตอนที่113 เทคโนโลยีระดับนี้

“นี่นายเป็นคนแบบนี้เหรอ? ที่บ้านไม่อบรมสั่งสอนหรือยังไง? ฉันแค่เอ่ยปากทักทายธรรมดา แต่ทำไมปากเสียได้ขนาดนี้…”

ฉีเล่ยตอบโต้กลับทันควัน

“ผมไม่อยากแสดงให้คุณดูเพราะมันเสียเวลาเปล่า แล้ววันหลังก่อนจะพูดอะไรก็หัดดูอารมณ์ของอีกฝ่ายบ้างนะครับ จะได้ไม่ทำตัวเสียมารยาทแบบนี้อีก”

เป่ยจ้าวหยวนระเบิดหัวเราะน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม

“คงจะเป็นพวกมีตาแต่ไร้แววสินะ กระทั่งอะไรดีกับตัวเองยังไม่รู้เลย มิน่าถึงได้กล้าพูดจาพล่อยๆแบบนี้กับฉัน”

เดิมทีหลินหมิงจางคิดว่าทั้งสองคนนี้น่าจะเข้ากันได้ดี แต่ใครจะไปคิดว่า เพียงแค่การพบหน้าครั้งแรกก็เผยกลิ่นดินปืนปะทุขึ้นแล้ว ปล่อยไว้คงท่าไม่ดีแน่ เขาจึงรีบกล่าวแนะนำขึ้นอีกครั้งว่า

“ฉีเล่ย จ้าวหยวน อย่าทะเลาะกันเลย พวกเราก็น่าจะทราบดีไม่ใช่เหรอว่า แพทย์แผนจีนในยุคสมัยนี้มันอ่อนแอขนาดไหน พวกเราควรร่วมแรงร่วมใจช่วยกันฟื้นฟู ไม่ใช่แตกคอกันตั้งแต่แรกพบจริงไหม?”

หลี่ฮั่วเฉินยังกล่าวอีกว่า

“ถูกต้อง ฉีเล่ย หนุ่มสาวรุ่นพวกเธอยังมีพละกำลังเหลือล้น ถ้าต่างคนต่างวางทิฐิลงบ้าง ฉันเชื่อว่า ในอนาคตพวกเธอทั้งคู่จะต้องกลายมาเป็นคู่หู่ที่ดีได้อย่างแน่นอน”

เป่ยจ้าวหยวนกล่าวเหยียดขึ้นทันที

“เฒ่าหลิน อาวุโสหลี่ ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นแก่หน้าพวกคุณหรอกนะ แต่พวกคุณสองคนเอาแต่คุยโม้ว่าฝีมือของหมอนี่ดีเลิศอย่างโน้นอย่างนี้ แถมยังอ่านตำราไร้สาระนั่นเข้าใจอีก? แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละ ผมก็เลยอยากมาดูหน้าอีกฝ่ายสักหน่อย แล้วไม่ทราบว่าหมอนี่รู้หรือไม่ว่า ผมคือผู้สืบทอดแห่งตระกูลเป่ย เข็มเทวะ? แต่ช่างเถอะ สุดท้ายนี้ผมพิสูจน์ได้แล้วว่า หมอนี่ก็แค่ของปลอม ลาก่อนครับ”

หลังจากพูดจบ เป่ยจ้าวหยวนก็หมุนตัวกลับและกำลังจะลาจากออกไป

“เดี๋ยว”

ฉีเล่ยเอ่ยเรียกอีกฝ่ายจากด้านหลัง

“อะไรอีก? อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่ของปลอมหรือไง?”

เป่ยจ้าวหยวนเหลียวหลังมองกลับมา พลางเอ่ยประชดประชันใส่ฉีเล่ยทันที

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นว่า

“ตระกูลเป่ย เข็มเทวะคืออะไร?”

เป่ยจ้าวหยวนระเบิดหัวเราะเยาะใส่ไปอีกหนึ่งครั้ง แล้วจึงตอบไปว่า

“นี่นายไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อตระกูลเป่ย เข็มเทวะ? นี่นายเรียนแพทย์แผนจีนมาจริงรึเปล่า?”

ฉีเล่ยกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า

“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน ดังนั้นแล้ว ผมจะให้โอกาสเชิญให้คุณโม้ต่ออีกสักหน่อย พูดมา ผมกำลังฟังอยู่”

“นี่นาย…”

เป่ยจ้าวหยวนยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเล่ยทันที พร้อมคำรามเสียงต่ำอย่างโกรธเคืองขึ้นว่า

“นี่นายกำลังกล่าวหาว่า ตระกูลเป่ยของฉันเป็นเรื่องคุยโม้อย่างงั้นเหรอ?”

หลินหมิงจางรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาโดยเร็วว่า

“ฉีเล่ย ปู่ของจ้าวหยวนก็คือ เป่ยฉวนเทียน เหลนของผู้อาวุโสเป่ยแห่งแมนจู บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นทายาทของตระกูลแปดขุนศึกใหญ่ ทั้งยังมีสายเลือดผู้สืบทอดโดยตรงจากวังจักรพรรดิโอสถ ตอนจ้าวหยวนอายุได้แปดขวบ เขาก็เริ่มศึกษาเรื่องศาสตร์แพทย์แผนจีน ตอนอายุได้สิบสี่ก็เริ่มร่ำเรียนวิชาฝังเข็มจากปู่ของตน บนเส้นทางสายนี้พูดได้ว่า จ้าวหยวนอุทิศทั้งกายใจมาโดยตลอด จนทำให้ปัจจุบันเขามีชื่อเสียงอย่างมากในด้านฝีมือการฝังเข็ม ทุกคนต่างขนานนามว่า‘ยอดเข็มเทวะ เป่ยน้อย’”

หลี่ฮั่วเฉินยังคงกล่าวเสริมอีกว่า

“ทักษะการแพทย์แผนจีนของอาวุโสฉวนเทียนนับว่าล้ำเลิศอย่างแท้จริง อีกทั้งจรรยาบรรณทางการแพทย์ของเขายังสูงส่งกว่าสิ่งใด ไม่ว่าจะจนหรือรวย เขามักปฏิบัติกับผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียมกันและรักษาพวกเขาด้วยใจรัก บรรพบุรุษของตระกูลเป่ยเองล้วนถือคติว่า มีคุณธรรมนำชีวิต จนจักรพรรดิองค์สุดท้ายได้ประทานตำแหน่ง‘เข็มเทวะ’ลงต่อท้ายชื่อตระกูลเป่ย”

ฉีเล่ยได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบ

“ถ้าทุกคนมองการแพทย์แผนจีนเป็นศัตรู อาวุโสเป่ยผู้นั้นถือได้เป็นวีรบุรุษ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเกียรติภูมิที่ผ่านมาของเขาน่ายกย่องเพียงใด น้อยคนนักที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยใจรักจากก้นบึ้งของจิตใจ”

หลังจากได้ยินคำอธิบายของหลินหมิงจางกับหลี่ฮั่วเฉินไปแล้ว อีกทั้งยังได้ยินคำยอมรับจากฉีเล่ยอีก ทั่วทั้งใบหน้าของเป่ยจ้าวหยวนก็เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ

“แน่นอน ทีแรกฉันก็ไม่อยากบอกเรื่องนี้กับนายหรอกนะ เพราะอยากเห็นตอนที่นายหน้าแหกต่อหน้าคนอื่นมากกว่า แต่ก็เอาเถอะ แล้วอย่าไปเที่ยวหลอกคนอื่นอีกล่ะ เดี๋ยวมันจะยิ่งทำให้แพทย์แผนจีนดูแย่ลงไปใหญ่”

ฉีเล่ยเหลือบมองไปทางอีกฝ่ายและกล่าวขึ้นว่า

“แต่ผมสับสนอยู่อย่างนะ ทั้งๆที่ปู่ของคุณทั้งมีคุณธรรมและจริยธรรมที่น่านับถือขนาดนั้น แต่ทำไมท่านถึงได้โชคร้ายให้กำเนิดหลานชายไม่เอาไหนแบบคุณได้?”

เป่ยจ้าวหยวนกล่าวเย้ยหยันสวนกลับไปทันที

“ถึงฉันจะดูอวดรู้อวดฉลาดไปบ้าง แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยทำให้ตระกูลเป่ยของตัวเองต้องอับอาย ในทางกลับกัน ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นายเรียนจบแพทย์แผนจีนมาจริงรึเปล่า? ถึงเอาแต่เที่ยวหลอกลวงคนไปทั่วแบบนี้”

ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแส

“บางทีสิ่งที่ผมเรียนมามันอาจจะแตกต่างกับคุณที่เรียนมาก็ได้ ทักษะทางการแพทย์ของผมมีไว้ใช้สำหรับช่วยชีวิตคน ไม่ใช่แบบคุณที่เรียนเพื่อใช้แสดงละครปาหี่ ถ้าผมมีเวลาว่าง ผมจะไปเยี่ยมเยียนบ้านของคุณ โดยเฉพาะกับคุณปู่เป่ยฉวนเทียน เพราะท่านน่าจะเป็นเพียงคนเดียวในตระกูลเป่ย ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของผม”

“นี่นาย…”

สีหน้าของเป่ยจ้าวหยวนแปรแปลี่ยนเป็นสีเขียวอมม่วงด้วยความโกรธจัดทันที

ฉีเล่ยขี้เกียจเกินกว่าจะมาทะเลาะกับคนแบบนี้แล้ว เขาหันไปกล่าวกับหลี่ฮั่วเฉินว่า

“เปลืองน้ำลายไปซะเยอะ ผมหิวแล้ว อาวุโสหลี่ วันนี้ทำอะไรกินครับ?”

เป่ยจ้าวหยวนสะบัดแขนเสื้อเดินจากออกไปทันที แต่ก่อนที่จะก้าวออกจากตัวบ้าน เขาไม่ลืมที่จะชำเหลืองมองหลี่ถงซีเล็กน้อยด้วยแววตาเสน่หา

หลินหมิงจางจับจ้องไปทางฉีเล่ย พลางกล่าวขึ้นพร้อมกับท่าทางลำบากใจ

“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้คาดหวังจะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้ ทีแรกก็คิดไปว่าพวกเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังมีนิสัยที่รักการแพทย์แผนจีนเหมือนกันด้วย ก็เลยคิดเองเออเองว่า…พวกเธอทั้งคู่น่าเข้ากันและสนิทสนมกันได้”

“ไม่เป็นไรครับอาวุโสหลิน มันไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย”

ฉีเล่ยกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เดี๋ยวฉันออกไปส่งตาแก่นี่ก่อน พวกเธอรีบกินข้าวกันเถอะ”

หลังจากกล่าวจบ หลี่ฮั่วเฉินก็เดินออกไปส่งหลินหมิงจาง

แต่พอกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง หลี่ฮั่วเฉินก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ตาแก่หลินเจตนาดีนะ ก็เห็นว่าพวกเธอทั้งคู่เป็นแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่ไฟแรง ซึ่งตาแก่หลินเองก็รู้สึกชื่นชมทักษะฝีมือของเธออย่างมาก ก็เลยพา‘เข็มเทวะเป่ยน้อย’มาหาที่นี่ เพราะอยากจะให้พวกเธอสองคนผนึกกำลังฟื้นฟู่แพทย์แผนจีนให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง…”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า

“ผมเข้าใจเจตนาดีของพวกคุณนะครับ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของการแพทย์แผนจีน แต่บางคนกลับตาบอด และหยิ่งยโสเกินไป ผมเองก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคนพวกนี้ด้วย”

หลี่ฮั่วเฉินพยักหน้ากล่าวตอบไปว่า

“เป่ยจ้าวหยวนเป็นแพทย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการนี้ ใครๆต่างก็ยกย่องสรรเสริญว่าเป็น‘ผู้สืบทอดตระกูลเป่ยเข็มเทวะแห่งยุค’ จึงเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายจะชูคอมีท่าทีหยิ่งยโสขนาดนี้”

ฉีเล่ยปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆตอบ

ในแง่ของพรสวรรค์ เป่ยจ้าวหยวนอาจจะพอมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ แต่ในส่วนของมารยาท ก็น่าจะเห็นถ้อยคำและน้ำเสียงที่เขาใช้สนทนากับหลี่ฮั่วเฉินกับหลินหมิงจางแล้วว่า เขาเคารพทั้งคู่ในฐานะรุ่นพี่มากน้อยแค่ไหน?

เรียกหลินหมิงจางว่าเฒ่าหลิน ถ้าหลี่ฮั่วเฉินไม่ได้มียศตำแหน่งสูงในโรงพยาบาลก็คงโดนเรียกว่า เฒ่าหลี่เช่นกัน

“ผู้สืบทอดแห่งยุค?”

ฉีเล่ยหัวเราะ

“ถ้าอย่างนั้น ในอนาคตผมคงจะได้รับสมญานามนี้เช่นกัน”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าพึงพอใจว่า

“ในอนาคตต่อไป ต้นกล้าอย่างพวกเธอก็จะเติบโตขึ้น ส่วนที่ว่าใครคู่ควรกับสมญานามนี้อย่างแท้จริง ก็คงต้องประลองกันสักยก”

ฉีเล่ยแสยะยิ้มตอบไปว่า

“ไม่จำเป็นครับ ไม่จำเป็น ไม่ต้องประลองก็รู้แล้วว่า ฝืมือของเขาด้อยกว่าผมมาก”

“…”

หลี่ฮั่วเฉินพลางคิดกับตัวเองภายในใจ

‘ในแง่ของความหยิ่งยโส เธอเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเลยนะ’

‘แล้วแบบนี้ เธอยังมีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่ายด้วยเหรอ?’

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็รีบวิ่งกลับขึ้นห้องนอนของเขาทันที

หลี่ถงซีเพิ่งซื้อแล็ปท็อปมาให้เขา ฉีเล่ยจึงอยากไปลองใช้ดู

ในอดีต เมื่อครั้งที่เขาเข้ามาเป็นลูกเขยสกุลเฉินใหม่ๆ ตลอดแปดปีที่ผ่านมานอกจากต้องเดินเก็บขยะเพื่อหาเลี้ยงชีพทุกวันแล้ว เขายังต้องปรนนิบัติรับใช้เฉินอวี้หลัวกับแม่ของเธออีก จึงไม่มีโอกาสได้สัมผัสเทคโนโลยีของยุคสมัยนี้เลย

ฉีเล่ยนั่งศึกษาคู่มือการใช้อยู่เป็นเวลานาน และพยายามหาวิธีเปิดเครื่องอยู่นานกว่าจะได้ พอเปิดขึ้นมาได้แล้ว เขาก็จับจ้องอยู่ที่หน้าจอด้วยความรู้สึกว่างเปล่า มือข้างขวากุมเมาท์ค้างอยู่ท่านั้นด้วยความงุนงง

เขาไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรต้องทำอย่างไรต่อ?

ไม่ได้การแล้ว การจะใช้เทคโนโลยีระดับนี้มันยากกว่าเรียนแพทย์ซะอีก! ฉันต้องหาอาจารย์มาสอน!

ด้วยเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงเดินไปเคาะประตูห้องนอนของหลี่ถงซีทันที

“ว่าไง?”

หลี่ถงซีเปิดประตูออกมาพร้อมกับร้องถามฉีเล่ย

“ช่วยสอนผมใช้ไอ้เจ้าสิ่งนี้หน่อยสิ…”

ปฏิกิริยาแรกที่หลี่ถงซีได้ยินคำขอของฉีเล่ย เธอถึงกับยืนตะลึงอยู่สักพัก มุมปากของหญิงสาวกระตุกขึ้นเล็กน้อยด้วยความขบขัน ทุกวันนี้ยังมีคนต้องการให้สอนใช้แล็ปท็อปอีกเหรอนี่?

“ก็ได้ ก็ได้ รอฉันแป๊ปนึง”

หลี่ถงซีตอบรับทันที

“ขอบคุณ”

ฉีเล่ยยืนรออยู่หน้าประตูห้องสักพัก ส่วนหลี่ถงซีก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและตามอีกฝ่ายไปที่ห้อง

เมื่อจับจ้องไปที่หน้าเดสท็อปของระบบปฏิบัติการWin10บนหน้าจอ หลี่ถงซีก็เอ่ยถามขึ้นว่า

“เอาล่ะ นายรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบว่า

“ก็กดปุ่ม ปุ่มนี้คือปุ่มเปิด แต่ถ้ากดอีกทีคือปิด…ใช่ไหม?”

“…”

หลี่ถงซีหมดคำจะพูด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset