ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 114 ในที่สุดก็มีQQ

ตอนที่114 ในที่สุดก็มีQQ

หลี่ถงซีถึงกับกุบขมับ

หรือเพื่อนหนุ่มคนนี้ของเธอไม่รู้แม้แต่วิธีจุดไฟด้วยซ้ำ นี่เขากำลังแกล้งโง่เพื่อกวนประสาทเธองั้นเหรอ?

ดูเหมือนว่าบทเรียนการสอนใช้คอมพิวเตอร์ในครั้งนี้คงต้องใช้เวลานานเป็นพิเศษ แต่อีกใจหนึ่งหลี่ถงซีก็รู้สึกมีความสุขไม่น้อยเลยเช่นกัน

นี่เท่ากับว่าเธอมีข้ออ้างที่จะได้อยู่กับฉีเล่ยสองต่อสองแล้วไม่ใช่เหรอ?

“ฉันจะสอนนายตั้งแต่วิธีการเปิดและปิดแล็ปท็อปเครื่องนี้ก่อน ซึ่งนี่เป็นบทเรียนขั้นพื้นฐานที่สุด”

หลี่ถงซีอธิบายต่อทันที

“วิธีเปิดเครื่องของนายถูกต้องแล้ว แต่วิธีปิดนั้นผิด การกดปิดโดยตรงแบบนั้นอาจทำให้ระบบภายในรวนได้ เดี๋ยวฉันจะสาธิตให้ดูทีหลัง แล้วตอนนี้นายมีอะไรที่อยากเรียนรู้เป็นพิเศษไหม?”

ถ้าสังเกตให้ดีๆ ตั้งแต่หลี่ถงซีผ่านเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างตัวเธอกับหลินชูวโม่มา หญิงสาวก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกฉีเล่ยจาก‘คุณ’กลายมาเป็น‘นาย’ เพื่อย่นระยะความสัมพันธ์ไม่ให้ดูเหินห่างนัก

“มีครับ”

“ต้องการเรียนรู้เรื่อง?”

“สิ่งที่เรียกว่า QQ”

“QQงั้นเหรอ?”

“ครับ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ เขาได้ยินไอ้สิ่งที่เรียกว่า QQ มานานมากแล้ว เห็นว่าทุกคนมักจะใช้เจ้าสิ่งนี้สำหรับสนทนากับทุกคนบนโลกอินเตอร์เน็ต และเขาเองก็อยากลองใช้งานมันเช่นกัน แต่ถึงแบบนั้น ภายใต้การกดขี่ตลอดแปดปีที่ผ่านมาของสองแม่ลูกสกุลเฉิน ทำให้เขาไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง ก็เลยไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้เจ้าสิ่งนี้เลย

หลี่ถงซีตอบกลับไปทันที

“โอเค อย่างแรกต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก่อน”

เธอกดเข้ารหัสพร้อมเชื่อมต่อกับรหัสไวไฟบนเครื่องของฉีเล่ยให้ทันที

หลังจากเชื่อมต่อสัญญาณเรียบร้อย หลี่ถงซีก็ช่วยโหลดโปรแกรมQQเข้ามาในเครื่องให้ทันที คลิกเข้าไปยังQQ บนหน้าจอปรากฏหน้าแรกสำหรับลงชื่อเข้าใช้ มาถึงตรงนี้เธอก็หันไปถามอีกฝ่ายว่า

“ต้องสมัครบัญชีก่อน”

“ต้องใช้อะไรบ้าง? ผมมีบัตรประชาชนกับบัญชีธนาคารอยู่ น่าจะพอสำหรับการสมัครใช่ไหม?”

“…”

หลี่ถงซีถึงกับถอนหายใจ และอาสาใช้อีเมลของตัวเธอเองกรอกข้อมูลสมัครให้โดยทันที พลางคิดไปว่า ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายสมัครด้วยตัวเอง ทั้งวันก็ไม่น่าจะเสร็จ

“เอาล่ะ นายจะตั้งชื่อบัญชีว่าอะไร?”

ฉีเล่ยเกาศีรษะเล็กน้อยพลางครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ เขากล่าวขึ้นว่า

“เซียนแพทย์สวรรค์หัตถ์นภาเคียงฟ้าสะท้านภพ”

“….”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากได้ฟัง หลี่ถงซีก็แทบอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด

“เซียนแพทย์สวรรค์หัตถ์นภาเคียงฟ้าสะท้านภพ…เอ่อ….แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะใช้ชื่อนี้?”

ภายในใจหลี่ถงซีต่อต้านชื่อนี้อย่างสุดกำลัง จึงเอ่ยถามย้ำหวังกระตุ้นให้อีกฝ่ายคิดชื่อใหม่

แต่ฉีเล่ยยังคงยืนยันคำเดิมว่าจะเอาชื่อนี้ หลี่ถงซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิมพ์ชื่อดังกล่าวลงไป ก่อนพบว่าระบบแจ้งกลับมาทันที[จำนวนอักษรเกินกว่าที่กำหนด]

“ตัวอักษรเกินมา นายต้องตัดส่วนหนึ่งออก”

“ตัดส่วนหนึ่งออก?”

ฉีเล่ยพยายามคิดชื่อนี้ขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ แต่จะบอกให้ตัดส่วนหนึ่งออกแบบนี้มัน…ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากพอควร

แต่ในที่สุด เขาก็จำใจต้องตัดส่วนหนึ่งออกไปเหลือแค่ [เซียนแพทย์สวรรค์หัตถ์นภา]

กว่าจะสมัครเข้ามาหน้าบัญชีได้ หลี่ถงซีถึงกับปวดหัวลามไปเกือบครึ่งซีก แต่ในที่สุดบัญชีQQแรกของฉีเล่ยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น!

“เราเข้าสู่ระบบได้แล้ว”

หลี่ถงซีกล่าว

แต่พอเปิดหน้าแชทสนทนาขึ้นมา ฉีเล่ยกลับไม่เห็นรายชื่อเพื่อนแม้แต่คนเดียวในQQเลย

“ในนี้ไม่มีใครเลยเหรอ?”

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นต่อว่า

“แล้วเลขบัญชีของคุณล่ะ? ขอเพิ่มเพื่อนกับคุณได้ไหม?”

หลังจากคิดอยู่นาน ในที่สุดหลี่ถงซีก็จำเลขบัญชีQQที่แทบจะไม่ได้ใช้มาเป็นปีๆขึ้นมาได้ พอบอกเลขบัญชีของเธอเสร็จสรรพ ฉีเล่ยก็ได้เพื่อนคนแรกในQQสักที

สักพักหนึ่ง ฉีเล่ยก็ร้องถามขึ้นมาอีกว่า

“แล้วผมจะสนทนากับคุณยังไง?”

“ใช้คีย์บอร์ดเป็นใช่ไหม?”

“เป็นครับ”

จากนั้นหลี่ถงซีก็ชี้ให้เขาลองดับเบิ้ลคลิกไปที่รูปโปรไฟล์ของเธอ จากนั้นลองให้ฉีเล่ยพิมพ์คำว่า‘สวัสดี’ส่งไปในช่องแชทสนทนา

ฉีเล่ยจับจ้องหน้าจออยู่สักพักและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ทำไมไม่มีคนตอบล่ะ?”

“…ก็ฉันอยู่ตรงนี้”

“งั้นคุณกลับไปที่ห้องเถอะ พวกเรามาคุยผ่านQQกันดีกว่า”

“…”

หลี่ถงซีอยากจะเอามีดสักเล่มมาปาดคอเขาให้ตายไปตรงนี้เลย

ตอนนี้ก็เจอกันตัวเป็นๆอยู่แล้วไง จะให้แยกออกไปคุยผ่านออนไลน์เพื่อ? นายเอาสมองไปใช้กับทางการแพทย์จีนจนไม่เหลือแล้วรึไง?

หลี่ถงซีกล่าวตอบไปว่า

“ฉันจะไปนอนพักสายตาแล้ว ที่เหลือก็ลองศึกษาเอาเองแล้วกัน”

“อืม ฝันดีครับ”

พอเหลือบไปมองใบหน้าของหลี่ถงซีที่ดูค่อนข้างเย็นชา ฉีเล่ยก็พลันสงสัยว่า ตัวเองพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?

วันต่อมา

ขณะที่กำลังยืนอยู่บนเวทีหน้าห้องเรียน ฉีเล่ยก็ยืนยิ้มแย้มอย่างมีความสุขขณะจับจ้องไปทางเหล่านักศึกษาเกือบร้อยคนที่อยู่ตรงหน้า

หลังจากผ่านไปได้สองถึงสามคลาส ในที่สุดก็มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งหมดความอดทนเนื่องจากความเคี่ยวของฉีเล่ย และเลือกที่จะไม่กลับมาเรียนอีกต่อไป ถึงแบบนั้นก็ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังมีจิตวิญญาณอันแรงกล้าและยืนหยัดอยู่ต่อ เป็นจำนวนสองเท่าจากจำนวนนักศึกษาในคาบแรก

ฉีเล่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างว่า

“ก่อนจะเข้าเรียน ผมมีข่าวดีที่จะประกาศกับทุกคน”

“ข่าวดีอะไรครับอาจารย์?”

“หรือว่า…หรือว่าเป็นไปได้ไหมที่อาจารย์ฉีกับอาจารย์หลี่กำลังจะแต่งงานกัน?!”

“จริงด้วย! จริงด้วย! มีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์ฉีกับอาจารย์หลี่จะกำลังคบหาดูใจกันอยู่! ไอ้บอร์ดสนทนาหน้าเว็บมหาวิทยาลัยเวรนั่นเตรียมหน้าแตกกันได้เลย!”

กลางดงของเหล่านักศึกษาแทบระเบิดออกมาในทันใด พวกเขาแต่ละคนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานา ราวกับว่าไม่เห็นฉีเล่ยอยู่ในฐานะอาจารย์คนหนึ่งเลย

เนื่องจากความแตกต่างของอายุระหว่างฉีเล่ยกับพวกนักศึกษาเหล่านี้ไม่ค่อยห่างกันมากนัก ผนวกกับรูปแบบการสอนของฉีเล่ยที่ค่อนข้างผ่อนคลายเป็นกันเอง ดังนั้นทุกคนจึงมีสายสัมพันธ์อันดีต่อเขามาก หากให้เปรียบเทียบกับอาจารย์ท่านอื่น พวกเขาปฏิบัติต่อฉีเล่ยเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งมากกว่า

ฉีเล่ยโบกมือปฎิเสธ ก่อนจะรีบร้องบอกทุกคนว่า

“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมอยากจะบอกทุกคนว่า ตอนนี้ผมใช้QQเป็นแล้วนะ! หลังจากนี้ ต่อไปทุกคนก็สามารถทักคุยกับผมได้ทุกเวลา!”

“….”

บรรยากาศทั่วทั้งห้องกลับกลายเป็นเงียบสงัดลงทันใด

ผ่านไปสักครู่ใหญ่ ก็มีนักศึกษาคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองขึ้นว่า

“อาจารย์ฉีเพิ่งใช้QQเป็นเหรอครับ?”

“โถ่วจารย์…หลุดมาจากยุคหินรึเปล่า?”

“อาจารย์ฉีช่วยเพิ่มหนูเป็นเพื่อนหน่อยค่ะ เดี๋ยวดึกๆหนูจะวีดีโอคอลไปหา อิอิ…”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า

“เอาล่ะทุกคน เตรียมเอาปากกามาจดหมายเลขQQของผมนะ”

ขณะที่พูดจบ ฉีเล่ยก็หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋า ซึ่งมันก็คือแผ่นที่จดหมายเลขQQของตัวเขาเองไว้ และเริ่มอ่านให้นักศึกษาฟังทันที ส่วนทุกคนก็รีบหยิบปากกาขึ้นมาจด

เหอจื่อเป็นคนที่มือไวที่สุดแล้ว เธอหยิบมือถือขึ้นมาเข้าสู่ระบบQQและกดเพิ่มเพื่อนกับฉีเล่ยอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ มาเริ่มคลาสเรียนกันเลย”

เมื่อทุกคนจดเสร็จแล้ว ฉีเล่ยก็เคาะกระดานดำและเริ่มนำสู่คลาสเรียนทันที

“อาจารย์ฉี”

ทันใดนั้นก็มีสาวสวยใส่แว่นคนหนึ่งเดินมาเคาะประตูห้องเรียนพร้อมเอ่ยปากเรียกชื่อเขา

“หื้ม?”

ฉีเล่ยหันศีรษะไปมองก่อนจะพบว่าเป็นเสมียนประจำห้องพักอาจารย์ที่ชื่อว่าเซียวเกอ

“ว่าไงครับ?”

เซียวเกอกล่าวตอบไปว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเรียกไปพบด่วนค่ะ”

“ตอนนี้เลย?”

“ใช่ค่ะ ตอนนี้เลย”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า

“ตอนนี้ผมต้องสอนลูกศิษย์ก่อน ฝากบอกหัวหน้าคณะอาจารย์ซีไปทีครับว่า ผมจะไปหาเขาหลังจบคลาส”

เซียวเกอเผยอริมฝีปากขึ้นคล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่าง และดูเหมือนจะลังเลก่อนจะหยุดไปในที่สุด เธอคิดกับตัวเองว่า

‘ช่างมันเถอะ เธอไม่น่าจะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายได้สำเร็จ เพราะชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เป็นเพียงคนเดียวที่กล้าแตกหักกับอาจารย์ผู้อาวุโสที่สุดในสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้’

หลังจากจบการสอนในคาบแรกไป ฉีเล่ยก็เดินไปยังห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์และเคาะประตูตามมารยาท

“เข้ามา”

ฉีเล่ยผลักประตูเข้าไปและเอ่ยถามขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซี ต้องการพบผมใช่ไหมครับ?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกำลังก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับการเขียนเอกสารแผ่นหนึ่งตรงหน้า เขาเงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า

“อาจารย์ฉี รบกวนนั่งรอก่อนสักครู่ ผมมีธุระที่ต้องจัดการโดยด่วนน่ะครับ”

“ครับผม”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

ภายในห้องทำงานแห่งนี้ เว้นแต่เสียงนาฬิกาแขวนที่กำลังเดินพร้อมกับเสียงปลายปากกากระทบลงบนแผ่นกระดาษแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่ยืนรออย่างเงียบงัน พลางคาดเดาไปว่า เหตุใดหัวหน้าคณะอาจารย์ซีถึงต้องเรียกเขาเข้าพบเป็นการด่วนแบบนี้

หลังจากนั้นประมาณ2-3นาที หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ปิดแฟ้มเอกสารและวางปากกาในมือลง

“อาจารย์ฉี อยากดื่มอะไรเป็นพิเศษไหม?”

“ดื่มชาแล้วกันครับ”

ฉีเล่ยกล่าวเสนอออกไป เนื่องจากเพิ่งยืนเอ่ยปากสอนอยู่เกือบชั่วโมงเต็ม ส่งผลให้ตอนนี้เขาเริ่มกระหายน้ำเล็กน้อย

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีถึงกับขมวดคิ้ว ‘นี่ฉันถามเป็นมารยาท แต่จะให้ฉันรินชาให้เธอจริงๆน่ะเหรอ?’

ก่อนหน้านี้ที่ฉีเล่ยขอให้เซียวเกอกลับไปรายงานแทนว่า ขอให้สอนคาบนี้จบก่อนเดี๋ยวจะมาพบ เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีหัวเสียเต็มทนแล้ว แต่ตอนนี้ฉีเล่ยยังจะกล้ามาสั่งให้ตนเองรินน้ำชาให้อีก นี่เขายังรู้จักคำว่ามารยาทอยู่ไหม?

แต่สุดท้ายจำต้องระงับความโกรธของตัวเองลง หัวหน้าคณะอาจารย์ซีได้แต่จำใจรินชาลงไปในถ้วยให้ฉีเล่ย สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

“อาจารย์ฉี ที่เรียกมาแบบนี้เพราะผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

“ผมทราบครับ ว่ามาได้เลย”

ฉีเล่ยรับแก้วชาขึ้นมาจิบแก้กระหายไร้ซึ่งความประหม่าใดๆ ปากก็ร้องตอบกลับไปทันที

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวต่อว่า

“ผมค่อนข้างพึงพอใจกับการสอนของคุณนะ มีหนุ่มสาวไฟแรงเข้ามาสอนแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก”

ฉีเล่ยทราบทันทีว่านี่เป็นเพียงการเกริ่นนำเท่านั้น เขายังคงตั้งใจฟังต่อไปอย่างใจเย็น

“แต่…”

ในที่สุดก็เข้าประเด็นสักที หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยขึ้นต่อว่า

“เราติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset