ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 115 ไล่ออก

ตอนที่115 ไล่ออก

ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้น

“ปัญหาอะไรเหรอครับ?”

เขาทราบดี เนื้อหาหลักของการสนทนาครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“ก็นะ ทางเบื้องบนแจ้งลงมาว่า ภายในสาขาแพทย์แผนจีนของเรามีอาจารย์ที่ไม่มีวุฒิปริญญาเข้ามาสอน ซึ่งนี่ส่งผลเสียอย่างมากต่อระบบการศึกษาของทั้งมหาวิทยาลัย รวมไปถึงชื่อเสียง”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีพูดปูทางขึ้นมาขนาดนี้เพื่อหวังจะให้ฉีเล่ยตระหนักได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นท่าทางการแสดงออกของเขาที่ยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่แม้แต่แยแสด้วยซ้ำแบบนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ยิ่งหัวเสียหนัก พลางคิดกับตัวเองขึ้นว่า ‘เธออย่าคิดว่าหลินหมิงจางจะสามารถปกป้องเธอได้ตลอดไปนะ!’

“เธอเองก็ควรทราบดีเช่นกัน ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยธรรมดาทั่วไป เรื่องที่อาจารย์ไม่มีวุฒิปริญญามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ถึงยังไงก็เถอะ มันไม่ใช่กับสถานที่แห่งนี้ เราต้องการบ่มเพาะและฝึกฝนเด็กๆ เหล่านี้ให้เติบโตขึ้นเป็นแพทย์ที่ดี เพื่อช่วยเหลือชีวิตของสังคม ดังนั้นข้อกำหนดและคุณสมบัติของการจะเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนที่นี่จึงเข้มงวดอย่างมาก”

ฉีเล่ยเหล่ตามองเล็กน้อยพลางหัวเราะขึ้นทันใด วางแก้วน้ำชาในมือลง เขาโน้มตัวเข้ามากล่าวกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีพยายามจะพูดอะไรกันแน่ครับ? บอกกับผมมาตรงๆ เลยดีกว่า”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีตระหนักดีว่า เบื้องหลังของชายหนุ่มคนนี้มีหลินหมิงจางคอยหนุนอยู่ ดังนั้นคงไม่เป็นเรื่องดีหากจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง เขาเอ่ยตอบอย่างจริงจังขึ้นว่า

“ผมขอพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน เธอมีวุฒิปริญญา หรือใบประกอบการเป็นแพทย์ไหม?”

“ไม่มีครับ”

ฉีเล่ยโบกมือปัด

“ผมไม่มีแม้แต่ใบปริญญา หรือใบประกอบอะไรทั้งนั้น”

สีหน้าการแสดงออกของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวต่อว่า

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเสียใจด้วยที่ต้องแจ้งให้กับทางคุณทราบ คุณถูกไล่ออกจากสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้แล้ว เราไม่สามารถจ้างอาจารย์ที่ไม่มีใบประกอบหรือแม้แต่ใบปริญญาได้ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในอนาคต มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคณะอาจารย์ทั้งหมดสามารถชดใช้ได้เลย นักศึกษาของเราอาจได้เรียนรู้อะไรผิดๆ ไป”

ฉีเล่ยโบกมือปัดและกล่าวว่า

“ไม่เป็นไรครับ คุณทำตามเหนือหัวที่สั่งการไปเถอะครับ”

“นี่คุณหมายความว่ายังไง?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าอันหมองหม่น

“ก็ตามนั้นเลยครับ”

ฉีเล่ยหัวเราะและกล่าวต่อว่า

“อย่าคิดว่าการที่ผมไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว จะสามารถทำลายชีวิตผมได้ ตัวผมไม่ได้ขาดแคลนเงิน ยังมีอีกหลายสิ่งอย่างที่รอผมอยู่หลังจากนี้”

“นี่คุณพยายามจะพูดอะไรกันแน่?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเริ่มหมดความอดทนแล้วเช่นกัน

“ผมแค่จะบอกคุณว่า ถ้าคุณคิดว่าสามารถไล่ผมออกจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้และชีวิตผมจะจบ คุณคิดผิดแล้ว ผมเป็นแพทย์และการสอนเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผมสนใจเท่านั้น ผมไม่เคยคาดหวังอยู่แล้วว่า จะอาศัยสิ่งนี้เพื่อหาเลี้ยงดำรงชีพ เพราะเศษเงินเดือนจากการเป็นอาจารย์แบบนี้ ยังไม่พอเช็ดเท้าผมด้วยซ้ำ”

“นี่หมายความว่ายังไง? ใครที่ไหนอยากไล่คุณออก? ทั้งหมดเป็นเพราะคุณไม่มีแม้แต่ใบปริญญาด้วยซ้ำ เรื่องนี้คุณโทษใครไม่ได้!”

ฉีเล่ยลุกขึ้นยืนและเดินจากออกไปทันที ก่อนเปิดประตูได้ทิ้งท้ายไว้ว่า

“ช่างเถอะครับ ผมไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่แล้วเหมือนกัน ขอตัวไปบอกลาลูกศิษย์ก่อน”

ปัง!

หลังจากฉีเล่ยจากออกไป หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ยกมือทุบโต๊ะอย่างแรง

เดินสูดอากาศบริสุทธิ์แถววิทยาเขตด้านนอก เหม่อมองใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของนักศึกษาแต่ละคนที่เดินผ่านไปมา ฉีเล่ยรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก

เมื่อคุณพยายามทำอะไรสักอย่างด้วยกำลังทั้งหมด เตรียมพร้อมรอสำหรับฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะเริ่มต้นขึ้น แต่ในท้ายที่สุดกลับพบว่า คุณต้องทิ้งสิ่งนั้นไปอย่างกะทันหัน มันไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจเลยถูกไหม?

นับตั้งแต่ที่ฉีเล่ยให้คำสัญญากับหลี่ฮั่วเฉินว่านับจากนี้ตนจะทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์แพทย์ จิตใจของเขาก็มุ่งแต่เรื่องการสอนมาโดยตลอด เขาไม่เคยเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว และยังต้องการถ่ายทอดทุกอย่างที่มีให้กับเด็กรุ่นใหม่

บางคนกล่าวไว้ว่า ‘สอนหนังสือมีแต่จะอดตาย’ ฉีเล่ยไม่ได้คิดแบบนั้นเสมอไป

ถ้าคำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอ ทำให้อาจารย์แพทย์แขนงตะวันตกถึงมีแต่คนยกย่อง? เมื่ออุตสาหกรรมหนึ่งมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรในสาขานั้นๆ ย่อมได้รับผลประโยชน์มากมายที่จะตามมา เหตุผลที่อาจารย์แพทย์แผนจีนแทบจะไม่มีอนาคต สาเหตุทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรมนี้อยู่ในช่วงถดถอยอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ยุคที่แพทย์ตะวันตกกำลังยิ่งใหญ่

แพทย์แผนจีนในตอนนี้อ่อนแอเกินไป ฉีเล่ยจึงหวังอย่างแรงกล้าที่จะสร้างเหล่าผู้มีทักษะและพรสวรรค์ขึ้นมา หลังจากคนเหล่านี้เรียนจบ ทุกคนจะต้องกลายมาเป็นแพทย์จีนมากฝีมือและกู้คืนศักดิ์ศรีของการแพทย์แผนจีนขึ้นมาอีกครั้ง

และใช้องค์ความรู้ทั้งหมดที่เรียนมารักษาผู้อื่น หรือนำไปถ่ายทอดต่อแบบที่ตัวเองเคยได้รับมา

ด้วยวิธีดังกล่าว การแพทย์แผนจีนจะไม่มีวันตายไปจากโลกใบนี้

อย่างไรก็ตาม ความพยายามและความหวังทั้งหมดทั้งมวลกลับต้องจบลงเพียงแค่ประโยคเดียว

“โดนไล่ออกเพียงเพราะไม่มีเกียรติบัตรรับรอง สิ่งนี้อาจส่งผลเสียต่อบรรดานักศึกษาได้”

สิ่งนี้อาจจะเป็นความจริงสำหรับคนอื่นที่เข้ามาเพื่อหวังจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตัว แต่สำหรับฉีเล่ยมันคือข้ออ้างที่แข็งแกร่งสำหรับใช้กำจัดเขาให้พ้นหน้าเท่านั้น

แม้จะรู้ว่ามีคนผู้มากอำนาจและอิทธิพลอยู่เบื้องหลังหัวหน้าคณะอาจารย์ซี แต่ฉีเล่ยก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย

เขาไม่ใช่อาจารย์ ไม่แม้แต่เคยเรียนในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แล้วเขาจะอยู่ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้นักศึกษาต่อได้ยังไง?

เมื่อฉีเล่ยเดินกลับไปที่ห้องเรียน คาบสอนต่อไปก็ได้เริ่มขึ้น นักศึกษาทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พอเห็นว่าฉีเล่ยเดินขึ้นมาบนเวทีการสอน แต่ละคนก็รีบหยิบอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาโดยไว พร้อมกับอ่านทบทวน ‘บทความยาสมุนไพรจีน’ อันสุดแสนจะเข้าใจยาก

ฉีเล่ยเคาะกระดาษดำไปทีหนึ่ง เพื่อเรียกให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมา

สุ้มเสียงที่กำลังท่องจำพลันเงียบสงัดลง และค่อยๆ เงยหน้ามองไปที่ฉีเล่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง

ฉีเล่ยหัวเราะและกล่าวว่า

“ว่าไง เข้าใจหมดแล้วรึยัง?”

“ยังเลยครับ/ค่ะ”

เหล่านักศึกษาเอ่ยตอบโดยพร้อมเพรียง

“ผมทราบดีว่าตอนนี้ทุกคนยังจำไม่ได้และยังไม่เข้าใจกัน แต่ตราบใดที่จำ ‘สูตรยาสมุนไพรจีน’ บทนี้ได้ หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรยากแล้ว เพราะนี่เป็นบทความเพียงไม่กี่หน้าที่เกิดจากการตกผลึกจากภูมิปัญญาของเหล่าแพทย์จีนนับไม่ถ้วนในอดีต สิ่งนี้มีค่าดั่งสมบัติที่จะติดตัวทุกคนไปจนตาย”

สายตาคู่นั้นของฉีเล่ยกวาดมองใบหน้าของนักศึกษาทุกคนรอบห้อง ก่อนคลี่ยิ้มอันแสนอบอุ่นให้พร้อมกล่าวว่า

“ผมคงไม่มีโอกาสได้ทดสอบแล้วว่า พวกคุณจดจำ ‘บทความสยาสมุนไพรจีน’ ได้มากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ว่าในอนาคต ผมจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ผมก็เชื่อว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จความที่ตนเองหวังได้อย่างสวยงาม ขออวยพรให้ทุกคนโชคดี”

เมื่อฉีเล่ยกล่าวถึงเรื่อง ‘อนาคตที่ไร้ซึ่งตัวเขา’ รอยยิ้มบนใบหน้าของนักศึกษาทุกคนพลันจางหายไปทันที และแปรเปลี่ยนดูราวกับเป็นเรื่องจริงจังอย่างยิ่งต่อชีวิตของพวกเขา

พวกเขารู้สึกได้ทันที บรรยากาศในคลาสเรียนแบบนี้มันไม่ถูกต้อง แม้ว่าเบื้องหน้าอาจารย์ฉีกำลังยิ้มอยู่ก็ตาม ทว่าเนื้อหาของประโยคเหล่านั้นฟังยังไงก็คือ คำกล่าวลาชัดๆ

หรือว่า…อาจารย์ฉีกำลังจะจากไป?

“อาจารย์ฉี นี่หมายความว่ายังไงกันค่ะ? ทำไมถึงพูดแบบนี้?”

เหอจื่อเร่งเอ่ยปากถามขึ้นทันทีเป็นคนแรก

“ถูกต้องครับ! ผมยังรอคอยสำหรับการทดสอบแรกของอาจารย์ฉีอยู่นะครับ!”

“อาจารย์ฉี ไม่ใช่ว่าจะจากพวกเราไปทั้งแบบนี้ใช่ไหม?”

“…”

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าอันวิตกกังวลของบรรดานักศึกษา สิ่งหนึ่งที่ฉีเล่ยตระหนักได้ทันทีก็คือ ช่วงเวลาอันสั้นที่เขาพยายามอย่างหนักมันก็คุ้มค่าแล้ว

อย่างน้อยนักศึกษาเหล่านี้ก็ยังรักเขา

ฉีเล่ยโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง

“ผมมีสองเรื่องที่อยากบอกกับพวกคุณในวันสุดท้าย เรื่องแรกก็ได้พูดไปแล้ว ส่วนเรื่องที่สองคือ ผมมีQQใช้แล้ว ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น ทักมาหาผมได้ทุกเมื่อ”

ฉีเล่ยหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า

“ผมถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออก จากนี้ไปพวกคุณจะไม่ต้องทนกับความเข้มงวดของผมและบทเรียนอันน่าเบื่ออีกต่อไป หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกันหลังจากนี้”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset