ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่116 ความรู้สึกที่แสดงออกมา

ตอนที่116 ความรู้สึกที่แสดงออกมา

ห้องเรียนเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็เป็นจินเซิงที่ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า

“อาจารย์ฉีอย่าล้อเล่นกันแบบนี้สิครับ! นี่โกหกใช่ไหม!?”

“ใช่แล้ว อาจารย์ฉีเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมมหาวิทยาลัยถึงไล่อาจารย์ออก?”

“เว้นแต่ว่าทางมหาวิทยาลัยจะขอให้อาจารย์เป็นคณบดี นอกจากนั้นผมไม่ปล่อยให้อาจารย์ไปแบบนี้แน่นอน!”

“อาจารย์ฉีอย่าทำให้พวกหนูกลัวสิค่ะ…”

หนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้นจู่ๆ น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า

ฉีเล่ยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ปฏิกิริยาของทุกคนจะรุนแรงถึงขนาดนี้ เขาทราบดีว่าทุกคนไม่มีใครเต็มใจให้ลาจากกันทั้งแบบนี้ แต่ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า พวกเขาจะแสดงออกมาถึงขนาดนี้

เหอจื่อแทบกระโดดขึ้นยืน และเนื่องจากเธอลุกขึ้นเร็วเกินไปจนทำให้เกือบเซล้มลง ดวงตาคู่สวยของสาวน้อยคนนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธจัด เธอจับจ้องฉีเล่ยตาเขม็งพร้อมกล่าวว่า

“ใครกันที่กล้าไล่อาจารย์ออก! แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ต้องไล่!? ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยังมีอาจารย์คนไหนที่สอนดีเทียบเท่าอาจารย์ฉีอีก!!?”

“ถูกต้อง! ผมของเสนอให้ทุกคนในคลาสร่วมลงนามและระบุถึงจุดยืนของเราในมหาวิทยาลัยแห่งนี้!”

“เมื่อก่อนทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเรียน ในหัวมีแต่คิดว่าจะหาอะไรทพแก้เซ็งระหว่างคลาสเรียนดี ทว่าตั้งแต่ที่อาจารย์ฉีมาสอน อย่าว่าแต่ต้องนาฬิกาปลุกเลย ผมตื่นก่อนนาฬิกาปลุกซะอีกเพื่อมาอ่านทบทวนเตรียมความพร้อมก่อนเรียน! ยังมีอาจารย์คนไหนสามารถทำให้เด็กคนหนึ่งรักการเรียนได้เท่าอาจารย์ฉีอีก? ได้! ถ้าอาจารย์ฉีออก ผมก็ขอลาออกจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน!”

“ถ้าอาจารย์ฉีออก พวกเราก็ไม่ขออยู่มหาวิทยาลัยบัดซบนี่แล้วเหมือนกัน! อาจารย์ฉีเปิดสถานติวเตอร์เลยครับ ผมขอสมัครเรียน!”

“ฉันด้วย!”

“ผมด้วยครับ!”

นักศึกษาเหล่านี้โกรธแค้นมหาวิทยาลัยยิ่งกว่าอะไรแล้ว พวกเขาเลือกที่จะยืนเคียงข้างและสนับสนุนฉีเล่ย ทัศนคติของพวกเขาแน่วแน่ยิ่งกว่าอะไรดี

ฉีเล่ยโบกมือปัดพลางหัวเราะตอบไปว่า

“ใจเย็นๆ ก่อนทุกคน อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นกันไป ฟังให้ดีนะ ทางมหาวิทยาลัยเองก็มีจุดยืนเช่นกัน พวกเขาต้องการหาอาจารย์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ซึ่งผมไม่มีแม้แต่ใบประกอบวิชาชีพด้วยซ้ำ ถ้าพูดออกไปคงถูกหัวเราะแย่ อันที่จริงแม้แต่มหาวิทยาลัยผมยังไม่มีโอกาสได้เรียนด้วยซ้ำ พวกเขาก็เลยกลัวว่า ผมจะมาหลอกสอนพวกคุณ…”

โดยไม่มีรีรอให้ฉีเล่ยกล่าวจบ จินเซิงก็ตะคอกสวนพร้อมใบหน้าแดงก่ำเนื่องจากความโกรธจัด

“ไร้สาระ! ข้ออ้างทั้งนั้น! ในประกอบวิชาชีพแล้วยังไง? ถ้ามีใบประกอบแต่โง่ก็ไม่มีคุณสมบัติมาสอนพวกผมเหมือนกัน! สิ่งที่พวกเราต้องการไม่ใช่อาจารย์ที่มีประวัติดีเด่นยาวเป็นหางว่าว แต่ต้องการอาจารย์ที่รู้จริงและสอนพวกเราได้! ไอ้อาจารย์สองตัวนั้นที่เพิ่งไล่ออกไปมันก็จบสูงกันทั้งนั้น แต่พอมาสอนจริงกลับไม่ได้เรื่อง! อาจารย์ฉี พวกเรานับถือแค่คุณคนเดียวเท่านั้นในฐานะอาจารย์ หากใครมันกล้าไล่อาจารย์ออก พวกเราไม่ยอม! พวกเราไม่ยอม!”

ภายใต้แกนนำอย่างจินเซิง นักศึกษาทุกคนราวกับถูกปลุกใจ ตะโกนลั่นกล่าวเสริมกันไม่หยุดไม่หย่อน

“ใบประกอบแล้วไง? แค่แผ่นกระดาษโง่ๆ ใบหนึ่ง!”

“ไร้สาระสิ้นดี พวกเราช่วยกันระดมเงินคนละ200-300หยวน ก็หาซื้อในตลาดมืดได้แล้ว! ก็แค่ใบประกอบใบหนึ่ง!”

ฉีเล่ยถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

‘ปัง ปัง ปัง!’

เขาทุบโต๊ะสอนไปสองสามทีเพื่อให้ทุกคนสงบลง แล้วกล่าวต่อขึ้นว่า

“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบครับ นี่มันเรื่องของผม ผมจะจัดการเอง พวกคุณคือนักศึกษาก็ควรใส่ใจกับเรื่องเรียน ไม่ว่าใครก็ตามต่อจากนี้จะมาสอน พวกคุณก็ต้องตั้งใจเรียนเข้าใจไหม? อาจารย์ที่ดียังมีอีกมาก ถ้าพวกคุณไม่เปิดใจและให้โอกาส พวกคุณก็จะจมปรักอยู่แบบนี้ไปชั่วชีวิต!”

“แต่เราอยากเรียนวิชา ‘การวินิจฉัย’ ของอาจารย์ฉี!”

“อาจารย์ฉี ถ้ามหาวิทยาลัยไล่คุณออก พวกเราก็ขอลาออกตามคุณออกไป!”

“ทุเรศมาก! ทางมหาวิทยาลัยคงเห็นแต่ประโยชน์ส่วนบุคคล ก็เลยใช้ข้ออ้างหาเรื่องไล่อาจารย์ฉีออก!”

ฉีเล่ยเพียงต้องการให้คำแนะนำก่อนที่จะลาจาก แต่นักศึกษาเหล่านี้กลับไม่ยอมปล่อยเขาให้ไปไหนทั้งนั้น และไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นอีกด้วย การที่ตัวเขาเพียงคนเดียวสามารถทำให้เหล่านักศึกษาแสดงออกมาได้รุนแรงถึงระดับนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยเองก็ไม่อยากให้อนาคตของลูกศิษย์พังลงเพราะยึดติดกับเขามากเกินไป

ขณะที่เชากำลังจะเอ่ยกล่าวอะไรใดๆ ต่อ จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

ฉีเล่ยยิ้มให้ทุกคนและเดินออกจากห้องเรียนโดยเร็ว

บนหน้าจอปรากฏเป็นเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคยเลย ฉีเล่ยกดรับสายทันทีอย่างไม่มีลังเล

“สวัสดีครับ นี่ใคร?”

“ฉีเล่ยใช่ไหม? นี่ฉันเองหลินหมิงจาง”

สุ้มเสียงอันสุดแสนจะสดใสดังขึ้นจากปลายสาย

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉีเล่ยก็ตกใจอย่างมาก

“โอ้! หัวหน้าภาคหลินสวัสดีครับ!”

“ฮ่าฮ่า…”

ปลายสายโทรศัพท์เปล่งเสียงหัวเราะดังออกมา หลินหมิงจางกล่าวอย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า

“เธอควรเรียกฉันว่า อธิการบดี นะ”

“อธิการบดีงั้นเหรอครับ?”

ฉีเล่ยสับสนอย่างมาก

“ถูกต้อง”

หลินหมิงจางกล่าวอธิบายต่อว่า

“ตาแก่หลี่ได้ขึ้นครองตำแหน่งประธานบริหารใหญ่ของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่งอีกหนึ่งวาระใช่ไหมล่ะ? เจ้านั่นบอกว่า หลังจากนี้คงยุ่งตัวเป็นเกลียว เพราะต้องล้มล้างระบบอันเน่าเฟะภายในโรงพยาบาลลงให้ได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีเวลามาดูแลมหาวิทยาลัยแบบแต่ก่อนแล้ว ทำให้การประชุมใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวาน ทุกคนในที่ประชุมจึงเสนอให้ฉันขึ้นรับตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแทนน่ะ จะว่าไป…ตาแก่หลี่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเธอเหรอ?”

ฉีเล่ยเกาหัวเล็กน้อย

“เขาไม่ได้บอกอะไรผมเลยนะครับ แต่ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับหัวหน้า…ไม่สิ…อธิการบดีหลิน”

“ถ้าต้องการแสดงความยินดีให้ฉันจริงๆ น้องฉี ต่อจากนี้เรียกฉันว่าเฒ่าหลี่เถอะ เดี๋ยวฉันค่อยโทรหาเธอใหม่นะ ไม่อยากรบกวนคาบสอนของนายน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”

จุดที่น่าสนใจของเหตุการณ์ในขณะนี้ก็คือ ช่วงเวลาการโทรเข้ามา ทั้งๆ ที่ฉีเล่ยเพิ่งถูกหัวหน้าคณะอาจารย์ซีไล่ออก แต่หลินหมิงจางกลับบอกให้เขากลับไปสอนต่อให้เสร็จก่อนค่อยคุยกัน นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?

ในฐานะที่หลินหมิงจางเป็นถึงอธิการบดี การจะไล่อาจารย์ออกสักคนโดยกะทันหันแบบนี้จำต้องมีการประชุมและหารือกันภายในก่อน และฉีเล่ยเองก็มั่นใจว่าหลินหมิงจางเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้แล้ว แต่ก็บอกให้ไปสอนต่อหลังจากนั้นค่อยมาคุยกัน นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการให้ออก สรุปสุดท้ายนี้ การที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจู่ๆ จะมีความกล้าไล่ฉีเล่ยออกส่งเดชแบบนี้ แสดงว่าต้องมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง

หลินหมิงต้ากล่าวตอบทางโทรศัพท์ไปว่า

“ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องของเธอน่ะ ถ้าว่างก็หาในห้องทำงานอธิการบดีเลย”

“ว่างครับ”

ฉีเล่ยตอบตกลงทันที

“แล้วห้องทำงานอธิการบดีมันอยู่ส่วนไหนของมหาวิทยาลัยเหรอครับ?”

หลังจากหลินหมิงจางบอกที่อยู่เสร็จสรรพก็วางสายไป

ฉีเล่ยเดินเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง และยังคงเห็นว่าทุกคนกำลังจับกลุ่มสนทนาเรื่องของเขาด้วยความโกรธแค้น ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า

“ผมรู้นะครับว่าทุกคนรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แต่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครล้วนแต่ต้องพบเจออุปสรรคที่ถาโถมเข้าใส่ แต่ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่า พวกคุณจะวางตัวและรับมือกับอุปสรรคเหล่านั้นอย่างไรมากกว่า อีกหนึ่งคุณสมบัติของแพทย์คือความสงบ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำให้พวกคุณโมโหจนขาดสติได้ ต่อหน้าความเป็นความตายของคนไข้ พวกคุณไม่รอดแน่นอน เอาล่ะ ผมยจังมีเรื่องที่ต้องจัดการต่อ ทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองไปก่อนนะ”

ด้วยเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงเดินจากห้องเรียนไปอีกครั้ง ทว่าท้ายสุดกลับมีเหอจื่อที่วิ่งไล่ตามเขาออกมาด้วย

ฉีเล่ยเหลียวมายิ้มให้และกล่าวว่า

“ไม่เข้าใจตรงไหนรึเปล่า?”

“อาจารย์ฉีจะไปไหนค่ะ?”

ทั่วทั้งใบหน้าของเหอจื่อเปี่ยมล้นไปด้วยความวิตกกังวลใจ เธอกลัวอย่างมากว่า ฉีเล่ยจะจากไปโดยไม่กลับมาอีกแล้ว

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า

“ท่านอธิการบดีเรียกตัวผมเข้าพบน่ะ”

“ท่านอธิการบดีต้องการเรียกไปคุย? งั้นให้หนูไปกับอาจารย์ด้วยนะคะ”

“นี่เธอรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?”

พอได้ฟังดังนั้น ฉีเล่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เหอจื่อกล่าวสวนกลับไปโดยไม่มีลังเล

“หนูมาในฐานะตัวแทนของทุกคนในคลาส หนูต้องไปคุยกับท่านอธิการบดี!”

“หยุดได้แล้ว!”

สีหน้าของฉีเล่ยเย็นยะเยือกลงฉับพลัน

“ผมมีธุระสำคัญต้องคุยกับท่านอธิการบดีส่วนตัว! คุณมาที่นี่เพื่ออะไร? ไม่ใช่ว่ามาเรียนหนังสือหรอกเหรอ? กลับไปทบทวนบทเรียนที่ผมให้ไปเดี๋ยวนี้!”

พูดจบฉีเล่ยก็หมุนตัวกลับและเดินจากไปทันที แต่ทันใดนั้น เหอจื่อก็ตะโกนเสียงดังลั่นไล่หลังเขามาติดๆ

“ฉีเล่ย! หยุดเดี๋ยวนี้!”

ฉีเล่ยตกใจถึงขั้นผงะ หันควับกลับมามองเหอจื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“ที่นี่คือมหาวิทยาลัย คุณควรเรียกผมว่าอาจารย์ไม่ใช่เหรอ?”

เหอจื่อยืนกำหมัดกัดฟันแน่น พร้อมกระทืบเท้าทีหนึ่งอย่างแรงและกล่าวว่า

“ถ้าไม่พาหนูไปด้วย เดี๋ยวจะกลับห้องเรียนไปเดี๋ยวนี้และเรียกทุกคนเดินทางไปหาอธิการบดีพร้อมกับคุณ!”

“…”

“หนูไม่ได้ขู่ ไม่เชื่อก็ลองได้”

“คุณกำลังขู่ผม”

“อาจารย์ก็ลองเดินออกไปอีกก้าวนึงสิ หนูจะตะโกนเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้แหละ”

ทุกสายตาของบรรดานักศึกษาในห้องต่างจับจ้องฉีเล่ยกับดเหอจื่อไม่ห่าง บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดอย่างยิ่ง

คล้อยหลังสักครู่หนึ่ง ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจและกล่าวว่า

“ก็ได้ ก็ได้ งั้นไปกันเถอะ”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset