ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 117 ปัญหาละเอียดอ่อน

ตอนที่117 ปัญหาละเอียดอ่อน

เมื่อเห็นว่าในที่สุดฉีเล่ยก็ยอมใจอ่อน สีหน้าอันแสนตึงเครียดของเหอจื่อก็คลายอ่อนลงทันที เธอวิ่งไปกอดแขนของฉีเล่ยไว้แนบแน่น และพูดขึ้นว่า

“หนูรู้อยู่แล้ว ว่าอาจารย์จะต้องตอบตกลง”

ฉีเล่ยรีบสะบัดแขนออกทันที

“นี่! คุณเป็นนักศึกษานะ ส่วนผมก็เป็นอาจารย์ ช่วยใส่ใจกับเรื่องนี้ให้มากด้วย แล้วก็รักษาระยะห่างอย่าให้เกินพอดีนัก”

เหอจื่อทำปากมุ่ยเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ถ้าพูดแบบนั้น หนูก็หวังว่าอาจารย์จะโดนไล่ออกจริงๆ เพราะต่อไปอาจารย์จะได้ไม่ต้องมีข้ออ้างห้ามไม่ให้หนูกอดอีก!”

“…คุณรู้ตัวไหมว่า ตัวคุณเองเริ่มเหมือนแม่เข้าไปทุกทีแล้ว?”

“ก็หนูคลอดออกมาจากท้องเธอนี่คะ ไม่ให้เหมือนแม่แล้วจะให้เหมือนใคร?”

..…….

หลี่ฮั่วเฉินเคยดำรงตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง

แต่อันที่จริงแล้ว ทุกคนล้วนทราบดีว่านอกจากตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขายังเป็นประธานบริหารของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่ง ทั้งยังเป็นรองประธานแพทย์สภาอีกด้วย

ดังนั้นหากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ จะเป็นหน้าที่ของรองอธิการบดีที่คอยจัดการแทน เพราะอีกฝ่ายไม่อยากจะรบกวนหลี่ฮั่วเฉินมากจนเกินไป

แต่ในตอนนี้หลินหมิงจางเข้ามารับตำแหน่งแทน มันก็เทียบเท่ากับว่าเขาเข้ามารับช่วงต่อ และช่วยปลดภาระก้อนหนึ่งของหลี่ฮั่วเฉินออก ทั้งคู่รู้จักกันมานานหลายปีแล้ว หลี่ฮั่นเฉิวจึงค่อนข้างไว้วางใจในทักษะการแพทย์และการบริหารของหลินหมิงจาง นิสัยของสหายเฒ่าคนนี้แตกต่างจากโห่วเซิงกัวโดยสิ้นเชิง สำหรับเรื่องดำมืดไม่ถูกต้อง รับรองได้ว่าหลินหมิงจางไม่มีทางกล้าทำแน่

หลังจากที่หลินหมิงจางเข้ามารับช่วงต่อจากเขา ทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องง่ายทันที แนวทางการบริหารยังคงเป็นไปตามหลักขนบธรรมเนียมเดิมของหลี่ฮั่วเฉิน นอกจากเปลี่ยนป้ายชื่อตำแหน่งในห้องทำงานอธิการบดีแล้ว ทุกอย่างภายในมหาวิทยาลัยยังคงเป็นดังเดิม

ฉีเล่ยเคาะประตูห้องทำงานเล็กน้อย เพียงไม่นานก็มีหนุ่มแว่นเดินมาเปิดประตูให้และกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“อาจารย์ฉีใช่ไหมครับ? ท่านอธิการบดีกำลังรอคุณอยู่เลย”

“ขอบคุณมากครับ”

ฉีเล่ยยิ้มตอบอย่างสุภาพกลับไป

หนุ่มแว่นคนนั้นเหลือบมองเหอจื่อที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่ายฉายแววสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พาทั้งคู่เข้าไปโดยไม่พูดทักถามใดๆทั้งสิ้น

หลินหมิงจางกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงานพอดี พลางเซ็นเอกสารฉบับหนึ่งในมือและส่งให้หนุ่มแว่นไปจัดการต่อ

“เสี่ยวหวาง ช่วยเอาเอกสารฉบับนี้ไปส่งทีนะ”

“ครับผม”

หนุ่มแว่นรับคำสั่ง หลังจากได้รับเอกสารมาแล้ว เขายังไม่ได้จากไปทันที แต่เดินไปรินชาทั้งสองแก้วให้แขกก่อน แล้วจึงค่อยโค้งศีรษะเดินออกไปอย่างมีมารยาท

หลินหมิงจางเดินไปนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับฉีเล่ย ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดกลับหันไปเห็นเหอจื่อที่กำลังจ้องเขม็งใส่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หลินหมิงจางเห็นแบบนั้นจึงอดที่จะถามขึ้นไม่ได้

“สาวน้อย เธอเป็นใครงั้นเหรอ?”

“หนูชื่อเหอจื่อค่ะ เป็นตัวแทนนักศึกษาจากสาขาแพทย์แผนจีนรุ่น6 แล้วก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีด้วย หนูมาที่นี่เพื่อทวงความเป็นธรรมให้กับอาจารย์ฉี!”

สีหน้าของเหอจื่อทั้งดูเคร่งขรึมและจริงจังอย่างยิ่ง ราวกับว่าเธอเข้าพบหลินหมิงจางเพื่อทำภารกิจสำคัญอย่างนั้นล่ะ

“ทวงความเป็นธรรม?”

หลินหมิงจางปั้นหน้าสับสน

“ทวงความเป็นธรรมเรื่องอะไร?”

เหอจื่อกล่าวเสียงเย็นชาตอบไปว่า

“พวกเราทั้งหมดอยากรู้ว่า ทำไมทางมหาวิทยาลัยถึงต้องไล่อาจารย์ฉีออก?”

หลินหมิงจางยิ้มตอบไปว่า

“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเรียกฉีเล่ยมาที่นี่เพื่อต้องการจะปรึกษาหารือ”

เหอจื่อถามจี้จุดไปว่า

“แล้วเหตุผลล่ะ?”

“เหตุผล? ถ้าพูดกันตามเนื้อผ้าอาจเป็นเพราะ…อาจารย์ฉีไม่มีคุณสมบัติของความเป็นอาจารย์”

“แต่อาจารย์ฉีก็เป็นอาจารย์แพทย์แผนจีนที่เก่งที่สุดเท่าที่หนูเคยพบเห็นมานะคะ!”

หลินหมิงจางโบกมือยิ้มกล่าวไปว่า

“ฉันรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร และฉันเองก็เชื่อมั่นในความสามารถของอาจารย์ฉีเช่นกัน แต่ปัญหาคือคนอื่นจะเชื่อแบบพวกเธอรึเปล่า?”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนอื่นที่ต้องเชื่อหรือไม่เชื่อด้วยคะ? พวกเราเป็นักศึกษาย่อมรู้ดีที่สุดว่า ใครกันที่สามารถให้ประโยชน์แล้วก็ให้ความรู้กับพวกเราได้ ที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยส่งแต่อาจารย์ไร้น้ำยามาสอนกินเงินเดือน แต่คราวนี้อาจารย์ฉีมีความสามารถอย่างแท้จริง กลับจะไล่ออก เพราะฉะนั้นพวกเราจะไม่ยอมปล่อยอาจารย์ฉีไปง่ายๆแน่นอนค่ะ!”

หลินหมิงจางส่ายหัวไปมาพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นใจ

“สาวน้อย เธอยังเด็กเกินไป รอโตเป็นผู้ใหญ่และจำเป็นต้องเผชิญกับความเป็นจริงในสังคม เธอจะเข้าใจได้ทันทีว่า โลกนี้มักจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถแก้ไขได้เกิดขึ้นอยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดคือกฎย่อมต้องเป็นกฎ ขัดแย้งกับผู้คนยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าขัดแย้งกับกฎระเบียบ”

เหอจื่อโบกมือน้อยๆของเธอไปมา ชะโงกหน้าเข้าปะทะพร้อมแสยะยิ้มฉีกกว้างแปลกๆให้

“พูดอย่างกับว่าหนูไร้เดียงสาขนาดนั้น สิ่งเดียวที่นักศึกษาอย่างพวกเราต้องการก็คือให้อาจารย์ฉีได้สอนที่นี่ต่อไป อย่างอื่นพวกหนูไม่สนหรอกค่ะว่าอะไรจะถูกหรืออะไรจะผิด คุณเองก็เป็นถึงอธิการบดีไม่ใช่เหรอคะ กับแค่เรื่องใบปริญญาใบเดียว คงไม่ยากเกินไปที่จะหามาไม่ใช่เหรอคะ? แล้วถ้าทางมหาวิทยาลัยยังกล้าปฏิเสธ พวกคุณเองก็เตรียมมีปัญหากับทางกรมทหารได้เลย”

จู่ๆหลินหมิงจางก็ระเบิดหัวเราะลั่นโดยไม่ตั้งใจ

“โอ้? แม่สาวน้อย รู้ตัวไหมว่าเธอกำลังข่มขู่อธิการบดีคนนี้อยู่?”

“เมื่อกี้เธอเองก็เพิ่งข่มขู่ผมเหมือนกัน”

ฉีเล่ยหัวเราะเสียงแห้งด้วยความขมขื่นอยู่ข้างๆ

เดิมทีฉีเล่ยคิดไปว่า การที่เหอจื่อไม่ค่อยกินเส้นกับแม่ของตัวเองเท่าไหร่นั้น อาจเป็นเพราะอุปนิสัยที่แตกต่างกันของคนทั้งคู่ แต่ที่ไหนได้ทั้งท่าทาง คำพูดและการกระทำกลับได้แม่ตัวเองมาเต็มๆ!

หลินหมิงจางมองไปทางฉีเล่ยและหัวเราะกล่าวว่า

“เสี่ยวฉี เธอโชคดีมากเลยนะที่มีลูกศิษย์ออกตัวข่มขู่แทนขนาดนี้”

“ก่อนหน้าฉันค่อนข้างยุ่งมาก จำเป็นต้องจัดการเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้เข้าที่เข้าทางหลังรับตำแหน่ง ก็เลยยังไม่มีเวลามาสนใจกับเรื่องราวของเธอในมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ตาเฒ่าหลี่พูดไปทั้งหมดจะถูกต้อง เธอมีพรสวรรค์อย่างมากกับการเป็นอาจารย์”

“ไม่หรอกครับ ถึงจะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็สู้คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้”

ฉีเล่ยกล่าวเสียดสีบุคคลที่สามให้อีกฝ่ายฟังทันที

เมื่อวกกลับเข้ามาหัวข้อนี้ หลินหมิงจางก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางแอบคิดกับตัวเองว่า

‘ถ้าไม่ใช่เพราะทางเบื้องบนโทรมาพล่ามไร้สาระกับฉันเรื่องนี้ เพื่อให้เซ็นอนุมัติการไล่ฉีเล่ยออกไป ฉันก็คงจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน ดูเหมือนว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะต้องมีใครอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวไม่น่าจะกล้าทำถึงขนาดนี้’

หลังจากที่ครุ่นคิดอะไรแบบนั้น หลินหมิงจางก็เบนสายตาไปทางเหอจื่อและพูดขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์สาขาโทรมาบอกว่า ทางมหาวิทยาลัยห้ามไม่ให้รับอาจารย์เข้ามาเป็นการส่วนตัว และเงื่อนไขสำคัญคืออาจารย์ที่รับเข้ามาจะต้องมีใบประกอบหรือไม่ก็ใบปริญญามารับรองเท่านั้น โดยปกติแล้ว แค่ตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ไม่มีสิทธิ์เข้าไปตรวจสอบประวัติและภูมิหลังของอาจารย์คนอื่นได้ แต่การที่ทางนั้นใช้เรื่องที่เธอไม่มีใบปริญญามาเป็นข้ออ้างไล่เธอออกได้ แสดงว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังและคอยช่วยเหลืออย่างลับๆ”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบอย่างไม่แยแสเมื่อได้ยิน

“ดูท่าผมคงจะเผลอไปทำให้ใครไม่พอใจเข้าอีกแล้วสินนะครับ”

หลังจากพูดจบฉีเล่ยก็ได้แต่นั่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง

ทำไมเขาถึงพูดว่า‘อีกแล้ว’?

ดูท่านอกจากเขาจะมีพรสวรรค์ด้านการสอนแล้ว คงจะยังมีพรสวรรค์ด้านการสร้างศัตรูอีกด้วย บางทีสิ่งที่ได้รับมาจากมรดกของบรรพบุรุษสกุลเฉินอาจไม่ได้มีเพียงองค์ความรู้ก็เป็นได้ ไม่แน่ว่าเมื่อครั้งที่บรรพบุรุษสกุลเฉินยังมีชีวิตอยู่ เขาเองอาจเป็นคนพูดจาโผงผางตรงไปตรงมาจนสร้างศัตรูไว้มากไม่ต่างกัน

แต่ปัญหาคือ ในสมัยโบราณคนที่มีบุคลิกภาพแบบนี้สามารถเรียกได้ว่า เป็นคนเถรตรงได้ แต่มาในยุคปัจจุบันนี้ กลับถูกเรียกว่า เป็นพวกEQต่ำและไม่สามารถเข้ากับสังคมได้

ฉีเล่ยพลางคิดกับตัวเองไปว่า ถ้าเขาสามารถเปลี่ยนสีเพื่อปรับเปลี่ยนให้เข้ากับทางสภาพสังคมได้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องถ่อมาเป็นอาจารย์ถึงที่ปักกิ่งแน่

หลินหมิงจางมองมาทางเขาพร้อมกับพูดต่อว่า

“คุณสมบัติความเป็นอาจารย์ของเธอมันไม่มีข้อกังขาอยู่แล้ว แต่เงื่อนไขที่ไม่ตรงตามกฎเกณฑ์ จุดนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ ไม่ใช่ว่าฉันจะทนต่อแรงกดดันกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้หรอกนะหากจะจ้างเธอต่อ แต่สิ่งนี้จะกลายเป็นข้ออ้างในวันข้างหน้าทันที เมื่อมีผู้มีอำนาจใช้เส้นสายยัดคนของตัวเองเข้ามาเป็นอาจารย์ บางคนเก่งเหมือนเธอก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ? ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก”

“แล้ว…ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอค่ะ?”

เหอจื่อเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความกังวลใจ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset