ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 118 บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรขาวสะอาดบริสุทธิ์

ตอนที่118 บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรขาวสะอาดบริสุทธิ์

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องทำงานด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดทนไม่ไหวจึงตรงไปที่โต๊ะทำงานยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา และโทรออกหาใครบางคน

“สวัสดีครับ รัฐมนตรีหม่า ผมเสี่ยวซีเองครับ”

คนที่เขาโทรไปหาก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหม่า นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาผู้นี้น่าจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซี

“ว่าไงเสี่ยวซี มีอะไรรึเปล่า?”

สุ้มเสียงที่อยู่ปลายสายฟังดูแก่ชรา แต่ทว่ากลับฟังดูมีพลังอำนาจอย่างมาก

“ผมเรียกฉีเล่ยเข้ามาคุยแล้วครับ โดยแจ้งไปว่าเขาไม่มีคุณสมบัติในการเป็นอาจารย์ มิหนำซ้ำหมอนั่นยังหลุดปากพูดออกมาเองด้วยว่า แม้แต่มหาวิทยาลัยเขายังไม่เคยเข้าเรียนด้วยซ้ำ ตามกฎแล้วผมจึงมีสิทธิ์ขับไล่เขาออกจากมหาวิทยาลัยได้ทันทีใช่ไหมครับ?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีรีบเร่งรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด

น้ำเสียงของรัฐมนตรีหม่าแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นความขุ่นเคืองอย่างยิ่ง และพูดสนับสนุนขึ้นทันที

“ถูกต้อง! เธอทำได้ดีมาก หมอนี่ไม่แม้แต่จะเคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แล้วจะมาเป็นอาจารย์ได้ยังไง? นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว! ใครกันที่กล้าเชิญมาเป็นอาจารย์สอนคณะแพทย์? คนพวกนี้มันเห็นแก่ได้โดยไม่สนเลยรึไงว่า ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยจะเป็นยังไง? นักศึกษาแพทย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นกล้าที่จะเติบโตเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต แล้วจะปล่อยให้มิจฉาชีพเข้ามาสวมรอยเป็นอาจารย์แบบนี้ได้ยังไงกัน?”

“ครับ นี่เป็นความผิดของผมเอง ผมผิดเองครับที่ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มงวดก่อน”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีรีบกล่าวโทษบุคคลอื่นต่อทันที

“ทั้งหมดเป็นเพราะหัวหน้าคณะ…ไม่สิ! อธิการบดีหลินพาเข้ามาฝากเป็นการส่วนตัว คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าผมจะปฏิเสธออกไปโดยซึ่งหน้า”

“หลินหมิงจางเป็นคนพาเข้ามาฝากเป็นการส่วนตัวเหรอ? เรื่องนี้หมอนั่นได้ปรึกษากับเธอล่วงหน้าหรือเปล่า?”

“ไม่ครับ เขาเดินทางมาพบผมในวันเริ่มงานเลย”

“อืม ฉันเข้าใจ”

ชายชรากล่าวตอบ

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยถามต่อด้วยความกังวลว่า

“แล้วถ้าอธิการบดีหลินออกหน้าแทนเขา…”

รีฐมนตรีหม่ากล่าวตอบทันที

“อย่าไปสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งจะต้องไม่มีอาจารย์ขยะแบบนี้อีก!”

“ครับ ผมเข้าใจแล้วครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม

หลังจากวางสายไป หม่ารุยซึ่งตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าถูกพันด้วยผ้าก๊อซจนหนา เดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวสำนักงานรัฐมนตรีและเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณปู่ คุยกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเหรอครับ?”

“อืม ฉีเล่ยถูกไล่ออกแล้ว”

ชายชราผู้มีผมสีขาวโพลนนี้ มีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา แม้จะจะอยู่กับหลานชายเพียงลำพังสองต่อสอง แต่ใบหน้าของเขายังคงเคร่งเครียด ไม่แม้แต่จะคลี่ยิ้มให้

หม่ารุ่ยมีความสุขอย่างยิ่งจนอยากจะระเบิดหัวเราะออกมาดังๆสักชุดใหญ่ แต่ด้วยความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลทั่วทั้งใบหน้ากลับทำให้เขาต้องคุมจังหวะการหายใจแทน ไม่อย่างนั้นบาดแผลอาจจะเกิดการฉีดขาดได้

รัฐมนตรีหม่าเหลือบมองไปทางหลายชายของตัวเองและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า

“หวังว่าต่อไปในอนาคตข้างหน้า แกจะไม่สร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้วนะ ฉันเบื่อที่จะต้องมาตามล้างตามเช็ดให้แกตลอดแบบนี้”

“คุณปู่ ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปมันผิด แต่ครั้งนี้ผมเป็นเหยื่อนะครับ ดูสิ! ผมโดนทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ปู่คงจะไม่ใจร้ายใจดำโทษว่าผมสร้างปัญหาใช่ไหมครับ?”

หม่ารุยชี้ไปที่ใบหน้าที่พังยับเยิบของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามต่ออย่างสงสัยว่า

“ฉีเล่ยจัดการได้ไม่ยาก แต่ลูกศิษย์สาวของเขาล่ะ? เราจะจัดการเธอยังไง?”

เมื่อนึกถึงสาวน้อยคนนั้น หม่ารุยก็ถึงกับเสียวสันหลังวาบ ผู้คนมักพูดกันว่า บุคคลที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยที่สุดก็คือพวกคนมีสีซึ่งรวมถึงทหารด้วย แม้ว่ากองทัพกับกระทรวงการศึกษาจะแยกเป็นอิสระต่อกัน แต่ใช่ว่าอิทธิพลบางส่วนจะไม่สามารถแทรกซึมเข้าหาซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งภูมิหลังครอบครัวของสาวน้อยคนนั้น ก็มีหัวหน้าครอบครัวเป็นถึงหัวเรือใหญ่ในกรมทหาร ยิ่งไปกว่านั้น ดูท่าครอบครัวนี้จะเป็นพวกหัวร้อนกันทั้งครอบครัวด้วย

รัฐมนตรีหม่าโบกมือไปมาและกล่าวว่า

“พวกกองทัพไม่มีสิทธิ์อะไรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของกระทรวงศึกษาอยู่แล้ว อีกอย่างเราดำเนินการทุกอย่างตามกรอบข้อระเบียบอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา มีหลักฐานทุกอย่างแน่ชัด อาจารย์ที่ชื่อว่าฉีเล่ยนั่น ก็ไม่แม้แต่จะเคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยซ้ำ ถ้ายังปล่อยให้หมอนั่นสอนต่อไป นี่มันจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกเกินไปหน่อยเหรอ? แกควรไปพักรักษาตัวซะ ฉันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”

มุมปากของหม่ารุยกระตุกขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตัวเขายังคงมีความกังวลใจอยู่ แต่เนื่องจากกลัวว่าคำพูดจุกจิกจุ้นจานของตนเอง จะไปสร้างความรำคาญใจให้กับปู่มากจนเกินไป จึงได้แต่ต้องหุบปากเงียบ

………….

หลินหมิงจางเฝ้าสังเกตท่าทางของเหอจื่ออยู่สักพักใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยคนนี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก ท่าทางฉีเล่ยจะมีพรสวรรค์ด้านการสอนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้รับความรัก และความเคารพจากนักศึกษาแพทย์มามายขนาดนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า‘ความรัก’ที่เหอจื่อมีต่อฉีเล่ยนั้น‘มาก’เกินกว่าคำว่าอาจารย์ไปแล้ว

“สาวน้อย เธอไม่ต้องห่วงไป เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องดำเนินการอย่างถูกต้องเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด…ฉันรู้แล้วว่าใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ อีกฝ่ายคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้อีกฐานะหนึ่งของเขายังเป็นอดีตอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ช่วงเย็นวันนี้ ฉันว่าจะแวะไปเยี่ยมอดีตอธิการบดีที่บ้านสักหน่อย เผื่อว่าจะสามารถเจรจาอะไรกันได้บ้าง”

หลินหมิงจางดูคล้ายกำลังพูดเพื่อปลอบโยนเหอจื่อมากกว่า แต่ความจริงแล้วเขากำลังปลอบโยนฉีเล่ยทางอ้อมด้วย

“อดีตอธิการบดีที่ว่านี่แซ่อะไรครับ?”

จู่ๆฉีเล่ยก็เอ่ยถามขึ้นทันที

“แซ่หม่า”

หลินหมิงจางกล่าวต่อว่า

“เขาเข้ามารับตำแหน่งก่อนหลี่ฮั่วเฉิน สมัยที่เขายังเป็นอธิการบดีที่นี่ ตาเฒ่าหลี่ก็เป็นรองอธิการบดีนี่แหละ หลังจากนั้นไม่นานอดีตอธิการบดีหม่าก็ถูกเสนอชื่อให้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา จากนั้นเขาจึงได้มอบตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยให้ตาเฒ่าหลี่สานต่อดูแล ซึ่งตั้งแต่อดีตอธิการบดีหม่าได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา เขาก็ได้สร้างประโยชน์มากมายให้แก่ระบบการศึกษาของประเทศ ไล่กำจัดพวกคอร์รัปชั่นอยู่เรื่อยๆ ถ้าฉันมีโอกาสอธิบายให้เขาฟังว่า เธอมีทักษะการแพทย์ที่น่าทึ่งเพียงใด อย่างน้อยเขาก็น่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง”

ฉีเล่ยขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า

“รัฐมนตรีหม่ามีหลานชายชื่อหม่ารุยใช่ไหมครับ?”

ในเมื่อรัฐมนตรีหม่าไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องเชื่อมโยงกับบุคคลอื่นอย่างแน่นอน และเป็นเพราะเขาทำให้คนสกุลหม่าต้องขุ่นเคือง จึงไม่น่าแปลกที่รัฐมนตรีหม่าจะออกโรงปกป้องเป็นการส่วนตัวแบบนี้

เรื่องทั้งหมดมีต้นเหตุมาจากหลินชูวโม่ ทำให้เขากับหม่ารุ่ยเคยปะทะกันทั้งหมดสองครั้ง

ซึ่งในครั้งที่สองเกิดขึ้นในKTV แต่เนื่องจากมีเหอจื่อเข้ามาพัวพัน หม่ารุ่ยจึงถูกกระทืบเละจนใบหน้าบวมเป่งเป็นหัวหมู

จากการปะทะทั้งสองครั้งดังกล่าว ทำให้ฉีเล่ยสามารถพูดได้ว่า หม่ารุยคนนี้ต้องมีภูมิหลังไม่ธรรมดา และไม่ยอมเลิกตามระรานสร้างปัญหาให้เขาแค่นี้แน่นอน

ในอีกด้าน หลินหมิงจางถึงกับอุทานขึ้นทันทีที่ได้ยินฉีเล่ยเอ่ยถามไปแบบนั้น

“เธอรู้จักหม่ารุ่ยด้วยเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้า

“ไม่เพียงแค่รู้จักครับ แต่ยังเคยมีเรื่องขัดแย้งกันอีกด้วย”

เหอจื่อรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ฉีกำลังหมายถึงใคร เธอจึงรีบพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจทันที

“ต้องหมายถึงไอ้คนที่เข้ามาหาเรื่องในKTVแน่ๆ! ตอนที่ซูจงลากคอมันเข้ากรม ได้ข่าวว่ามันเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ยกมือไหว้วิงวอนร้องขอความเมตตา ไอ้คนขี้ขลาดแบบนั้น เก่งแต่เล่นงานลับหลังจริงๆ!”

หลินหมิงจางรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง จึงเอ่ยถามไปตามตรงว่า

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเธอสามคนไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน?”

ฉีเล่ยที่ได้ยินแบบนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นให้ฟังทันทีว่า เพราะหม่ารุยเข้าใจผิดในตอนที่เขาพาหลินชูวโม่ไปส่ง จนพาลไปหาเรื่องต่อในKTV และสั่งให้คนบุกเข้าไปดักล้อมถึงหน้าประตูห้องคาราโอเกะ แต่สุดท้ายเรื่องทุกอย่างก็จบลงโดยที่เหอจื่ออาศัยบารมีของครอบครัวช่วย ฉีเล่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หลินหมิงจางฟังอย่างละเอียด

เมื่อได้ยินฉีเล่ยพูดถึงหลินชูวโม่ เหอจื่อก็ปั้นหน้าบึ้งบูดอย่างหนักราวกับต้องการจะฆ่าใครสักคน เห็นได้ชัดว่า ตัวเธอเองก็รู้จักบุคลิกนิสัยของอาจารย์หลินคนนี้เป็นอย่างดี และไม่พอใจอย่างมากที่อีกฝ่ายเข้ามาสนิทชิดเชื้อกับฉีเล่ย

หลังจากได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด หลินหมิงจางก็ถึงกับนวดขมับและกล่าวว่า

“เฮ้ออ…เป็นแบบนี้นี่เอง ฉันเองก็เคยได้ยินมาว่า หลานชายของอดีตอธิการบดีหม่าถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเป็นการด่วน เพราะถูกรุมทำร้ายอย่างหนัก แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า เรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับพวกเธอแบบนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงยากเกินกว่าจะแก้ปมปัญหาจริงๆ”

ฉีเล่ยยักไหล่ให้อย่างไม่แยแส

“อธิการบดีหลิน ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ว่าในอนาคตผมจะได้สอนที่นี่ต่อไปหรือไม่ แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วที่อธิการบดีหลินพยายามช่วยถึงขนาดนี้”

ครั้งแรกที่เขาตัดสินใจมาทำงานเมืองหลวงนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะคำพูดของหลี่ฮั่วเฉินทั้งสิ้น ส่งผลให้ฉีเล่ยจินตนาการไปไกลว่า มหาวิทยาลัยนี่แหละคือหอคอยงาช้างอย่างแท้จริง เป็นสถานที่แห่งโอกาส และคงไม่เหมือนกับโรงพยาบาลในหนานเจียง ซึ่งเต็มไปด้วยอำนาจอิทธิพลและแผนการดำเนินงานที่แสนซับซ้อน

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิด บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรขาวสะอาดบริสุทธิ์ มีเพียงสีดำที่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เขาเองก็ขอยอมแพ้เช่นกัน อาศัยทักษะการแพทย์ของตัวเองที่มี สู้ไปเปิดคลินิกแพทย์แผนจีนรักษาคนดีไม่ดีกว่าหรือยังไง? จะไปต่อสู้กับคนอื่นเพื่ออะไรกัน?

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset