ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 121 ก๊วนสาวขอทวงความเป็นธรรม

ตอนที่121 ก๊วนสาวขอทวงความเป็นธรรม

ระหว่างนั่งรับประทานอาหารเย็นกัน กลุ่มสาวๆยังคงพูดแซะหยอกล้อเซียวเซียวไม่หยุดปาก

“เซียวเซียว นี่เธอกำลังเสนอตัวให้เขานะ แล้วจะพาพวกเรามาที่นี่ทำไม?”

“นี่เธอโง่รึไงกัน? ก่อนจะเผด็จศึกกันก็ต้องกินข้าวเอาแรงก่อนไหมล่ะ? ถ้าท้องไม่อิ่มแล้วจะเอาพละกำลังมาจากไหน?”

“อืม อืม…ได้หมอเป็นผัวก็ไม่เลวนะ ตราบใดที่ยังอยู่ด้วยกัน เขาสามารถรักษาความเยาว์วัยของเธอได้ตลอดชีวิต แต่อาชีพหมอแบบนี้คู่แข่งเยอะนะ เธอต้องใช้เรือนร่างมัดใจเขาให้อยู่หมัด!”

“หยุดแกล้งฉันได้แล้วพวกเธอ!”

เซียวเซียวตะคอกสวนตอบไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เพื่อนสาวกลุ่มนี้เธอสนิทกับทุกคน สนิทกันชนิดที่ว่าแม้แต่ตัวเธอเองยังกลัว

เธอต้องบินกลับไปทำงานที่หางโจวคืนนี้แล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก่อนที่จะเดินทาง เธอจะต้องพาฉีเล่ยไปทานอาหารด้วยกันให้ได้

เดิมทีเธอต้องการจะพาฉีเล่ยไปดินเนอร์ด้วยกันสองต่อสอง แต่เนื่องจากก๊วนเพื่อนสาวของเธอดันอยากไปร่วมสนุกด้วย เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องพาทุกคนไปด้วยกันทีเดียว

พวกเธอเกาะกลุ่มกันพูดคุยอย่างสนุกสนาน หัวเราะเสียงดังเป็นบางจังหวะ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินปิดท้ายอยู่หลังแถว หลินชูวโม่ก็เลยจงใจชะลอฝีเท้าเพื่อรอเขา และเมื่อฉีเล่ยเดินมาใกล้ เธอก็รีบคว้าแขนของเขามากอดไว้แน่น ท่าทางดูเป็นธรรมชาติราวกับคู่รัก ก่อนจะร้องตะโกนบอกสาวสวยผมแดงข้างหน้าว่า

“เสี่ยวเจา ไหนบอกว่าถ้าฉีเล่ยสามารถรักษาแผลของเซียวเซียวได้ เธอจะยอมถอดเสื้อผ้าออกมาเดินโชว์ยังไงล่ะ? ถ้าไม่ยอมทำตามที่พูดแล้วล่ะก็…ฉันจะให้สุดหล่อดูภาพที่เธอไปรับงานจ้าง‘พิเศษ’แทนนะ ดีไหมฉีเล่ย?”

ทีแรกฉีเล่ยพยักหน้าตอบก่อนจะส่ายหัวทันที สีหน้าท่าทางการแสดงออกของเขานั้นแข็งทื่อดูทำอะไรไม่ถูก

เสี่ยวเจาหันขวับไปดุหลินชูวโม่ทันที

“พี่หลิน! พี่อยากตายรึไง? ถ้าจะถอดก็ถอดเองเถอะ ที่สาธารณะแบบนี้ใครจะไปกล้า?”

หลินชูวโม่โต้กลับทันควัน

“อะไรกัน? ฉันก็แค่ทวงสัญญาเฉยๆ ไม่ได้อยากให้โชว์อะไรสักหน่อย แต่ไหนๆแล้วก็โชว์กระดูกไหปลาร้าขาวอันภาคภูมิใจให้ดูหน่อย!”

“ใช่ ใช่! เสี่ยวเจาเธอหน้าอกตูมที่สุดในกลุ่มเราแล้วนะ มีของดีก็ต้องโชว์กันบ้างสิ! เอาให้ผู้ชายหลงจนเดินตกท่อไปเลย!”

ก๊วนสาวๆเริ่มส่งเสียงโวยวายกันดังลั่นอีกครั้ง เนื่องจากถนนเส้นนี้มีฝูงชนเดินผ่านไปผ่านมาค่อนข้างมาก คนรอบข้างจึงไม่ได้ถือสาพวกเธอแต่อย่างใด

หลังจากพูดคุยกันไปกันมา หัวข้อการสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไป แรงกดดันที่มีต่อฉีเล่ยจึงพลอยลดลงไปด้วย

ที่นี่เป็นภัตตาคารอาหารทะเล เมนูในร้านโดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารทางใต้แทบทั้งสิ้น ราวกับว่าหลินชูวโม่รู้ว่าฉีเล่ยมาจากจีนตอนใต้ จึงได้เจาะจงเลือกร้านนี้เป็นพิเศษ

ภัตตาคารแห่งนี้ค่อนข้างอยู่ใกล้กับคลินิกของหลินชูวโม่ พวกเธอเดินเท้าออกมาไม่กี่ก้าวก็มาถึงแล้ว ชายคนหนึ่งถูกรุมล้อมไปด้วยสาวสวยมากมายแบบนี้ ระหว่างเดินผ่านถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาย่อมได้รับความสนใจมากเป็นธรรมดา

หลินชูวโม่ได้โทรมาจองล่วงหน้าแล้ว และได้จองเป็นห้องส่วนตัวไว้

หลังจากที่ฉีเล่ยนั่งลง ภายใต้เสียงเกลี้ยกล่อมของก๊วนสาวๆ เขาก็สั่งอาหารมาสองสามจาน ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเธอเลือกกันเอง

สาวสวยผมแดงที่ชื่อเสี่ยวเจากล่าวย้ำเสียงหนักแน่นว่า เธอจะช่วยให้เซียวเซียวเสียตัวให้ฉีเล่ยง่ายขึ้นหลังจากนี้ เธอจึงได้ยกมือเรียกบริกร และจัดการสั่งซุปไก่ร้อนที่ช่วยบำรุงเลือดในกายให้สูบฉีดดีขึ้นกับเซียวเซียวทันที

ก๊วนสาวๆยังคงหัวเราะเซียวเซียวพลางพูดแซวฉีเล่ยกันอย่างสนุกสนาน ยังดีที่เซียวเซียวสนิทสนมกับเพื่อนๆในกลุ่ม จึงพอหาจังหวะให้โต้ตอบกลับไปได้บ้าง แตกต่างจากฉีเล่ยที่ได้แต่นั่งเงียบไม่มีโอกาสได้อ้าปากพูดอะไร ภายในใจกลับไม่รู้ว่าตนควรร้องไห้หรือหัวเราะดี

หลินชูวโม่นั่งข้างฉีเล่ย เธอแอบยกขาสะกิดเท้าอีกฝ่ายเล็กน้อยและเอ่ยถามขึ้นว่า

“วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า? ทำไมถึงดูเครียดจัง?”

“ผมสบายดี”

“สุดหล่อ ฉันเคยบอกนายแล้ว ยังไงนายก็หนีเงื้อมมือฉันไม่พ้นหรอกนะ ไหนลองเล่ามาซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? บางทีฉันอาจจะช่วยได้นะ?”

ฉีเล่ยถอนหายใจเสียงแผ่ว

“ผมถูกไล่ออก”

“ว่ายังไงนะ?”

น้ำเสียงของหลินชูวโม่ดูจริงจังขึ้นมาทันที

“ผมบอกว่า ผมถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออก”

ฉีเล่ยทวนคำพูดของตัวเองออกไปอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน เพราะต้องพูดต่อหน้าสาวๆที่กำลังเม้ามอยตัวเองอยู่

“ถูกไล่ออก? แล้วทำไมจู่ๆพวกเขาถึงไล่นายออกล่ะ?”

สีหน้าท่าทางของหลินชูวโม่เปลี่ยนเป็นเย็นชาผิดจากก่อนหน้าลิบลับ ฉีเล่ยเห็นเข้าจึงอดที่ตกตะลึงไม่ได้ และตระหนักได้ทันทีว่า เวลาที่ผู้หญิงคนนี้เอาจริงเอาจังขึ้นมา เธอก็ดูสวยสมคำร่ำลือมากทีเดียว

“ผมไม่มีคุณสมบัติของการเป็นอาจารย์?”

“คุณสมบัติของการเป็นอาจารย์? หมายถึงไม่มีใบประกอบงั้นเหรอ?”

“ฉันเข้าใจแล้ว ก็แค่ถูกไล่ออกไม่เห็นจะเป็นไร ต่อจากนี้ไปนายก็มาทำงานกับฉันสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยสนับสนุนให้เอง”

หลินชูวโม่ตบไหล่ของฉีเล่ยไปหนึ่งครั้ง ท่าทางของคนทั้งคู่ดูราวกับเพื่อนที่กำลังนั่งปรับทุกข์กัน

เสี่ยวเจาที่เห็นดังนั้นก็เอ่ยปากแซวทันทีว่า

“ทำงานกับพี่หลินเหรอ? แค่นั้นจริงๆรึเปล่า?”

ก๊วนสาวๆตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจได้ว่าเสี่ยวเจากำลังหมายถึงอะไร จากนั้นพวกเธอเริ่มส่งเสียงหัวเราะพลางพูดเสริมขึ้นว่า

“พวกเรา! บอกทีใครกันที่มีความคิดสกปรกที่สุดในก๊วนพวกเรา!?”

“หลินชูวโม่!”

บรรดาสาวๆเอ่ยปากตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“แล้วใครที่ขี้ขลาดที่สุด?”

“หลินชูวโม่!”

“ใครกันที่ดื้อที่สุด?”

“ก็ยังเป็นหลินชูวโม่เหมือนเดิม!”

“ฮ่าฮ่า ไปทำงานกับเธอเถอะ พี่หลินจะคอยฟูมฟักสุดหล่อเป็นอย่างดีแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เธอเอ่ยปากชวนผู้ชายให้มาทำงานด้วยกันนะ”

“นั่นน่ะสิ ฉันเองก็ไม่เคยเห็นพี่หลินเอ่ยปากชวนใครแบบนี้มาก่อน น่าสนใจแหะ อิอิ”

“พี่หลิน งั้นหนูขอจ้างสุดหล่อให้อยู่ด้วยก่อนหนึ่งวัน คิดเรทราคาเท่าไหร่คะ?”

หลินชูวโม่ตระหนักดีว่า คำกล่าวของเธอก่อนหน้ามันฟังดูสองแง่สองง่าม โชคยังดีที่เธอมีประสบการณ์สำหรับการกำราบก๊วนสาวๆเหล่านี้มาก่อนแล้ว เธอจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะชาม แล้วเลียนเสียงทำเป็นแม่เล้าประมูลขายฉีเล่ย

“เอาล่ะ เอาล่ะ หนุ่มหล่อคนนี้มีดีกรีเป็นถึงแพทย์แผนจีน งานบริการดีเลิศ แถมฟรีคอร์สฝังเข็มสำหรับผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังบริการจบ รายชั่วโมงค่อนข้างแพง ถ้าให้ดีเหมาวันคุ้มกว่า”

“แล้วถ้าบริการไม่ดีล่ะค่ะแม่เล้า?”

“ก็อนุญาตให้ถีบลงจากเตียง ดิฉันจะไม่อนุญาตให้เขากินข้าวเป็นเวลาสามวันสามคืนเป็นการสั่งสอน! ลูกค้าไม่ต้องห่วงค่ะ!”

พวกเธอสวมบทบาทกันอย่างแนบเนียนราวกับเคยทำมาจริงๆ ทำเอาคนอื่นๆพากันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ไม่นานบริกรก็นำอาหารเข้ามาเสริฟกันจานต่อจาน เมื่อมีอาหารอยู่ตรงหน้า พวกเธอก็เริ่มหยุดสนทนากัน แล้วต่างคนต่างก็คีบตักอาหารตรงหน้าเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

ระหว่างที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารกันอยู่นั้น หลินชูวโม่ก็โน้มตัวเข้าใกล้กระซิบข้างหูฉีเล่ยเอ่ยถามว่า

“ผลงานของนายค่อนข้างดีเลยไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมถึงถูกไล่ออกล่ะ? ฉันได้ข่าวมาว่านายเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักศึกษา?”

เปิดประเดิมด้วยหัวข้อนี้ สีหน้าของฉีเล่ยดูมืดมนขึ้นฉับพลัน หลังจากกินกุ้งไปหนึ่งคำ เขาปรายหางตามามองหลิวชูโม่พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ใช่เพราะคุณรึไง?”

หลิวชูวโม่ถึงกับทำสีหน้างุนงงสับสนอย่างมาก

“เพราะฉันเหรอ? เป็นไปได้ไง?”

“ยังจำหม่ารุ่ยได้ใช่ไหม?”

“อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะไอ้เวรนั่น?”

จากสีหน้ายิ้มแย้มในทีแรก ใบหน้าของหลิวชูวโม่พลันเปลี่ยนเป็นมืดทมิฬลงในทันที ดวงตากลมโตสีพีชคู่สวยกลับหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว

“ใช่”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

หลินชูวโม่โกรธจัด เธอลุกขึ้นพรวดพร้อมตบโต๊ะเสียงดังสนั่น และร้องตะโกนสาปแช่งดังลั่นร้าน

“ไอ้บัดซบหม่ารุ่ย! นี่มันต้องการแก้แค้นฉันทางอ้อมใช่ไหม! แล้วเพื่อนฉันผิดอะไรถึงไล่เขาออก! อย่าให้ฉันเจอตัวนะ ฉันจะเอากรรไกรไปตัดน้องชายของมันทิ้งซะ!”

ขณะที่สาวๆกำลังหมกหมุ่นอยู่กับการกินอาหาร ทันทีที่ได้ยินเสียงตบโต๊ะ พวกเธอก็สะดุ้งเฮือกจนอาหารเกือบติดคอ ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมองพร้อมเอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า

“พี่หลิน เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”

หลินชูวโม่พยายามสงบสติอารมณ์แล้วนั่งลงทันที ก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างฉีเล่ยกับหม่ารุ่ยเวลานี้ให้ทุกคนฟังคร่าวๆ

ทันทีที่พูดจบทุกคนก็โมโหกันเป็นอย่างมาก

“เลวมาก! ถ้าเจอผู้ชายสันดานแบบนี้ผ่านเข้ามานะ ฉันจะกระทืบมันทิ้งให้ตายภายในชั่วอึดใจเลยคอยดู!”

“สุดหล่อ จับมันมาสับเป็นชิ้นๆ แล้วเอาเนื้อโยนหมากินเถอะ คนแบบนี้อยู่ไปก็รกโลก!”

“มันกล้ารังแกพี่หลินของเรา ว่าไงไปจัดการมันลยดีไหม?”

หญิงสาวทั้งหมดต่างก็รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนอย่างมากเมื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้ สุดท้าย ต่างคนต่างก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินข้าวต่อ พวกเธอต่างก็อยากจะออกไปตามล่าตัวหม่ารุ่ยมาจัดการซะเดี๋ยวนี้

เมื่อเห็นทุกคนเริ่มจริงจังเคร่งเครียดกันขนาดนี้ ฉีเล่ยจึงรีบพูดห้ามปรามขึ้นทันที

“ใจเย็นๆกันก่อนครับ ใจเย็นๆก่อน ท่านอธิการบดีหลินได้รับปากแล้วว่าจะช่วยผม เรื่องนี้ควรจะได้รับการแก้ไขในอีกไม่ช้า”

ฉีเล่ยกังวลอย่างมากว่า ก๊วนสาวๆเหล่านี้จะออกไปสร้างปัญหาเพิ่มให้กับเขามากขึ้น แต่เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเวลานี้ด้วยตาตัวเอง การที่พวกเธอแสดงความจริงและต้องการจะช่วยเหลือเขาขนาดนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจไม่น้อยเลย

เมื่อถูกเจ้าของปัญหาห้ามปราม ทุกคนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสงบสติอารมณ์ลง และเริ่มให้คำแนะนำแก่เขาทันที

“ฉีเล่ย ฉันมีอาเป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เขาน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของนายบ้างล่ะ”

“ฉันเองก็มีเพื่อนอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ฉันน่าจะพอให้อีกฝ่ายช่วยอะไรได้บ้างเหมือนกัน ไม่มีใบประกอบแล้วยังไง? แค่ผงยาวิเศษที่นายใช้รักษาให้เซียวเซียว มันก็มากเพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่า นายเป็นแพทย์ที่เก่งแค่ไหน! ไอ้คนที่ไล่นายออกมันทำเหมือนนายได้รึเปล่า?”

“พ่อของฉันทำงานให้รัฐบาล ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า เพื่อนๆของพ่อฉันจะสามารถช่วยอะไรนายได้บ้าง”

แต่ละคนเริ่มเอ่ยปากเสนอความช่วยเหลือให้ฉีเล่ยโดยพร้อมเพรียงกัน และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่การพูดออกไปเพื่อเป็นการปลอบใจเท่านั้น หลังจากอธิบายเสร็จสรรพ พวกเธอทุกคนต่างหยิบมือถือขึ้นมาและโทรออกไปหาคนของตัวเองทันที

ความจริงตรงหน้าได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่ชัดแล้วว่า ข้อสันนิษฐานตั้งแต่ทีแรกของฉีเล่ยนั้นถูกต้อง เบื้องหลังของผู้หญิงเหล่านี้ล้วนแต่มีภูมิหลังและเส้นสายที่แข็งแกร่งมาก

เห็นพวกเธอเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแบบนี้ ทั้งยังพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อทวงความเป็นธรรมคืนมาให้กับเขา ฉีเล่ยมองดูแล้วกลับรู้สึกซาบซึ้งใจจนเกินที่จะบรรยาย!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset