ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 122 แก้วละหมื่นหยวน

ตอนที่122 แก้วละหมื่นหยวน

ฉีเล่ยรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงกลุ่มนี้ที่เพิ่งเคยพบเจอกันไม่กี่ครั้ง และแต่ละคนก็ดูเป็นคนรักอิสระอย่างมาก จะเป็นคนที่รักความยุติธรรม และลงมือช่วยเหลือเขาอย่างจริงใจถึงเพียงนี้ กระทั่งหลินชูวโม่ที่ชอบพูดจาสองแง่สามง่ามอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ยอมอยู่นิ่งเช่นกัน

เวลานี้ ฉีเล่ยสัมผัสได้ว่า หญิงสาวทุกคนนั้นกำลังโกรธแค้น ราวกับว่าเป็นพวกเธอเองที่กำลังประสบกับปัญหาใหญ่ในครั้งนี้เสียเอง

“ขอบคุณครับ ขอบคุณพวกคุณทุกคนมากจริงๆ!” ฉีเล่ยได้แต่เอ่ยขอบคุณจากใจจริง

“เรียกว่าพี่สาวสิจ๊ะหนุ่มน้อย!”

หญิงสาวที่มีรอยยิ้มหวานและใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักพูดขึ้น ฉีเล่ยจำได้ว่าเธอชื่อเสี่ยวอาน แต่ที่ผ่านมาเขายังไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่า เธอเองก็แอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาใครบางคนเช่นกัน

“ครับ พี่สาวก็พี่สาว” ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ

ฉีเล่ยรู้ดีว่า อาจเป็นเพราะพลังปราณภายในร่างของตนเอง จึงทำให้เขามีใบหน้าและผิวพรรณที่อ่อนเยาว์กว่าหญิงสาวกลุ่มนี้ แต่ความจริงแล้ว อายุของเขานั้นมากกว่าสาวๆกลุ่มนี้เล็กน้อย

หลินชูวโม่ยกมือขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกับร้องตะโกนบอกทุกคน “เอาล่ะ ก่อนอื่นลงมือกินกันก่อน เดี๋ยวท้องอิ่มมีแรงแล้วค่อยมาคุยกันต่อ”

จากนั้น ทุกคนต่างก็เงื้อตะเกียบในมือของตัวเองขึ้นจ้วงลงในจานอาหารตรงหน้า หลังจากนั้นหลินชูวโม่ก็ได้หันไปสั่งไวน์แดงมาฉลองอีกสองขวด

แต่ครั้งนี้ฉีเล่ยไม่ต้องการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อีกแล้ว เขายังจำสภาพของตัวเองที่ร้าน KTV ในคืนนั้นได้ดีว่า มีสภาพเมามายไม่เป็นท่าขนาดไหน

หลังจากที่หลินชูวโม่สั่งไวน์มาดื่ม และฉีเล่ยปฏิเสธนั้น กลุ่มสาวๆกลับไม่คะยั้นคะยอ และดื่มกันอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจฉีเล่ยอีกเลย

แต่ในระหว่างนั้นเอง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

ฉีเล่ยซึ่งนั่งอยู่ติดประตูที่สุดจึงลุกขึ้นไปเปิด และพบว่าผู้ที่มาเคาะประตูนั้นเป็นชายหนุ่มแต่งตัวดียืนอยู่ เขาจึงได้ร้องถามออกไปว่า “ไม่ทราบมีอะไรเหรอครับ?”

“คุณถงเซียวเซียวอยู่ข้างในมั๊ยครับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามฉีเล่ยยิ้มๆ แม้ปากจะเอ่ยถามออกไปแบบนั้น แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่ร่างของเซียวเซียวซึ่งอยู่ในห้องแล้ว

ฉีเล่ยไม่รู้จักชายหนุ่มตรงหน้า และคิดว่าคงจะเป็นเพื่อนของเซียวเซียว จึงได้ปล่อยให้เดินเข้าไป ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปหาเซียวเซียว พร้อมกับโน้มตัวลงกระซิบบางอย่างข้างหูของเธอ

แต่เป็นเพราะทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยภาษาจีนแมนดาริน และคนอื่นๆก็ไม่ใช่คนหมินหนานจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจว่าทั้งคู่กำลังคุยอะไรกัน

แต่หลังจากได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ใบหน้าของเซียวเซียวก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งขึ้นมาทันที จากนั้น ทั้งคู่จึงเริ่มทะเลาะกันเสียงดังด้วยภาษาของชาวหมินหนาน ชายหนุ่มเองก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวมากเช่นกัน เขายกมือขึ้นชูนิ้วมือต่อหน้าถงเซียวเซียว ลักษณะคล้ายคนกำลังต่อรองราคาอยู่

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ว่าง เชิญคุณออกไปได้แล้ว!” ถงเซียวเซียวตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางประตูห้อง

“คุณถง คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้! นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์รึไงห๊ะ? กะอีแค่ขอให้ไปดื่มไวน์ด้วยกันแค่แก้วเดียว ก็คิดราคาสูงถึงหนึ่มหมื่นหยวนเชียวเหรอ? นั่นน่ะมันเรทราคาของพวกดาราระดับแนวหน้า ไม่ใช่ระดับคุณ ขอบอกตรงๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นปักกิ่ง คุณคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสดีๆแบบนี้เหรอ?”

เป็นเพราะถงเซียวเซียวและชายหนุ่มคนนั้นตอบโต้กันด้วยภาษาจีนกลางซึ่งไม่ใช่ภาษาที่แพร่หลายในปักกิ่ง คนอื่นๆจึงไม่ค่อยเข้าใจกระจ่างนักว่า ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร

แต่ดูจากท่าทางของผู้ชายคนนี้ ดูเหมือนเขาต้องการที่จะจีบถงเซียวเซียว!

แม้ว่าถงเซียวเซียวจะเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย และเป็นที่รู้จักของผู้คนในปักกิ่ง แต่ความจริงแล้ว เธอเองกลับไปโด่งดังในฮ่องกงและไต้หวันมากกว่าที่จีนแผ่นดินใหญ่

แต่นับเป็นความบังเอิญที่ลูกค้าของชายหนุ่มก็พาเขามาทานอาหารที่ร้านแห่งนี้เช่นกัน ขณะที่กำลังดื่มกินอยู่ที่โต๊ะของตนเองนั้น เขาก็ได้หันไปเห็นกลุ่มสาวสวยที่มีบุคลิกแตกต่างกันเดินเข้ามาในร้าน และหนึ่งในนั้นยังเป็นหญิงสาวร่างสูง ที่คนไต้หวันต่างก็รู้จักเธอในฐานะหญิงสาวขางามอันดับหนึ่งถงเซียวเซียวนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ บอสกัวหยางจึงได้พูดจากับลูกค้าของตนเองด้วยน้ำเสียงโอ้อวดว่า “คุณคิดว่าผู้หญิงชุดกระโปรงสีฟ้าเป็นยังไงบ้าง?”

ลูกค้าของกัวหยางหันเป็นเห็นหญิงสาวที่มีเรียวขางดงามเช่นนั้นเข้า และหลังจากได้เห็นหน้าจึงได้รู้ว่าเป็นถงเซียวเซียว เขาจึงได้แต่หัวเราะออกมา พร้อมกับร้องบอกบอสกัวหยางไปว่า

“คุณกัว นี่คุณจะรู้จักสาวสวยทั้งโลกเลยหรือยังไง? กระทั่งสาวสวยในปักกิ่งก็ยังรู้จักอีก!”

“จะไม่ให้ผมรู้จักได้ยังไงกัน รู้มั๊ยว่าเธอดังที่ไต้หวันมาก และที่สำคัญเธอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่มีเรียวขาสวยที่สุดด้วย! ว่าแต่ผู้อำนวยการหลิวสนใจเธอไหมล่ะ? ถ้าสนใจ ผมจะเรียกเธอมานั่งดื่มกับพวกเราด้วย!”

“ถ้าได้ก็ดีสิ! ในวงเหล้ามีสาวสวยร่วมดื่มด้วยแบบนี้ ดื่มไปพันจอกก็ไม่เมามาย ฮ่าๆๆ มีสาวสวยนั่งดื่มข้างๆคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยล่ะครับ ถ้าคุณยังมีความเป็นชายชาตรี ก็คงจะไม่ปฏิเสธที่จะมีสาวสวยนั่งเดื่มเป็นเพื่อนอยู่แล้ว”

และด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้หวังจื่อเว่ยเดินข้ามาเชิญถงเซียวเซียวออกไปร่วมดื่มด้วย

ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่ถงเซียวเซียวไปถ่ายโฆษณาในประเทศไต้หวัน ทั้งเขาและเธอต่างก็เคยได้ร่วมงานกันมาบ้างแล้ว หญิงสาวเองก็เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของกลุ่มบริษัทกรีนเรเดียนซ์มาแล้วเช่นกัน จึงเรียกได้ว่าพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง

ครั้งแรกที่เดินเข้ามาในห้องนั้น หวังจื่อเว่ยได้เชิญถงเซียวเซียวออกไปนั่งดื่มที่โต๊ะด้วย แต่หญิงสาวปฏิเสธและให้เหตุผลว่าเธอมาทานอาหารเป็นการส่วนตัวกับเพื่อนๆ แต่หวังจื่อเว่ยกลับยังคงเซ้าซี้หยุด และได้เสนอเงินหลอกล่อด้วยการจ้างให้เธอไปนั่งดื่มในราคาแก้วละหนึ่งหมื่นหยวน โดยขอให้ไปดื่มด้วยแค่สามแก้วก็พอ หรือถ้าถงเซียวเซียวไม่พอใจก็สามารถเสนอราคาที่ต้องการมาได้เลย และราคาที่เขาเสนอนั้นก็เป็นราคาเพียงแค่ดื่มอย่างเดียว หากมีอย่างอื่นด้วยก็ยินดีที่จะจ่ายมากขึ้น

และนั่นทำให้ถงเซียวเซียวถึงกับโมโหเดือดดาล!

ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนในวงการบันเทิง แต่ก็วางตัวดีเสมอมา และอาจมีบ้างที่ไปออกงานสังคมต่างๆกับลูกค้า แต่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องงานเท่านั้น เธอไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยกับลูกค้าไม่ว่าคนไหน

แต่หวังจื่อเว่ยนั้นแสดงทัศนคติของตนเองออกมาอย่างชัดเจน ทั้งที่เธอปฏิเสธไปแล้ว แต่เขากลับเสนอราคาในการชวนเธอไปนั่งดื่มด้วยในราคาที่สูงจนเกินเหตุ มิหนำซ้ำยังกล้าพูดเป็นนัยๆว่า ถ้าเขาต้องการนอนกับเธอด้วย เขายินดีที่จะจ่ายเพิ่มมากขึ้น

ถงเซียวเซียวไม่สนใจที่จะรักษามารยาทอะไรอีก และได้ไล่ชายหนุ่มออกไปจากห้องทันที แต่หวังจื่อเว่ยกลับรู้สึกเสียหน้าที่ถูกหญิงสาวไล่ต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้ เขาจึงยิ่งพูดจาหยาบคายกับเธอมากขึ้น

“ก็ถ้าคิดว่าราคาสูงเกินไป ก็เชิญคุณไปหาคนอื่น! อีกอย่าง ฉันก็ไม่รับงานลักษณะนี้ด้วย แล้วตอนนี้ก็เป็นเวลาส่วนตัวของฉันกับเพื่อนๆ กรุณาออกไปจากห้อง แล้วอย่ามารบกวนฉันอีก!”

ถงเซียวเซียวร้องตะโกนไล่ชายหนุ่มออกไปจากห้องอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้ช่างไม่รู้จักเวล่ำเวลา บังอาจเข้ามาขัดจังหวะในการเลี้ยงอำลาของเธอกับฉีเล่ยและเพื่อนๆ

“ถงเซียวเซียว อย่ามาทำเป็นเล่นตัวไปหน่อยเลย! เธอมันก็แค่ผู้หญิงประเภทที่เงินมาผ้าหลุดนั่นล่ะ! ผู้หญิงอย่างเธอจะดีกว่าพวกดาราเซเลปคนอื่นๆตรงไหนกัน? ฉันเคยพบเจอผู้หญิงมาตั้งมากมาย แต่ไม่เคยเห็นใครไร้มารยาทเหมือนเธอมาก่อนเลยจริงๆ!”

หวังจื่อเว่ยยังคงพ่นภาษาจีนกลางใส่ถงเซียวเซียวไม่หยุด และคำพูดที่เขาใช้ก็เริ่มรุนแรง และดูถูกหญิงสาวมากขึ้นเรื่อยๆ

จะว่าไปวังจื่อเว่ยก็ดูเหมือนจะโง่ไปหน่อย แม้ว่าเขาจะพ่นภาษาจีนกลาง แต่ก็ใช่ว่าหญิงสาวคนอื่นๆจะไม่เข้าใจเลยซะทีเดียว หลังจากพอจับใจความได้ หญิงสาวทุกคนในกลุ่มต่างก็พากันเดือดดาลกันอย่างมาก เพราะคำพูดของหวังจื่อเว่ยนั้น เท่ากับดูถูกผู้หญิงคนอื่นๆด้วย

“แล้วแกล่ะดีนักรึไง? ไอ้คนขาสั้น มาพล่ามบ้าบออะไรตรงนี้!”

“นั่นน่ะสิ! ฉันเคยเห็นแต่คนที่เมาเหมือนหมา แต่ไม่เคยเห็นคนที่เห่าเก่งเหมือนหมามาก่อนเลย!”

“เซียวเซียว ลุกขึ้นไปจัดการมันเลย! แล้วถ้ามันกล้าตอบโต้ พวกเราจะรุมมันให้นอนสลบคาพื้นเลยคอยดู!”

ในเมื่อสาวๆกลุ่มนี้ถูกปลุกให้คลุ้มคลั่งเดือดดาลแล้วล่ะก็ อย่าได้หวังเลยว่าพวกเธอจะเหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ยอมให้ใครข่มเหงได้ง่ายๆ

อีกอย่าง คำแสลงในภาษาจีนก็มีตั้งมากมาย และผู้หญิงกลุ่มนี้ก็จัดว่าเป็นสุดยอดนักด่าเลยก็ว่าได้ แต่ละคนต่างก็พากันพ่นคำด่าและคำดูถูกใส่หวังจื่อเว่ยกันไม่หยุด จนกระทั่งผ่านไปนานกว่าสิบนาที ยังไม่มีทีท่าว่าสาวๆจะแผ่วลงเลยแม้แต่น้อย

กระทั่งเสี่ยวอานที่ฉีเล่ยมองว่าน่ารักบริสุทธิ์ที่สุดในกลุ่มนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ เธอเองยังพ่นคำด่าออกมาชนิดที่เรียกว่า ใครถูกเธอด่าเข้าไปคงต้องกระอักเลือดสามวันสามคืนติดต่อกันแน่

หวังจื่อเว่ยได้แต่ยืนนิ่งใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เขาต้องการที่จะอ้าปากตอบโต้สาวๆกลับไป แต่หลังจากที่พยายามอ้าปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถหาช่องไฟพูดแทรกขึ้นได้เลย

จนกระทั่งผู้ชายคนหนึ่งแทบจะร้องไห้ออกมา!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset