ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 123 แย่งชิง

ตอนที่123 แย่งชิง

ฉีเล่ยได้แต่แอบช็อคกับภาพที่เห็น และได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบๆว่า นับจากนี้ไปเขาคงจะต้องค่อยๆถอยห่างออกจากสาวๆกลุ่มนี้เสียที เพราะหากวันไหนเขาเกิดทำให้พวกเธอไม่พอใจเข้า เขาคงจะถูกหญิงสาวกลุ่มนี้รุมด่าจนตายแน่ๆ

“นังผู้หญิงบ้า! แต่ละคนปากร้ายยิ่งกว่าแม่ค้าปากตลาดซะอีก!”

หลังจากที่ถูกด่าจนแทบร้องไห้ หวังจื่อเล่ยก็ได้อาศัยจังหวะที่สาวๆคอแห้ง ต่างคนต่างก็หันไปคว้าน้ำชาดื่มกลั้วคอ พ่นคำด่าใส่พวกเธอรัวๆ

หลินชูวโม่ลุกขึ้นยืนยิ้มอย่างมีเสน่ห์พร้อมกับเดินไปหาหวังจื่อเว่ย และร้องถามกลับไปว่า “ว่าแต่.. ยังยินดีที่จะจ่ายแก้วละหนึ่งหมื่นหยวนอยู่ไหมคะ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว คุณอยากจะรับงานแทนงั้นเหรอ?”

หวังจื่อเว่ยคิดไม่ถึงว่าจะมีหญิงสาวคนอื่นเข้ามารับงานนี้แทน และดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว หญิงสาวคนนี้ออกจะสะสวยกว่าถงเซียวเซียวด้วยซ้ำไป เขาจึงตอบตกลงทันที

เหตุผลที่หวังจื่อเว่ยพูดจารุนแรงออกไปเช่นนั้น ก็เพราะโมโหที่ถูกถงเซียวเซียวปฏิเสธ และที่สำคัญเขาจะต้องเสียหน้าต่อหน้าลูกค้าเป็นอย่างมากอีกด้วย

แต่ในเมื่อไม่ได้ถงเซียวเซียวไป อย่างน้อยได้เพื่อนของเธอไปร่วมดื่มแทนด้วยแบบนี้ ก็พอที่จะกู้หน้าตนเองได้บ้าง

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้อยากจะรับงานแทน!” หลินชูวโม่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์

“นี่แกจงใจกวนอารมณ์ฉันเหรอ?” หวังจื่อเว่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“จะว่าแบบนั้นก็ได้นะ แต่จริงๆแล้วที่ฉันเดินออกมาตรงนี้ก็เพราะว่า อยากจะตบหน้าแกต่างหาก!”

หลินชูวโม่ตอบโต้พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะท้าทายหวังจื่อเว่ยต่อทันที “ฉันมาท้าแกตบกันตัวต่อตัว แต่ระวังตัวให้ดีล่ะ ถ้าเผลอเมื่อไหร่แกจะถูกฉันตบหน้าทันที!”

ฉีเล่ยที่ยืนมองอยู่ถึงกับต้องยกมือปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเต็มหน้าผาก และได้แต่คิดในใจว่า ผู้หญิงคนนี้คิดจะมาไม้ไหนกันแน่? อยากจะทำอะไรก็รีบๆทำซะทีเถอะ!

หวังจื่อเว่ยเองก็กำลังโมโหสุดขีดที่ถูกหลินชูวโม่ยั่วโมโหซึ่งหน้าแบบนี้ เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรกลับไป

“เอาล่ะ ในเมื่อแกนิ่งเงียบ ฉันก็จะถือว่าแกยอมรับคำท้าของฉันแล้ว”

หลินชูวโม่ร้องบอกพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมาเมื่อเห็นหวังจื่อเว่ยยังคงยืนนิ่ง จากนั้น เธอก็ตวัดฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของชายหนุ่มถึงสองฉาดใหญ่ๆ หวังจื่อเว่ยได้แต่ตกตะลึง และรู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของตนเองร้อนผ่าวขึ้นในทันที

“เอาล่ะ แกแพ้แล้ว เชิญออกไปได้ ฉันจะกินข้าวกับเพื่อนๆต่อ หรืออยากจะโดนอีก?”

ระหว่างที่ถามออกไปนั้น ดวงตากลมโตใสซื่อของหลินชูวโม่ ก็จ้องมองหวังจื่อด้วยสายตาปกติที่ดูไม่เป็นภัยอันตรายเลยแม้แต่น้อย

หวังจื่อเว่ยได้แต่พยักหน้า ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้องอย่างว่าง่าย

ปัง!

หลังจากที่หวังจื่อเว่ยเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเสียงดังปัง กลุ่มสาวๆต่างก็พากันหันไปมองหลินชูวโม่ด้วยสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก

“พี่หลิน นี่พี่ทำได้ยังไง?”

“นั่นสิคะ? นี่พี่ใช้เวทย์มนต์คาถามอะไรรึเปล่า? ทำไมหมอนั่งถูกตบหน้าตั้งสองครั้ง แต่กลับไม่โวยวาย มิหนำซ้ำยังยอมเดินออกไปง่ายๆแบบนั้นด้วย?”

“จริงด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนหมอนั่นคล้ายคนไม่มีสติไปเลย?”

หลินชูวโม่เดินเข้าไปนั่งข้างฉีเล่ยด้วยความเขินอาย ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า “เวทย์มนต์คาถาอะไรกัน? ถ้าฉันมีเวทย์มนต์คาถามจริงๆ ฉันคงเสกให้เขาหลงรักฉันไปแล้วล่ะ แต่นี่อะไร ฉันพยายามตามตื๊อเขาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ใจอ่อนสักที หรือว่าเพราะฉันไม่มีอะไรน่าดึงดูด?”

คำพูดก่อนหน้าดูเหมือนจะตอบสาวๆในกลุ่ม แต่คำพูดประโยคสุดท้ายดูเหมือนจะจงพูดกับฉีเล่ย

“โอ๊ย! คำพูดคำจาเลี่ยนชะมัด อยากจะอ้วก!”

หญิงสาวผมแดงที่ชื่อเสี่ยวเจียวทำสีหน้าท่าทางคล้ายคนอยากจะอาเจียน แต่หลินชูวโม่กลับไม่สนใจ เธอหันไปถามฉีเล่ยต่อว่า “น้องชาย บอกมาทีสิว่าพี่สาวคนนี้ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยงั้นเหรอ?”

“ก็งั้นๆ” ฉีเล่ยตอบกลับสั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

“งั้นเหรอ? แล้วทำไมเธอต้องทำสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

หลินชู่วโม่ร้องถามพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางเก้อเขินกระอักกระอ่วนของฉีเล่ย สาวๆในห้องต่างก็พากันหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

หวังจื่อเว่ยซึ่งเวลานี้ยืนอยู่หน้าห้อง หลังจากฟื้นคืนสติเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดังออกมาจากในห้องส่วนตัว แต่ก็ได้แต่ยืนงุนงงอยู่อีกครู่ใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่เจ็บปวดทั้งสองข้างด้วยความคลั่งแค้นใจ

ตั้งแต่เขาเกิดมาจนอายุขนาดนี้ ยังไม่เคยถูกใครหยามหน้าแบบนี้มาก่อนเลย!

ความจริงเขาเองก็อยากจะกลับเข้าไปเล่นงานสาวๆกลุ่มนี้เหมือนกัน แต่เมื่อคิดว่าพวกเธอทุกคนต่างก็ดูใจกล้าไม่เกรงกลัวใครๆแบบนั้น เขาก็เลือกที่จะถอยออกมาชั่วคราวอย่างชาญฉลาด นั่นเพราะผู้หญิงกลุ่มนั้นมีกันอยู่หลายคน ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นมีคนน้อยกว่ามาก และจะดีกว่าหากสามารถเรียกคนมาเสริมได้

หวังจื่อเว่ยเดินเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับเปิดน้ำในอ่างล้างหน้า หลังจากที่รอยฝ่ามือสีแดงค่อยๆจางลงแล้ว เขาจึงได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง และได้รายงานเรื่องที่ถงเซียวเซียวปฏิเสธคำเชื้อเชิญของกัวหยาง อีกทั้งยังตีไข่ใส่สีให้มากขึ้น ทำให้กัวหยางถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที

แน่นอนว่า หวังจื่อเว่ยปกปิดเรื่องที่ตัวเองถูกหญิงสาวในกลุ่มรุมด่า มิหนำซ้ำยังถูกหนึ่งในนั้นตบหน้ากลับออกมาอีกด้วย เรื่องน่าอายเช่นนี้เขายังจะสามารถเล่าให้ใครฟังได้อีก!

หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว กัวหยางก็ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถงเซียวเซียว มันจะมากไปแล้ว!”

“บอสกัวครับ ผู้หญิงยิ่งสวยก็ยิ่งเผ็ดแบบนี้ล่ะครับ” ผู้อำนวยการหลิวหันไปพูดกับกัวหยางติดตลก

กัวหยางตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก “ผู้หญิงบางคนก็โง่แล้วยังอวดฉลาด ไม่รู้จักว่าควรวางตัวยังไง!”

“ก็จริง! ผู้หญิงโง่ๆแบบนี้มีอยู่ไม่น้อย ต้องได้รับบทเรียนถึงจะยอมเชื่อฟัง” ผู้อำรวยการหลิวเอ่ยตอบพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

กัวหยางจึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าคนที่นี่มีวิธีทำให้สัตว์ดุร้ายเชื่องได้ยังไงเหรอครับผู้อำนวยการหลิว?”

“ที่ปักกิ่งนี่น่ะเหรอ? เอาล่ะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”

“ขอบคุณผู้อำนวยการหลิวมาก ไว้เมื่อไหร่ที่คุณไปไต้หวัน ผมจะจัดการต้อนรับคุณอย่างดีทีเดียว!”

“ไม่ต้องเกรงใจๆ”

หลังจากบอกกับกัวหยางไปแล้ว ผู้อำนวยการหลิวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรสั่งการทันที

หลังจากที่ไม่มีใครเข้ามารบกวน หญิงสาวทั้งหมดในห้องต่างก็ดื่มกิน และพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข แม้ว่าฉีเล่ยจะดูกระอักกระอ่วนใจอยู่ท่ามกลางสวๆ แต่บรรยากาศก็ยังคงดำเนินไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริง

แม้ว่าฉีเล่ยจะมีสีหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆออกมา แต่ภายในใจกลับรู้สึกว่า ถูกสาวๆกลุ่มนี้แทะโลมอยู่ตลอดเวลา

จนกระทั่งดื่มกินกันจนเสร็จสิ้นแล้ว ถงเซียวเซียวจึงขอเป็นเจ้ามืออาหารมื้อนี้เพื่อเป็นการเลี้ยงขอบคุณฉีเล่ย ทุกคนจึงไม่ขัดศรัทธา และปล่อยให้ญิงสาวเป็นผู้ชำระบิลค่าอาหารในคืนนี้

ทันทีที่กลุ่มสาวสวยเดินออกมาจากห้อง ก็ได้กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของผู้คนที่พบเห็น อาจเป็นเพราะฉีเล่ยเริ่มรู้สึกชินชากับสายตาของผู้คนเช่นนี้แล้ว ทำให้เขาไม่ค่อยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากเท่าไหร่นัก

“ผู้อำนวยการหลิว ผู้หญิงกลุ่มนั้นเดินออกมาแล้วครับ” ใครบางคนที่อยู่บนรถตู้สีดำ ซึ่งจอดอยู่หน้าภัตตาคารรีบโทรรายงานผู้อำนวยการหลิวทันทีที่เห็นกลุ่มสาวสวยเดินออกมา

“งั้นก็ลงมือตามที่ฉันสั่งได้เลย!”

ผู้อำนวยการหลิวซึ่งเวลานี้ยืนอยู่ข้างหน้าต่างชั้นสองของภัตตาคาร พร้อมกับก้มมองกลุ่มสาวสวยที่อยู่ด้านล่างในขณะสั่งการ

ระหว่างทางที่เดินออกไปนั้น เสี่ยวเจียวก็เข้าไปกอดแขนของเซียวเซียวไว้พร้อมกับถามออกไปว่า “เซียวเซียว แล้วเมื่อไหร่พวกเราจะได้เจอกันอีกล่ะ?”

“ไม่นานหรอกน่า ทางบริษัทน่าจะมาลงทุนทางเหนืออีกเร็วๆนี้ ถึงตอนนั้นพวกเราคงได้รวมก๊วนกันอีกแน่ๆ” เซียวเซียวตอบกลับยิ้มๆ

“ฮ่าๆๆ น่าอิจฉาพวกผู้ชายเจียงหนานชะมัด ที่จะได้มีโอกาสเห็นขาสวยๆของเซียวเซียวอีกครั้ง!” เสี่ยวเจียวอดที่จะหยอกเย้าเพื่อนสาวไม่ได้

ถงเซียวเซียวเหลือบมองฉีเล่ยที่กำลังเดินตามหลังมา พร้อมกับตอบเสี่ยวเจียวไปว่า “จะบ้าเหรอ? ฉันไปทำงานนะ ไม่ได้ไปโชว์อะไรที่ไม่ควรโชว์”

แต่สายตาของถงเซียวเซียวกลับถูกเพื่อนๆสังเกตเห็น เธอจึงได้ถูกเพื่อนๆแซวไม่หยุด “อะไรกันเซียวเซียว? ฉันเห็นเธอคอยแต่แอบมองไปด้านหลัง มองใครเหรอจ๊ะ? หรือว่าแอบสนใจพ่อหนุ่มน้อยของเรา?”

“นี่พี่หลินคนสวย ให้เซียวเซียวยืมน้องชายสุดหล่อไปควงหน่อยจะได้ไหมคะ?”

“ได้ยังไงๆ ถ้าฉันให้เขาไปกับเซียวเซียว แล้วฉันล่ะ? ฉันจะทำยังไงห๊ะ?” หลินชูวโม่รีบค้านขึ้นทันที

“พี่หลินคนสวยคะ อะไรจะซื่อบื้อขนาดนี้? เห็นว่าเป็นพี่สาวนะ ฉันจะแนะนำอะไรให้ พี่ก็ใช้แตงกวาหรือมะเขือยาวไปก่อนสิ ฮ่าๆๆๆ”

“ยัยบ้า! พูดจาอะไรลามกน่าเกลียดจริงๆ ฉันไม่เข้าใจสักหน่อย ถ้าอยากจะได้น้องชายสุดหล่อนี่ไปก็ต้องช่วงชิงกันหน่อยแล้วล่ะ!” หลินชูวโม่จีบปากจีบคอตอบโต้

“ได้!”

หลังจากนั้น กลุ่มสาวๆต่างก็พากันพุ่งเข้าไปหาหลินชูวโม่พร้อมกับเอากระเป๋าฟาดใส่อย่างสนุกสนาน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset