ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 125 เรื่องไร้สาระสิ้นสุด

ตอนที่125 เรื่องไร้สาระสิ้นสุด

“แน่นอนว่าต้องรู้จัก ก็มันเป็นชู้กับสามีฉันไง! ถ้ารู้ว่านังนี่ขโมยสามีเธอไป เธอจะไม่ตบมันเหรอ?”

ผู้หญิงคนนี้รีบเลี่ยงวลีตอบกลับไปทันที ขนาดตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าทำไมเช่นกัน แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาของหลินชูวโม่เลยสักนิด ราวกับว่ากลัวจะถูกสายตาประดุจจิ้งจอกคู่นั้นมองผ่านอ่านความจริงออก

“ฉันกำลังพูดเรื่องของเธอ ไม่จำเป็นต้องวกเข้ามาเรื่องของฉัน ไม่อย่างนั้น…ถ้าเธอยังขืนเล่นลิ้นอยู่แบบนี้ เธออาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกต่อไป”

หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางสังเกตเห็นแววตาสั่นคลอนรวนเรและดูไม่มั่นคง ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหลบสายตาไป

เมื่อใดที่มีคนไม่กล้าสบสายตากับคุณ นั่นแสดงว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่

“ฉัน…ฉันไม่รู้ว่าแกกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”

ผู้หญิงคนนั้นแอบเหลืบสายตามองกลับไปทางด้านหลัง ก่อนจะค้นพบว่ารถตู้สีดำที่ขับพาเธอมา ค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว ยิ่งเห็นแบบนั้น ก็ยิ่งทำให้เธอเป็นกังวลหนักเข้าไปใหญ่

“ได้ งั้นฉันเปลี่ยนคำถามก็แล้วกัน…ใครจ้างเธอมาใส่ร้ายเซียวเซียว?”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของหลินชูวโม่ ทว่ารอยยิ้มนั่นกลับไม่เหมือนรอยยิ้มแม้สักนิด…

ผู้หญิงคนนั้นยังคงดื้อดึงไม่ยอมปริปาก

“ฉันมาของฉันเอง! ไอ้เรื่องไปเป็นชู้กับผัวคนอื่น ฉันเกลียดที่สุด! ผู้หญิงไร้ยางอายแบบนี้ฉันต้องสั่งสอนด้วยตัวเอง!”

“คำแก้ตัวของเธอฟังไม่ขึ้นเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า?”

หลินชูวโม่หัวเราะคิกคัก

“เสี่ยวเจา ช่วยโทรแจ้งตำรวจที บอกให้รีบมาพาผู้หญิงคนนี้ไปสอบสวนหาความจริงที ฉันไม่เชื่อหรอกว่า…หลังจากถูกจับไปที่สถานีตำรวจแล้ว เธอยังจะกล้าปากแข็งแบบนี้อยู่อีก”

ฟังจากคำพูดของหลินชูวโม่ ก็พอจะทราบได้ทันทีว่า เสี่ยวเจาคนนี้คงจะต้องมีเส้นสายอะไรบางอย่างเกี่ยวกับทางกรมตำรวจในปักกิ่งแน่นอน เพราะฉะนั้น การโทรเรียกตำรวจให้มาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

ถ้ารีบสืบสวนหาความจริงให้จบๆไปตอนนี้ พวกเธอคงจะได้รู้ตัวคนบงการก่อนที่เที่ยวบินของเซียวเซียวจะออก

ผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะโทรแจ้งตำรวจ เพราะถ้าเธอถูกตำรวจจับขึ้นมาจริงๆ อาชีพของเธอจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นเธอเองคงต้องติดคุกหัวโตแน่นอน

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! มีคนจะทำร้ายฉัน!”

ในเมื่อไม่ทางเลือกอื่น ผู้หญิงคนนั้นจึงเริ่มร้องตะโกแหกปากเสียงดังลั่นเพื่อให้ฝูงชนโดยรอบหันมาสนอกสนใจ

เนื่องจากบริเวณนี้ป็นถนนคนเดินสายหลัก แค่เกิดเรื่องขัดแย้งอะไรขึ้นเพียงเล็กๆน้อยๆ ก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนแถวนั้นได้อย่างง่ายดาย

ทุกคนในบริเวณนั้นต่างก็พากันหันมองมาพร้อมรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บ้างก็ชี้นิ้วมาทางนี้ บ้างก็ถึงกับหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปเพื่อแชร์ข่าวสารที่เกิดขึ้นข้างทางให้กับเพื่อนๆและครอบครัวดู หรือไม่ก็เอาไปโพสต์ลงบนโลกโซเชียล

กลุ่มที่กำลังมีเรื่องอยู่นี้มีแต่สาวๆสวยๆทั้งนั้น เรื่องแบบนี้ใครบ้างจะไม่สนใจ?

มีคำกล่าวว่า เพศหญิงมักดึงดูดความสนใจของฝูงชนได้มากกว่าเพศชายเสมอ และฝูงชนเหล่านี้ไม่ได้มุงดูเพื่อเรียกร้องหาความชอบธรรมหรือเพื่อจะช่วยเหลือ แต่ที่ทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้ สิ่งแรกที่อยู่ในหัวคือ รับชมเพื่อ‘ความบังเทิง’ เพราะท้ายที่สุดนี่มันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา

หลังจากร้องตะโกนอยู่สักพักใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นก็ตระหนักได้ว่า ไม่มีใครยอมออกหน้ามาช่วยเธอเลย ภายในช่วงเวลาที่สิ้นไร้ไม้ตอกแบบนี้ เธอจึงต้องฝากความหวังไว้กับรถตู้สีดำเท่านั้น

“ช่วยด้วย! พี่สาม! ช่วยหนูด้วย!”

ผู้หญิงคนนั้นรีบหันไปโบกมือให้กับคนที่อยู่บนรถตู้ทันที ซึ่งเธอทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงนี้ผ่านกระจกสีดำด้านหลังตลอดเวลา

แต่ทว่า…กลับไม่มีใครเดินลงมาจากรถเลยสักคน ทุกคนในรถตู้ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัว

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น กลุ่มสาวๆต่างก็เบนความสนใจไปที่รถตู้สีดำแทนทันที

“ใครคือพี่สาม?”

หลินชูวโม่จ้องเขม็งไปทางรถตู้สีดำ พร้อมกับร้องถามหยิงสาวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่รู้ ฉัน…ฉันไม่รู้…”

“ฉันอยู่แล้วว่าต้องมีใครสักคนจ้างเธอมาแน่ๆ พอหลุดปากออกมาแบบนี้ก็ต้องแก้ตัวเป็นธรรมดา”

หลินชูวโม่ปรายหางตามองไปทางผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรอีกต่อไป

“พวกคุณรออยู่ตรงนี้แหละ ค่อยเฝ้าผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี อย่าให้หนีไปไหนได้ เดี๋ยวผมจะเดินไปดูเอง”

รถตู้คันสีดำไม่ได้หยุดนิ่งซะทีเดียว แต่ค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นระยะๆ ฉีเล่ยจึงจำเป็นที่จะต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆด้วยตัวเอง

แต่หลินชูวโม่กลับคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ถ้านายเดินเข้าไปใกล้แบบนั้น พวกมันก็คงเหยียบคันเร่งหนีไปแน่ๆ สองขาจะไปสู้สี่ล้อได้ยังไง?”

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายผมทองที่มือถือกล้องก็กำลังมองผ่านกระจกด้านหลังอยู่ ก็ได้หันไปหาชายหัวโล้นที่นั่งอยู่เบาะข้างๆและเอ่ยถามขึ้นว่า

“พี่สาม เราควรทำยังไงต่อไปดี? ต้องกลับไปรับผู้หญิงคนนั้นกลับมาไหม? นี่ถ้านังนั่นถูกลากตัวเข้าสถานีตำรวจจริงๆ พวกเราไม่ซวยกันหมดเหรอ?”

“แป๊ปนึง”

ชายหัวล้านตอบกลับเสียงเย็น

สักพักเขาก็หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อและกดโทรออกอย่างรวดเร็ว

“ว่าไงน้องสาม จัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

“หัวหน้าครับ พวกเราทำพลาด นังนั่นยังไม่ทันได้ตบหน้าถงเซียวเซียวเลย ก็มีคนเข้ามาห้ามไว้ซะก่อน ตอนนี้ดูเหมือนมีคนกำลังโทรแจ้งตำรวจให้มาจับเธอครับ”

“ไอ้สวะ! ห่วยแตก! งานง่ายๆแค่นี้ยังทำไมสำเร็จ! เสียดายเงินที่เลี้ยงดูพวกแกจริงๆ!”

“ประทานโทษด้วยครับหัวหน้า”

ชายหัวล้านเอ่ยขอโทษเสียงอ่อย

“เราควรพาเธอกลับมาไหมครับ? ผมกลัวว่าถ้าเธอถูกตำรวจจับไป ทางเราจะซวยไปด้วย…”

คนที่อยู่ปลายสายเงียบนิ่งไปสักครู่เหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ไม่ต้อง ปล่อยให้นังนั่นโดนจับไป แล้วนายก็ไปมอบตัวซะ อ้างไปว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด จนทำให้เรื่องบานปลายแบบนี้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันให้เพื่อนในสถานีตำรวจจัดการเอง”

“ครับหัวหน้า”

ชายหัวโล้นรับคำสั่ง

หลังจากวางสายไปแล้ว เขาก็โน้มตัวไปสั่งคนขับที่อยู่ด้านหน้าสั้นๆแต่ได้ใจความว่า

“ขับออกไป”

คนขับรถตู้คันนี้เป็นชายร่างผอมบาง ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของชายหัวโล้น เขาก็รีบเหยียบคันเร่งขับหนีออกไปทันที

“พี่สาม! อย่าทิ้งหนูไว้แบบนี้! พี่สาม! พี่ต้องช่วยหนูนะ!!”

ขณะที่รถตู้คนนั้นแล่นออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มแหกปากกรีดร้องลั่นสุดเสียง

รถตู้เลี้ยวขวาหายวับไปตรงหัวมุมเข้ากลมกลืนกับการจราจรที่แสนเร่งด่วนใจกลางเมืองอย่างไร้ร่องรอย ผู้หญิงคนนั้นถึงกับเสียสูญ เธอทิ้งตัวทรุดนั่งลงกับพื้นและเริ่มร้องห่มร้องไห้ออกมาชุดใหญ่ราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก

เธอรู้ตัวดีว่า ตอนนี้ตัวเองได้ถูกทอดทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อได้รู้ว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก และคนพวกนั้นก็ไม่คิดที่จะช่วยเหลือเธอเลย ปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับปัญหาตามลำพัง เธอก็ได้แต่เจ็บใจและยากที่จะทำใจยอมรับได้จริงๆ

เธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง! ที่มีหัวใจ! มีความรู้สึก!

ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินทางมาถึง

ชายหนุ่มนอกเครื่องแบบคนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถตำรวจแทบจะในทันที เขารีบวิ่งไปหาเสี่ยวเจาและเอ่ยถามขึ้นโดยไวว่า

“น้องเจา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

เสี่ยวเจาชี้ไปที่ผู้หญิงคนนั้นที่นั่งร้องไห้อยู่กลางพื้นพร้อมตอบกลับไปว่า

“เราสงสัยว่าเธอถูกจ้างให้มาทำร้ายเพื่อนนางแบบของฉัน คงจะหวังทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงน่ะ ช่วยพาเธอกลับไปสอบสวนหาตัวคนบงการเรื่องนี้ให้ที”

ชายหนุ่มเหลือบมองผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่งและยิ้มตอบว่า

“วางได้ใจน้องเจา ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”

“ได้ ได้ กลับไปทำงานต่อเถอะ”

เสี่ยวเจาโบกมือลา

“อืม โชคดี ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ตลอดเลยนะ เอ่อน้องเจา…ฝากบอกผู้บัญชาการหงด้วยนะครับว่า ถ้าผมมีเวลาว่างจะขออนุญาตไปเยี่ยมท่านสักหน่อย”

ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้ หลังจากพูดคุยกันสองสามคำเขาก็โบกมือลา และเดินไปสั่งให้ตำรวจในเครื่องแบบประมาณสองถึงสามคน ให้เข้าไปจับกุมตัวผู้หญิงคนนั้นแล้วพาขึ้นรถออกไปทันที

“เสี่ยวเจา หนุ่มคนเมื่อกี้เป็นใครน่ะ? เขาดูเคารพเธอมากเลย เฮ้ออ…เป็นคนคนสกุลหงนี่มันสุดยอดจริงๆ”

หนึ่งในก๊วนสาวเอ่ยปากหยอกล้อ เสี่ยวเจาคือชื่อที่เพื่อนสนิทของเธอเรียกกันเอง ซึ่งเธอมีชื่อจริงคือ หงเจา

“อือหือ ไม่ทราบว่าในปากเลี้ยงสุนัขไว้กี่ตัวจ๊ะ? ขยันกัดเหลือเกิน เขาเป็นเด็กปั้นเก่าของพ่อฉันเอง ตอนนี้ได้ดิบได้ดีในสายงานตำรวจไปแล้ว ถ้าไม่เคารพฉันสิแปลก”

เสี่ยวเจาหัวเราะคิกคัก

เมื่อฝูงชนเห็นว่า ไม่เหลืออะไรให้สาระแนต่อแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆแยกย้ายกันออกไป

หลินชูวโม่เดินกลับมาถามว่า

“เซียวเซียว เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ไม่เป็นไร”

เซียวเซียวส่ายหน้าไปมา สีหน้าของเธอดูโศกเศร้าเล็กน้อย

“ตั้งแต่ฉันเข้ามาในวงการ ก็เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าสักวันคงต้องเจอเรื่องทำนองนี้ ที่ผ่านมาเคยแต่ได้ยินพวกรุ่นพี่มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง แต่คราวนี้โดนกับตัวเอง ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนนั้นจริงๆนะ”

“ฉันรู้ เธอไม่มีทางรู้จักผู้หญิงแบบนั้นได้หรอก”

หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า

“แค่เห็นก็รู้แล้วว่า ต้องมีใครจ้างเธอมาอีกที”

“ใครจ้างกัน? ตั้งแต่มาปักกิ่งฉันยังไม่เคยมีเรื่องกับใครเลยนะ”

ถงเซียวเซียวร้องถามด้วยสีหน้างุนงง

หลิวชูวโม่กลอกตามองบนอยู่รอบหนึ่ง

“ก็เธอเพิ่งปฏิเสธผู้ชายที่ชวนดื่มคนนั้นไปไม่ใช่เหรอ? นี่ยังไม่ได้เรียกว่ามีปัญหาอีกงั้นเหรอจ๊ะ?”

“ห๊ะ? เป็นพวกนั้นหรอกเหรอ?”

“มีความเป็นไปได้”

หลินชูวโม่พยักหน้าและกล่าวว่า

“เซียวเซียว ตอนที่เดินทางกลับระวังตัวให้มากๆหน่อยก็ดี อย่าติดต่อกับคนพวกนั้นอีกเลยเป็นดีที่สุด เข้าใจไหม?”

“ค่ะ เข้าใจแล้ว ในไต้หวันไม่มีใครกล้าทำเรื่องเผด็จการพวกนี้อยู่แล้ว”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset