ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 127 คำตอบเดียวคือไม่

ตอนที่127 คำตอบเดียวคือไม่

เมื่อทั้งคู่กลับไปถึงคลินิกชูวโม่ ก๊วนสาวๆที่กลับมาคลินิกก่อน ต่างก็พากันแยกย้ายกลับบ้านจนแทบไม่เหลือแล้ว มีเพียงหงเจากับเสี่ยวอันเท่านั้นที่ยังคงนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา

เมื่อเห็นฉีเล่ยกับหลินชูวโม่เดินเข้ามา หงเจาก็เอ่ยถามขึ้นทันทีว่า

“ส่งเซียวเซียวขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้วเหรอ? ตอนนี้เครื่องน่าจะออกแล้วล่ะ เมื่อกี้ฉันโทรไปเธอก็ปิดเครื่องไปแล้ว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ได้รับการสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเป็นสาวขายบริการจากเรนโบสปิลคลับ ถูกจ้างมาให้ทำร้ายเซียวเซียว”

“ใครจ้างมา?”

หลินชูวโม่ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขณะเอ่ยถาม

“ซูซาน”

“มันเป็นใครกัน?”

ปลายคิ้วของหลินชูวโม่เลิกขึ้นด้วยความสงสัย พร้อมกับเอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้างุนงง

“เป็นคนที่ผู้หญิงคนนั้นหลุดปากเรียกว่าพี่สามยังไงล่ะ ก็แค่นักเลงกระจอกๆคนหนึ่ง แต่น่าแปลกที่จู่ๆ ทำไมถึงต้องจ้างคนไปทำร้ายเซียวเซียวด้วย? ทั้งคู่ไปมีเรื่องกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือเป็นเพราะความสวยของเซียวเซียว? บางทีทั้งสองคนอาจจะบังเอิญเจอกันที่ไหนสักแห่ง แล้วไอ้คนที่ชื่อซูซานอะไรนี่ก็โดนเซียวเซียวหักอกเข้า ก็เลยแค้นใจสั่งคนมาทำร้ายแบบนี้?”

หลินชูวโม่ส่ายหัวไปมา

“ซูซานที่ว่านี่น่าจะต้องถูกใครบางคนผลักให้กลายเป็นแพะรับบาป คนบงการอยู่เบื้องหลังที่แท้จริงต่างหากที่สั่งทำร้ายเซียวเซียว”

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะพี่ แต่ซูซานคนนี้มันก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย พยายามซักถามเท่าไหร่ก็บอกอย่างเดียวว่า ตัวมันเองเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด บอกแต่ว่าจะขอรับผิดโดยดี พอรูปคดีออกมาแบบนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจับมันในฐานะอาชญากรผู้ว่าจ้าง แต่ถามจริงๆเถอะ ถ้าพี่หลินเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริง จะเที่ยวมาประกาศตัวเองเหรอว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง? ฟังยังไงมันก็ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย เฮ้ออ…สุดท้ายผู้หญิงสวยๆอย่างเรา จะทำอะไรก็ดูยากไปหมดซะทุกอย่าง”

“นั่นน่ะสิ”

หลินชูวโม่พยักหน้าเห็นด้วย

“แต่ฉันไม่ห่วงหรอกนะ เพราะพี่หลินคนนี้มีแต่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ไม่เคยยอมให้ใครมาเอาเปรียบง่ายๆแน่ ใครที่กล้ามีเรื่องกับพี่หลินก็เท่ากับตายไปครึ่งตัวแล้ว อารมณ์ก็จะประมาณว่า ใครทำให้แมงมุมแม่ม่ายดำโกรธขึ้นมา ต่อให้ไม่ตายก็ต้องโดนพิษของมันจนผิวหนังลอกเละเทะแน่”

หงเจากล่าวหยอกล้อเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดให้จางคลายลง

“เห็นฉันเก่งขนาดนั้นเลยรึไง? ผิวหนังลอกเละเทะงั้นเหรอ? ไม่มีหรอกย่ะ! แต่ถ้าลอกเสื้อผ้าโชว์เนื้อหนังน่ะพอไหว ว่ายังไงล่ะสุดหล่อ? อยากเห็นพี่สาวคนนี้ลอกเสื้อผ้าออกจากตัวบ้างรึเปล่า? แบบค่อยๆถอดทีละชิ้นเลยนะ?”

หลินชูวโม่เริ่มหันกลับมาแทะโลมฉีเล่ยเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำอีกครั้ง

“ผมไม่อยากเห็น”

ฉีเล่ยตอบกลับเสียงห้วน

“โอ้ย ฉันไม่ทนดูพวกเธอสองคนจีบกันหรอกนะ เย็นนี้ฉันมีนัดกับน้องอันไปช็อปปิ้งกันต่อ ตามสบายเลยนะจ๊ะ เชิญลอกเสื้อผ้ากันให้เต็มที่”

หงเจาพูดติดตลกก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินออกไปจากคลินิกพร้อมกับเสี่ยวอัน

“พี่หลิน พี่ฉี พวกพี่สองคนดูเหมาะกันดีนะคะ ฉันชอบ อิอิ”

เสี่ยวอันยิ้มให้ทั้งสองคนก่อนจะรีบเดินตามหงเจาออกไปติดๆ

หลินชูวโม่จับจ้องที่แผ่นหลังของทั้งสองที่ค่อยๆห่างไกลออกไป พลางร้องตะโกนไล่หลังไปว่า

“เสี่ยวอัน เสี่ยวเจา สุดหล่อนี่อันตรายกว่าที่พวกเธอคิดนะ!”

หลังจากที่สองสาวเดินออกจากร้านไปแล้ว

เวลานี้จึงเหลือคนที่อยู่บนชั้นสองของคลินิกเพียงแค่สองคนเท่านั้น คือฉีเล่ยกับหลินชูวโม่

ทั้งสองนั่งพักบนโซฟา แต่แทนที่หลินชูวโม่จะไปนั่งตรงข้ามกับฉีเล่ย เธอกลับเลือกที่จะนั่งข้างกายอีกฝ่าย มิหนำซ้ำยังทำเนียนค่อยๆแอบขยับเข้าไปไกลชายหนุ่มจนไหล่ของทั้งคู่แนบชิดกัน เธอใช้ข้อศอกสะกิดลำตัวฉีเล่ยเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นี่สุดหล่อ ตอนนี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้วนะ ไม่อยากจะทำอะไรกันหน่อยเหรอ?”

สีหน้าของฉีเล่ยค่อนข้างเคร่งขรึมมากกว่าเดิม

“ที่ผมพูดไปทั้งหมดในรถนี่ไม่เข้าหูคุณบ้างเลยเหรอ? นี่คุณต้องการอะไรกันแน่? สูตรยาเพิ่มงั้นเหรอ?”

“บ้าจริง! นี่ฉันก็เป็นผู้หญิงนะ พูดอะไรแบบนั้น?”

“ผิดแล้ว คุณน่ะไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นหญิงบ้า”

“หนวกหูน่า…”

ทันใดนั้นแขนทั้งสองข้างของหลินชูวโม่ก็โอบรัดต้นแขนของฉีเล่ยไว้แน่นราวกับอสรพิษ พร้อมเอนศีรษะของเธอเข้าซบบริเวณไหล่ และเบียดร่างเข้ากับท่อนแขนของฉีเล่ยแนบแน่น

“ก็อย่างที่ฉันบอกยังไงล่ะ ไม่อยากทำอะไรกันหน่อยเหรอ? ฉันเต็มใจนะ…”

“….”

เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของฉีเล่ยเล็กน้อย

หลินชูวโม่สังเกตเห็นเข้า จึงค่อยๆโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า

“บนโซฟาก็ได้นะ…”

ฉีเล่ยตอบกลับไปเสียงเข้มว่า

“ถ้าคุณยังขืนยั่วแบบนี้อีก อย่าหาว่าผมไม่เตือนล่ะ”

“คิคิ ถ้ายังยั่วต่อ…บอกมาสิว่าจะทำอะไรฉันเอ่ย? บางทีฉันอาจจะชอบก็ได้นะ”

“ก็‘ทำ’อย่างที่คุณต้องการไงล่ะ”

ฉีเล่ยก่นตอบเสียงเย็นยะเยือกกลับไปพร้อมชี้นิ้วขึ้นข้างบน

“ผมจะทำโทษคุณให้หนักจนยืนไม่ได้เลยล่ะ อยากลองก็ขึ้นไปบนชั้นสามสิ”

“เฮ้~ จะทำอะไรฉันที่ชั้นสามกันน๊า~”

หลินชูวโม่แสร้งทำเป็นตีหน้าใสซื่อเอ่ยถามขึ้น

“ที่นี่ไม่ค่อยเหมาะ ถ้ามีคนเดินผ่านไปมาอาจมองเห็นได้ง่าย”

“ทำไม? กลัวเหรอ?”

หลินชูวโม่ยังคงตีหน้าซื่อ

“นี่คุณไม่อายบ้างรึไง ถ้ามีคนอื่นมาเห็นเข้า?”

“อิอิ พวกเราแค่คุยกันเฉยๆเอง มีอะไรให้อายล่ะ?”

ในที่สุดหลินชูวโม่ก็แกล้งอีกฝ่ายได้สำเร็จ

“คุยกัน?”

“ใช่ คุยกันเฉยๆ เราสองคนยังจะทำอะไรอย่างอื่นได้ล่ะ?”

“…”

ฉีเล่ยจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามของหลินชูวโม่พร้อมกับเตือนเธอว่า

“ถ้าคุณยังขืนเล่นกับไฟอยู่แบบนี้ ไม่ช้าก็เร็ว คุณจะต้องโดนไฟเผาซะเอง”

ไม่รู้เพราะอะไร แต่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้าไป หลิวชูวโม่ก็ถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที

อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว

ราวกับว่าเธอกำลังถูกสิ่งชีวิตที่เหนือกว่าควบคุมอยู่ คำเตือนประโยคนี้แม้จะฟังดูผิวเผินธรรมดา แต่ทำไมทุกครั้งที่เธอได้ยินกลับรู้สึกคล้ายถูกกัดกินลึกถึงขั้วหัวใจทีเดียว?

หลินชูวโม่เป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าอันตรายมาก ดังนั้นคนประเภทเดียวที่จะสามารถกำราบเธอได้อยู่หมัด ก็คือผู้ชายที่จะต้องอันตรายยิ่งกว่า

เพียงแค่ฉีเล่ยแสดงด้านมืดของตัวเองออกมาเล็กน้อย เธอก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

จู่ๆเธอก็จับมือฉีเล่ยและพูดขึ้นว่า

“งั้นก็ขึ้นไปชั้นบนกันเถอะ”

“ไม่จำเป็น”

ฉีเล่ยสะบัดมือทิ้ง

“ผมยังมีธุระต้องไปจัดการ ขอตัวก่อน โชคดี”

ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็ลุกขึ้นและเดินจากไปทันที โดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง เขาไม่ได้แสดงท่าทีลังเลอะไรเลยแม้สักนิด

“เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งไปนะ!”

หลินชูวโม่ถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาฉับพลัน และรีบลุกขึ้นพรวดจากโซฟาพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า

“ฉันจำเป็นต้องคุยเรื่องธุรกิจกับนาย!”

“เรื่องสำคัญมากรึเปล่าล่ะ?”

ฉีเล่ยปรายหางตามองดูอย่างคร้านที่จะใส่ใจ

“กลับมานั่งคุยกันก่อนเถอะ…นะ?”

“มีอะไรก็รีบพูดมา ผมจะได้รีบไปไกลๆคุณสักที”

“…”

หลินชูวโม่เม้มริมฝีปากของเธอเล็กน้อย ก่อนจะรีบพูดเข้าเรื่องทันที

“ฉันเอาสูตรยาของนายขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์แล้ว ตอนนี้กำลังมองหาโรงงานผลิตกับบริษัทจำหน่ายวัตถุดิบที่มีประสบการณ์ด้านนี้อยู่ เรื่องเอกสารต่างๆผ่านการอนุมัติหมดเรียบร้อยแล้ว เพราะเซียวเซียวบอกกับฉันว่า เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่นายช่วยเธอไว้ ก็เลยออกหน้าคุยกับทางสำนักงานให้อนุมัติง่ายขึ้น หลังจากจัดหาโรงงานผลิตได้เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นยาผงคางคกเย็นของนายก็จะสามารถนำออกมาจำหน่ายในท้องตลาดได้”

“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันตั้งใจจะจดทะเบียนบริษัทสกินแคร์ขึ้นมาแยกกับทางคลีนิค จะได้ง่ายต่อการทำบัญชี ภาษี รวมไปถึงการผลิตและการตลาดด้วย รวมไปถึงในอนาคต ฉันต้องการผลักดันแบรนด์นี้ให้โด่งดังไปทั่วประเทศจีนอีกด้วย นายถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่มาทำงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ฉันเต็มตัวล่ะ?”

“ถ้านายยอมตกลง ฉันจะแต่งตั้งให้นายเป็นประธานบริษัท รับประกันได้เลยว่า ในอนาคต นายจะได้ทานแต่อาหารอร่อยทุกมื้อ อยากจะมีรถหรูขับเล่นสักกี่คันก็ได้ ที่สำคัญ ถึงตอนนั้นนายอยากจะมีสาวๆสวยๆสักกี่คนก็ยังได้!”

หลังจากพูดจบไปแล้ว หลินชูวโม่ก็นิ่งเงียบเพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยกลับเดินลงบันไดไปโดยไม่สนใจข้อเสนอของเธอแม้แต่น้อย เธอจึงรีบแก้ตัวทันที

“นี่ ฉันก็แค่เปรียบเทียบให้ฟังเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆสักหน่อย แค่อยากจะเปรียบเทียบให้นายฟังว่า ถ้ามาทำงานกับฉัน นายจะมีเงินทองใช้ทั้งปีทั้งชาติ พวกเราสองคนจะรวยไปด้วยกัน อีกอย่างถ้านายยอมนั่งแท่นประธานบริษัท นายก็จะสามารถพัฒนาองค์กรไปตามทิศทางที่นายต้องการได้ด้วย”

“ไม่”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยเมย แล้วเดินลงบันไดจากไปทันที ปล่อยให้หลินชูวโม่ยืนอารมณ์เสียกระทืบเท้าระบายความโกรธอยู่บนชั้นสองคนเดียว เธอกัดฟันกำหมัดแน่นด้วยความว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง

ถ้าเขาเป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่เคยจับเงินถุงเงินถังมาก่อน หรือเป็นพวกผู้ชายอ่อนต่อโลกที่ไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วล่ะก็ หลินชูวโม่คงจะไม่ต้องหว่านล้อมอะไร ฉีเล่ยก็คงจะยอมเชื่อฟังเธอไม่ต่างจากสุนัขเชื่องๆตัวหนึ่งไปแล้ว

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น

หากฉีเล่ยต้องการจะทำธุรกิจจริงๆ เขาย่อมมีโอกาสอยู่ในมืออย่างมากมายมหาศาล และไม่จำเป็นต้องมานั่งแบมือขอโอกาสจากหลินชูวโม่ ในเมืองหนานหยาง เครือข่ายธุรกิจของสองพ่อลูกตระกูลหวู่นั้นใช่ว่าจะเล็กๆที่ไหนกัน? เพียงแค่พึ่งพาสองพ่อลูกคู่นี้ให้มาช่วยเขาดำเนินธุรกิจ เท่านี้เขาก็รวยไปทั้งชาติแล้ว นี่ยังไม่ได้พูดถึงตระกูลชูที่มีอำนาจอิทธิพลในปักกิ่ง และมั่งคั่งร่ำรวยเสียยิ่งกว่าสองพ่อลูกตระกูลหวู่ไม่รู้เท่าไหร่ ฉีเล่ยเชื่ออย่างยิ่งว่า ขอเพียงเขาเอ่ยปาก คนพวกนั้นก็พร้อมที่จะแห่เข้ามาให้ความช่วยเหลือจนเลือกไม่ถูกแน่นอน

ที่ฉีเล่ยไม่ยอมใช้เส้นสายเหล่านี้เพื่อก่อตั้งธุรกิจของตน เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เพราะเขาไม่ต้องการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมเขาจะต้องเดินตามเส้นทางที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหลิวชูวโม่ปูให้ด้วยเล่า?

ฉีเล่ยยังจำบทสนทนาระหว่างเขากับหลี่ฮั่วเฉินเมื่อครั้งที่มาถึงปักกิ่งวันแรกได้ดี

‘ให้ทุกคนเรียนแพทย์แพทย์จีน ให้ทุกคนต่างใช้ยาจีน สร้างคำนิยามให้กับแพทย์แผนจีนใหม่’

แม้ยาผงคางคกเย็นจะทำให้ทุกคนแห่แหนเข้ามาซื้อจนเป็นสินค้าติดตลาด แต่เขาก็รู้ดีว่า อาศัยเพียงสิ่งเล็กๆแค่นี้คงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้ได้

เขายังต้องการสอนและถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นต่อ

เมื่อใดที่แพทย์แผนจีนตกต่ำถึงขีดสุด มรดกทาการแพทย์โบราณของบรรพบุรุษถูกทำลายไป ถึงตอนนั้นเขาหนีไปทำธุรกิจโดยอาศัยทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศของตัวเองที่มี ก็คงจะยังไม่สายเกินไปใช่หรือไม่?

แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างยังมีโอกาส ทำไมเขาต้องเลือกเดินเส้นทางนั้นด้วย?

ช่างเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี การที่บรรพบุรุษสกุลเฉินถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่มีให้แก่เขา อีกฝ่ายทำเพื่อสิ่งใดกัน?

เพื่อให้เขามีรถหรูหราขับไปจีบสาวสวย เพียงแค่นั้นน่ะหรือ?

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset