ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 129 ตกอยู่ในอันตราย

ตอนที่129 ตกอยู่ในอันตราย

ตาแก่ซงเดินเปิดประตูห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์เข้ามา พลันเห็นว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ สีหน้าท่าทางดูค่อนข้างจะประหม่าเจือกดดันเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นก็ยังพยายามฝืนยิ้มอย่างสุดกำลังในขณะที่เอ่ยกล่าว

“ครับ เข้าใจแล้วครับคุณเฉิน ผมจะไม่มีวันลืมคำพูดของคุณเด็ดขาด เข้าใจผิดแล้วครับ เข้าใจผิดแล้ว! ผมจะไม่เห็นแก่หน้าคุณได้ยังไง? ไม่ต้องกังวลครับ ผมจะรีบหาวิธีช่วยอีกฝ่ายแน่นอน เดี๋ยวผมจะส่งคำร้องขึ้นไปหาเบื้องบนโดยตรง อาจารย์ฉีจะต้องได้กลับเข้าทำงานแน่ครับ…ครับ…ครับผม…”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีพูดคุยผ่านโทรศัพท์ ตาแก่ซงก็แอบคิดกับตัวเองว่า

‘หรือเป็นไปได้ไหมที่มีใครบางคนพยายามช่วยให้ฉีเล่ยได้กลับเข้ามาทำงาน? ไอ้เด็กเวรนั่น! อย่างที่ข่าวลือว่ากันจริงๆ หมอนี่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งมาก!’

จากนั้นเขาพลันส่ายหัวสะบัดความคิดไร้สาระเมื่อครู่ทิ้งไปทันที ถ้าเจ้าเด็กนั่นมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งจริง แล้วทำไมถึงโดนไล่ออกง่ายดายแบบนั้นล่ะ? ก่อนหน้านี้เขาแอบไปได้ยินมาว่า เป็นหลินหมิงซางที่ฝากฉีเล่ยเข้ามาสอน ก็เลยเผลอคิดไปว่าเด็กคนนี้น่าจะมีเส้นสายอยู่บ้าง

แต่หลังจากที่ฉีเล่ยโดนไล่ออก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดมาโดยตลอด และคนที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้น ตาแก่ซง อดนึกถึงตอนที่ฉีเล่ยอยู่ในห้องพักอาจารย์แรกๆไม่ได้ แต่วันสองวันนี้เขากลับมายิ่งใหญ่จนทุกคนต่างให้ความเคารพอีกครั้ง ทัศนคติของอาจารย์คนอื่นๆที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

เรื่องนี้ทำให้ตาแก่ซงฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เขาจะไม่มีทางเปิดโอกาสให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกต่อไปอย่างเด็ดขาด เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางพูดขึ้นว่า

“หนุ่มสาวสมัยนี้ที่เพิ่งเรียนจบ อยู่ในสังคมการทำงานได้ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำก็ทำตัวอวดเก่งไปซะทุกอย่าง ฉันคงต้องหาเด็กปั้นมาอยู่ฝ่ายฉันบ้างแล้วล่ะ คนที่ดูจะมีศักยภาพที่สุดเห็นจะเป็น…เธอนั้นแหละเสี่ยวเกอ เธอเป็นสาวที่ไม่ค่อยพูดมากสักเท่าไหร่ ถนัดลงมือทำมากกว่าพูดโอ้อวด เด็กแบบนี้แหละที่ควรค่าแก่การเป็นอาจารย์”

เสี่ยวเกอที่ยืนฟังอยู่เคียงข้างก็ยกมือปิดปากหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆตอบ

เธอเคยเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก่อน และย่อมทราบดีถึงสังคมภายในมหาวิทยาลัยทั้งฝ่ายของเด็กนักศึกษาและอาจารย์ พูดง่ายๆก็คืออาจารย์ซงคนนี้จงใจจะยืมมือเธอเพื่อจัดการกับฉีเล่ยนั่นเอง หรือก็คือหลอกใช้เธอเป็นเครื่องมือนั่นล่ะ และเธอเองก็ไม่ได้โง่พอที่จะยินดีพอใจให้คนอื่นหลอกใช้

หลังจากวางสาย หัวน้าคณะอาจารย์ซีก็ถึงกับต้องใช้นิ้วนวดคลึงบริเวณขมับทั้งสองข้าง เหลือบมองไปที่ตาแก่ซงและกล่าวว่า

“อาจารย์ซง นั่งลงก่อน”

“ขอบใจ”

ตาแก่ซงพยักหน้าพร้อมเดินไปเข้านั่งบนโซฟา

เขามีญาติเป็นระดับหัวหน้าคณะของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่มีความอาวุโสที่สุดอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงทำตัวราวกับว่าตัวเองมีสถานะเทียบเท่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซี

ปัง!

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีตบโต๊ะเสียงดังลั่น ก่นเสียงเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจว่า

“นี่เราเชิญลูกนายกเข้ามารึไง!”

ตาแก่ซงได้ยินดังนั้นก็ตกใจเอ่ยถามไปว่า

“สายเมื่อกี้คงจะโทรมากดดันให้ฉีเล่ยกลับเข้ามาทำงานสินะ?”

“นี่เป็นสายที่เก้าของวันแล้ว! ทุกสายล้วนแต่เป็นเรื่องของเขาทั้งนั้น! ผมไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยนะว่า ไอ้หนุ่มคนนั้นจะมีภูมิหลังที่ทรงพลังได้ขนาดนี้ มีเจ้าหน้าที่จากแทบทุกหน่วยงานโทรเข้ามา แม้แต่คนจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติยังต่อสายตรงมาหาผม กดดันให้รับหมอนั่นเข้ามาเป็นอาจารย์เหมือนเดิม!”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็แทบอยากจะร้องไห้

ด้านหนึ่งเป็นเหล่าผู้มีอิทธิพลระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน ส่วนอีกด้านก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาหม่า ซึ่งไม่ว่าฝ่ายใด คนตัวเล็กๆอย่างเขาก็ไม่สามารถทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขุ่นเคืองใจได้เลยแม้แต่น้อย หากให้เปรียบเทียบ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการหนีเสือปะจระเข้

แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา เขาทำงานเป็นอาจารย์ ดังนั้นเขาควรเลือกเข้าข้างหม่าตงเป็นการดีที่สุด

เพราะชายชราคนนี้เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพของเขาโดยตรง ถ้าจงรักภักดีต่ออีกฝ่าย ในวันข้างหน้าตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาอาจได้เลื่อนขึ้นและดีกว่าปัจจุบันก็เป็นได้

แต่ถ้าเลือกตัดสินใจแบบนั้น ผู้มีอิทธิพลจากหน่วยงานอื่นๆต่างก็จะต้องขุ่นเคืองเขายิ่งกว่าอะไร ไม่ว่าตัวเขาจะมีพัฒนาการในสายอาชีพการสอนก้าวไกลสักเพียงใด แต่ทั้งชีวิตคงทำได้เพียงแค่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็คงไม่มีหน่วยงานใดที่จะเต็มใจช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอนหากเกิดปัญหาขึ้นในวันข้างหน้า

ตาแก่ซงได้แต่แอบประหลาดใจ ในขณะนี้เขาถึงกับรู้แจ้งแล้วว่า การที่ตนทะเลาะกับฉีเล่ยเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังบอกไปว่า

“หัวหน้าซี คุณกำลังทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งของเรานะ ทั้งนี้ก็ยังทำเพื่อปกป้องลูกศิษย์ที่รักของพวกเราอีกด้วย อาจารย์ผู้สอนสาขาแพทย์แผนจีนจำเป็นต้องมีประสบการณ์มากกว่าศาสตร์สาขาอื่นๆ แล้วฉีเล่ยเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน? ต่อให้เริ่มเรียนแพทย์แผนจีนตั้งแต่ครรภ์แม่ ก็ไม่มีทางชำนาญถึงระดับพวกเราแน่นอน!”

หลังจากหยุดนิ่งเฝ้าสังเกตท่าทางการแสดงออกของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีสักพัก เขาก็พูดต่อว่า

“นอกจากนี้ ฉันยังได้ยินมาว่า เขาไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยซ้ำ แล้วคนแบบนี้จะเอาอะไรไปสอนคนอื่น? สอนให้โง่รึไง? ฉันขอสนับสนุนอีกเสียงนะว่า การไล่เขาออกถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ไล่ออกตั้งแต่เนิ่นๆยังดีกว่าปล่อยให้สายเกินไปมากกว่านี้”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเริ่มรู้สึกรำคาญอีกฝ่าย จึงโบกมือไล่

“พอเถอะ ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เป็นแบบคุณก็ดีนะ ไม่ต้องมีเรื่องมีราวให้รู้สึกกดดันอะไรแบบนี้ ตัวผมยังมีภูเขาอีกทั้งลูกให้คอยแบก ไม่อย่างงั้นคงไม่ไล่เขาออกจนเกิดปัญหาขนาดนี้ตั้งแต่แรกหรอก”

“ที่สำคัญ คุณไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนที่โทรมากดดันผมเป็นใครบ้าง และมั่นใจเลยว่า ถ้าคุณรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แม้แต่คุณเองก็ยังไม่กล้าขัดขืน”

ตาแก่ซงยังคงไม่ลดละความพยายาม และต้องการจะพูดปลอบใจต่ออีกสักสองสามคำ แต่กลับถูกขัดขึ้นก่อนว่า

“ไม่ต้องพูดแล้ว ในเมื่อสถานการณ์มันมาถึงจุดนี้แล้ว เราทำได้เพียงตั้งรับและอดทน แม้สิ่งที่ทำลงไปจะทำให้อีกหลายฝ่ายไม่พอใจก็ตาม แต่กฎก็ยังเป็นกฎและไม่สามารถฝ่าฝืนได้ เดิมที่ไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การปล่อยให้เขาหลุดมาสอนได้นับเป็นตราบาปที่ยากจะลบเลือนด้วยซ้ำไป”

หลังจากพูดจบ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจึงได้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตาแก่ซงและพูดต่อว่า

“อาจารย์ซง เหตุผลที่เรียกคุณมาในวันนี้ ก็เพราะผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”

ตาแก่ซงพยักหน้า แสร้งทำเป็นตั้งใจฟัง

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวเปิดเรื่องทันทีว่า

“ทางมหาวิทยาลัยไล่ฉีเล่ยออกไปแล้ว ดังนั้นต้องมีอาจารย์คนใหม่มารับผิดชอบสอนวิชา‘การวินิจฉัย’แทน ว่ากันว่านักศึกษาพวกนั้นค่อนข้างกระตือรือร้นกับการเรียนวิชานี้เป็นอย่างมาก ถ้าไม่รีบหาคนมารับช่วงต่อ มีหวังพวกเขาต้องสร้างปัญหาให้เราแน่นอน

ตาแก่ซงได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยถามอย่างประหม่าขึ้นว่า

“หมายความว่าจะให้ผมสอนวิชานี้?”

วิชา‘การวินิจฉัย’เป็นหลักสูตรที่ต้องใช้ความรู้เชิงปฏิบัติที่สูงมาก ไม่เพียงแต่จะต้องทำความเข้าใจถึงอาการเจ็บป่วยของคนไข้ แต่ยังต้องสามารถคิดแผนการรักษาที่เหมาะสมได้อีกด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า อาจารย์ที่จะมาสอนวิชานี้จะต้องเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการระดับสูงนั่นเอง

ตาแก่ซงสอนแต่วิชา‘ประวัติศาสตร์แพทย์แผนจีน’มาโดยตลอด โดยพื้นฐานแล้วเป็นการบรรยายตามหน้าหนังสือเรียนเป็นหลัก แทบจะไม่ได้ใช้ความรู้เชิงปฏิบัติใดๆเลย และนั่นหมายความได้ว่า ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะถูกบังคับให้มาสอนวิชาการวินิจฉัยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจ

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีพยักหน้าตอบ

“ถูกต้อง เป็นหน้าที่ของอาจารย์ซง”

ตาแก่ซงระล่ำระลักอธิบายกลับไปทันที

“แต่ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิชานี้เท่าไหร่นัก เกรงว่าจะสอนออกมาได้ไม่ดี…”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกล่าวตอบไปว่า

“อาจารย์ซงรู้ไหมว่า การจะหาอาจารย์มาสอนวิชานี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ที่ผ่านมา นักศึกษาก็ไม่พอใจกับการสอนจนประท้วงขับไล่อาจารย์ออกไปตั้งสองคนแล้ว เรื่องนี้คุณเองก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ? ส่วนแพทย์ที่สอนวิชานี้ได้โดยส่วนใหญ่ล้วนมีฝีมือทั้งนั้น พวกเขาไม่ยอมเอาอนาคตอันสดใสมาทิ้งอยู่ในมหาวิทยาลัยแน่ๆ ตอนนี้ฉีเล่ยไม่อยู่แล้ว ก็มีแต่คุณเท่านั้นที่จะสามารถทำหน้าที่นี้แทนเขาได้”

“ฉัน…ฉันเองก็ค่อนข้างกังวลนะ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซียกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเป็นการปลอบประโลม พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“อาจารย์ซง คุณเป็นอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในสาขาวิชานี้มากที่สุดแล้ว ในด้านประสบการณ์การสอนนั้น ก็หาคนเทียบได้เพียงแค่หยิบมือ ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยเองก็กำลังประสบสภาวะขาดแคลนอาจารย์ ถ้าคุณไม่ช่วยแล้วจะให้ผมหันหน้าไปหาใคร? นอกจากคุณแล้ว ยังจะมีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้อีก?”

เมื่อทั้งสองคุยกันมาถึงตรงนี้ ตาแก่ซงก็ไม่สามารถเอ่ยปากปฏิเสธอะไรได้อีกต่อไป ขนาดผู้นำยังให้ความสำคัญมากกับเขาขนาดนี้ ภายในใจของชายชราอย่างเขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งกว่าอะไร ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า

“เอาล่ะ! ในเมื่อพูดกันถึงขนาดนี้ ฉันก็จะลองดู!”

“อาจารย์ซงตัดสินใจถูกแล้ว แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า นักศึกษาพวกนั้นค่อนข้างสนิทสนมกับฉีเล่ยมาก ระวังเด็กพวกนี้จะทำให้คุณอับอาย แต่ถ้าพวกเขากล้าแข็งข้อ คุณเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ไม้แข็งตอบโต้เช่นกัน”

ตาแก่ซงกล่าวตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“ไม่ต้องห่วง ฉันสอนที่นี่มานานมากกว่าสิบปี เจอเด็กนักศึกษามาเกือบทุกรูปแบบแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมเลย”

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอฝากอาจารย์ซงด้วยก็แล้วกัน”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset