ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 13 เหลือเชื่อ!

ตอนที่  1 3  เหลือเชื่อ !

ราวสิบนาทีผ่านไป ฉีเล่ยจึงได้ทำการถอนเข็มทั้งหมดออกจากร่างของกวนไห่ผิง จากนั้น จึงสั่งให้เขานอนคว่ำหน้าลงพื้นแทน และเริ่มทำการฝังเข็มจำนวนสิบแปดเล่มลงไปบนจุดฝังเข็มต่างๆ ทั่วแผ่นหลังอีกครั้ง

กว่าจะสิ้นสุดกระบวนการฝังเข็มทั้งหมด ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืดครึ้มมากยิ่งขึ้น ..

หลังจากทำการฝังเข็มไปตามจุดฝังเข็มทั่วร่างทั้ง  108  จุดแล้ว ขาทั้งสองข้างของฉีเล่ยก็ถึงกับสั่น และในระหว่างที่เขากำลังช่วยพยุงร่างของกวนไห่ผิงให้ลุกขึ้นนั้น ตัวเขาเองก็ถึงกับโซเซ และเกือบจะล้มลงไปกับพื้น

กวนไห่ผิงเห็นเช่นนั้น จึงรีบโผเข้าไปช่วยประคองร่างของชายหนุ่มไว้ทันที พร้อมกับร้องถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

“ท่านหมอฉีเป็นยังไงบ้างครับ ?”

เวลานี้ ฉีเล่ยรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ไร้กำลังแม้แต่จะเอ่ยปากพูด จึงได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะค่อยๆทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ..

กวนไห่ผิงที่สวมเสื้อผ้ากลับไปดังเดิมแล้ว ก็ได้แต่นั่งมองฉีเล่ยอยู่เงียบๆ เขาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงพูด เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนชายหนุ่ม

หลังจากที่ฉีเล่ยลืมตาขึ้นแล้ว กวนไห่ผิงจึงได้รินน้ำชานำไปให้เขาดื่ม ฉีเล่ยยกถ้วยชาขึ้นจิบดื่มจนหมดในรวดเดียว พร้อมกับยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก

“โรคของคุณทำเอาผมเกือบตายเลยทีเดียว เหลือเชื่อจริงๆ ! ”

สีหน้าของกวนไห่ผิงบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก จึงได้เอ่ยขอโทษฉีเล่ยจากใจจริง “ท่านหมอครับ ผม .. ผมขอโทษท่านหมอด้วย ที่ทำให้ท่านหมอต้องมาเดือดร้อนแบบนี้ !”

“ไม่เป็นไรครับเถ้าแก่กวน อย่าคิดมากไปเลย !  แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง ? ”  ฉีเล่ยปลอบใจกวนไห่ผิง ก่อนจะเอ่ยถามถึงอาการทางร่างกายของเขา

“ผมรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาก !  หลายปีมาแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกเบาสบายแบบนี้มาก่อน ทักษะทางการแพทย์ของท่านหมอช่างล้ำเลิศจริงๆ ! ”  กวนไห่ผิงตอบกลับฉีเล่ย และอดที่จะชื่นชมเขาไม่ได้

ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา ก่อนจะตอบกวนไห่ผิงไปว่า “ฮ่าๆๆ เถ้าแก่กวนชมผมมากเกินไปแล้ว ! นี่เป็นเพียงแค่การรักษาเบื้องต้นเท่านั้น ผมยังต้องฝังเข็มให้คุณอีก เพราะขืนปล่อยไปแบบนี้ อาการของคุณก็จะกลับมากำเริบขึ้นอีกได้ ..”

“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ..  วันหน้า ผมจะทำการฝังเข็มให้กับคุณอาทิตย์ละสามครั้ง จนกว่าคุณจะหายดี ! ”

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็หันมองไปรอบๆร้านที่เก่าทรุดโทรมแห่งนี้ แล้วจึงหันไปบอกกับกวนไห่ผิงว่า

“ต่อไป .. คุณไปพบผมที่บ้านจะดีกว่า สิ่งแวดล้อมที่นี่ไม่เหมาะกับการฝังเข็มนัก ..”

กวนไห่ผิงคำนับขอบคุณฉีเล่ยด้วยความซาบซึ้งใจ พร้อมตอบกลับไปด้วยความสุภาพนอบน้อม “ผมจะเชื่อฟังคำพูดของท่านหมอทุกอย่างครับ ในเมื่อท่านหมอสั่งให้ผมไป ผมก็จะไป !”

หลังจากนั้น ฉีเล่ยจึงได้ขอตัวกลับ แม้กวนไห่ผิงจะคะยั้นคะยอขอให้เขาอยู่รับประทานอาหารด้วยกัน ชายหนุ่มก็ยืนกรานปฏิเสธ และบอกว่า ที่บ้านได้เตรียมอาหารไว้รอเขาแล้ว

หลังจากทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดกวนไห่ผิงก็เลิกคะยั้นคะยอ แต่บอกให้ฉีเล่ยรอเขาประเดี๋ยว จากนั้น กวนไห่ผิงก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน หยิบเอาลูกทองแดงที่เพิ่งนำไปเก็บมายัดใส่มือของชายหนุ่มทันที ..

ฉีเล่ยจึงได้แต่ร้องถามออกไปด้วยสีหน้าท่าทางระล้าระลัง “เอ่อ .. เถ้าแก่กวนครับ โรคของคุณยังรักษาไม่หายเลยนะครับ และน่าจะต้องใช้เวลาฝังเข็มอีกเป็นปี ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ผลดีแค่ไหน ..”

กวนไห่ผิงเป็นผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ จึงมีอุปนิสัยค่อนข้างใจร้อน และเป็นคนตรงไปตรงมา ได้ตอบกลับฉีเล่ยไปว่า

“ท่านหมอกรุณารับลูกทองแดงนี้ไว้เถิดนะ ! จากการรักษาของท่านหมอในวันนี้ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า มีเพียงท่านหมอคนเดียวเท่านั้นที่จะรักษาอาการป่วยของผมได้ เพราะฉะนั้น ลูกทองแดงนี่ ช้าเร็วก็ต้องเป็นของท่านหมออยู่ดี แล้วทำไมผมต้องรอมอบให้ท่านหมอวันหลังอีกล่ะ ?”

ฉีเล่ยเข้าใจความรู้สึกของกวนไห่ผิงได้ดี เขาคงจะกลัวว่า ชายหนุ่มอาจจะเปลี่ยนใจไม่ยอมรักษาอาการป่วยให้กับเขาต่อ เขาจึงต้องการมอบลูกทองแดงให้ล่วงหน้า เพราะนั่นเท่ากับว่า ฉีเล่ยได้รับค่ารักษาจากเขาไปแล้ว

และเพื่อให้กวนไห่ผิงสบายใจ ฉีเล่ยจึงรับลูกทองแดงไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ส่วนกวนไห่ผิงนั้น เมื่อเห็นฉีเล่ยยินยอมรับลูกทองแดงไปแต่โดยดี เขาก็ได้แต่รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก

………..

กว่าฉีเล่ยจะกลับมาถึงบ้าน ก็เป็นเวลาห้าทุ่มตรงพอดี ..

เฉินอวี้หลัวเห็นว่าฉีเล่ยยังไม่กลับ หญิงสาวจึงได้นำขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม มานั่งกินพร้อมกับดูทีวีรอเขาอยู่ในห้องนั่งเล่น

เมื่อมาถึง ฉีเล่ยก็ทรุดตัวลงนั่งข้างเฉินอวี้หลัว พร้อมกับอ้าปากกินขนมเค้กที่ภรรยาป้อนให้ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า

“แม่ล่ะ ? เข้านอนแล้วเหรอ ?”

เฉินอวี้หลัวพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะหยิบขนมอีกชิ้นป้อนให้ชายหนุ่ม “หลับไปตั้งนานแล้วล่ะ !  กินอีกคำสิ นี่ฉันเตรียมของว่างพวกนี้ไว้รอนายเลยนะ ..”

ฉีเล่ยหันไปกินอย่างว่าง่าย พร้อมกับเอ่ยชม “หวานจังเลย !”

เฉินอวี้หลัวทำตาโตพร้อมกับร้องถามกลับไปทันที “ห๊ะ ?! หวานเกินไปงั้นเหรอ ? นี่นายคงจะไม่ชอบกินของหวานสินะ ?”

ฉีเล่ยหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะตอบหญิงสาวกลับไปว่า “ใครบอกล่ะ ? คุณทำอะไรให้ผมกิน ผมก็ชอบทั้งนั้นล่ะ ! อีกอย่าง ต่อให้เค้กนี่จะหวานแค่ไหน แต่ก็หวานสู้คุณไม่ได้แน่ ..”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ก้มลงไปจูบเฉินอวี้หลัวทันที ทั้งคู่แลกจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม และยิ่งผลัดกันจูบไปจูบมานานเท่าไหร่ อารมณ์ความต้องการของทั้งคู่ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และในที่สุด ฉีเล่ยก็ใช้มือทั้งสองข้างช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมา ก่อนจะพาเข้าไปในห้องนอนของตนเอง ..

หลังจากทั้งคู่แลกเปลี่ยนความสุขกันจนพอใจแล้ว เฉินอวี้หลัวก็ถึงกับหลับไหลไปพร้อมรอยยิ้มที่เปื้อนหน้า ฉีเล่ยจ้องมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของภรรยาแล้ว ก็ได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ

“นี่ล่ะ .. คือชีวิตที่ฉันต้องการ !”

ความเจ็บปวดทรมาน ที่เขาได้รับมาตลอดระยะเวลาแปดปีของการแต่งงาน พลันมลายหายไปจนสิ้น ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !

หลังจากจ้องมองใบหน้างดงามที่หลับพริ้มอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็ลุกขึ้นจากเตียง และแอบเดินออกไปนั่งที่ห้องรับแขกเงียบๆคนเดียว ระหว่างนั้น ชายหนุ่มก็ได้หยิบลูกทองแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตที่ถอดแขวนอยู่

หลังจากที่ได้รับลูกทองแดงมาจากกวนไห่ผิงแล้ว ฉีเล่ยก็ยังไม่ได้ศึกษา และพินิพิจารณามันอย่างละเอียดเลย

อีกอย่าง เวลานี้ก็ดึกมาก ทั้งแม่ยายและภรรยาของเขาต่างก็นอนหลับกันหมดแล้ว จึงนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างมาก กับการที่เขาจะศึกษาลูกทองแดงอย่างจริงจังเสียที

เวลานี้ ฉีเล่ยนั่งกำลูกทองแดงไว้ในมือแน่น และเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์บางอย่าง ที่หมุนเวียนพุ่งพล่านอยู่ภายใน

เป็นเรื่องง่าย ที่คนเราจะฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง เพียงแค่มีวิธีฝึกฝนที่ถูกต้อง ก็สามารถเปลี่ยนร่างกายที่บอบบางนี้ ให้แข็งแกร่งดั่งเหล็กได้ แต่ต่อให้จะสามารถฝึกฝนจนร่างกายแข็งแกร่งมากเพียงใด ก็ยังไม่อาจอยู่ค้ำฟ้า

ส่วนที่ยากกว่าการฝึกฝนร่างกาย ก็คือการฝึกฝนจิตวิญญาณของตนเองนี่ล่ะ เพราะคนธรรมดาทั่วไปนั้น แทบไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณในร่างของพวกเขาได้เลย

ผู้ที่สามารถฝึกฝนจนจิตวิญญาณแข็งแกร่งนั้น จะกลายเป็นผู้ที่เสมือนหนึ่งมีพลังเหนือธรรมชาติ ดังเช่นบรรพชนสกุลเฉินผู้นี้ ที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่ง จนสามารถเก็บเศษเสี้ยวแห่งจิตวิญญาณของตนไว้ในจี้หยกชิ้นได้ และเพียงแค่รอเวลาเพื่อมอบประสบการณ์ และความทรงจำทั้งชีวิตของตนให้กับผู้ที่เหมาะสม

เวลานี้ ฉีเล่ยเพียงแค่ซึมซับความรู้ และประสบการณ์ของบรรพชนสกุลเฉินเข้าไปเท่านั้น และยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เป็นความจริงอันลึกซึ้งยิ่ง จนแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้ นั่นเพราะพลังของเขายังมีขีดจำกัดอยู่ ทำให้ไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้

หลังจากที่ได้ความทรงจำของบรรพชนสกุลเฉินมานั้น ทำให้ฉีเล่ยรอบรู้ในโรคต่างๆมากมาย และรู้วิธีการรักษาโรคต่างๆที่โรงพยาบาลในยุคนี้ไม่อาจรักษาให้หายได้ก็จริง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นศึกษามันได้อย่างไร ..

และถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้ในส่วนนี้ ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพชนสกุลเฉิน แต่ก็ดูเหมือนจะมีอุปสรรคบางอย่าง ทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึง และแตะต้องได้

สาเหตุอาจจะเกิดจาก การที่เขาขาดทักษะความสามารถในบางแง่มุม และหากเขารีบร้อนเข้าไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้เร็วเกินไป มันอาจจะกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง และไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อตัวเขาก็ได้

ฉีเล่ยไม่รู้ว่า ลูกทองแดงนี้จะสามารถช่วยชดเชยข้อบกพร่องในส่วนนี้ของตนเองได้หรือไม่ ?  แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็จะลองดู จากนั้น ฉีเล่ยก็ได้เดินกำลูกทองแดงไว้ในมือ แล้วไปนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นที่ระเบียงบ้าน

จนกระทั่งเวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมง โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ..

สิ่งที่ฉีเล่ยไม่เห็นก็คือว่า แก่นวิญญาณในลูกทองแดงนั้นได้สว่างวาบขึ้นมา กลายเป็นดวงไฟสีขาวที่ล่องลอยออกมาจากลูกทองแดงนั้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเต็มดวง จากนั้น ดวงไฟสีขาวก็ได้ลอยหายเข้าไปในจุดตันเถียนของฉีเล่ย ..

แต่ถึงแม้ฉีเล่ยจะไม่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นด้วยสายตา แต่เขาก็สามารถสัมผัส และรู้สึกได้ ..

จากภาพที่เห็นภายในร่างกายของเขาเวลานี้ ฉีเล่ยพบว่า ภายในร่างของตนเองนั้น มีเงาปรากฏขึ้นซ้อนอยู่ ..

ในตอนแรก เงานั้นดูเลือนลางไม่ชัดเจน และมีลักษณะคล้ายกับก้อนหมอกขาว ยากที่จะบอกได้ว่ามีรูปร่างอย่างไรกันแน่ แต่เมื่อดวงไฟสีขาวนั้นถูกดูดเข้าไปในจุดตันเถียนของเขาแล้ว มันก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับเงานั้น และกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายของแข็งขึ้นมา

ท้ายที่สุด ฉีเล่ยจึงได้เห็นว่า เงานั้นมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ และเมื่อแก่นวิญญาณจากลูกทองแดงได้ถูกดูดเข้าไปนั้น เงาร่างมนุษย์ที่อยู่ซ้อนในร่างของเขา ก็ดูเหมือนจะมีลักษณะเป็นตัวเป็นตนขึ้นในทันที จนเห็นได้ชัดแม้กระทั่งโครงหน้า และคิ้วทั้งสองข้าง

และเงาที่เห็นนั้น ก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวเขาเอง !

มันช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างมาก !  ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่า ตัวเองกำลังยืนส่องกระจกในห้องน้ำ ที่ปกคลุมไปด้วยฝ้าหมอก และแม้คนในกระจกจะมีขนาด และดูคล้ายกับเขามาก แต่ก็คล้ายกับมีไอน้ำบดบัง ทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก

แต่ถึงกระนั้น ฉีเล่ยก็รู้ว่านั่นคือจิตวิญญาณของตัวเขาเอง !

ดูเหมือนว่า หลังจากที่ได้ดูดซับเอาแก่นวิญญาณที่อยู่ภายในลูกทองแดงเข้าไป จะทำให้ฉีเล่ยสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของจิตวิญญาณตนเอง

หลังจากนั้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉีเล่ยจึงเริ่มทำการทดลองต่างๆ ทำให้เขาพบว่า จิตวิญญาณภายในร่างนั้น สามารถเชื่อมต่อกับกระแสจิตของตัวเอง ทำให้เขาสามารถใช้จิตใต้สำนึกสั่งการกับจิตวิญญาณนี้ได้

ฉีเล่ยทดลองสั่งให้จิตวิญญาณของตนเองนั่งลง มันก็นั่งลง และเมื่อสั่งให้นั่งยองๆ มันก็นั่งยองๆ เมื่อสั่งให้หมอบมันก็หมอบ กระทั่งสั่งให้ชก มันก็ชก ..

ฉีเล่ยนั่งเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน และกว่าจะรู้สึกตัวอีกที ดวงอาทิตย์ก็เริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้ว

หลังจากนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ระเบียงตลอดทั้งคืน แต่ฉีเล่ยกลับไม่มีอาการชาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเอวหรือขาทั้งสองข้าง และที่สำคัญ เขากลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย

และเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้น ฉีเล่ยยังพบว่า สติสัมปชัญญะ และสัญชาติญาณในตัวนั้น กลับเฉียบคมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ยกตัวอย่างเช่นเวลานี้ เขาไม่จำเป็นต้องลุกเดินเข้าไปในครัว เขาก็รู้ได้ว่าแม่ยายกำลังทำครัวอยู่ในอาหาร เขาสามารถสัมผัสได้ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ

และอีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ แม้เขาจะยังอยู่ที่ระเบียง แต่ก็สามารถมองเห็นใครบางคนกำลังนอนราบอยู่บนเตียง ซึ่งก็คือเฉินอวี้หลัวภรรยาของเขาเอง แม้จะไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งนักก็ตาม

แต่แล้วจู่ๆ ภาพฉากที่แปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ..

ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังลุกขึ้นยืนนั้น ได้มีแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านหน้าของเขาไป ดวงตาทั้งสองข้างของเขากลอกตามร่างของแมลงวันไปโดยไม่รู้ตัว

แต่แล้ว เขาก็พบว่า ..

แมลงวันตัวนั้น บินไปอย่างเชื่องช้ามาก !

มันดูคล้ายกับภาพสโลว์โมชั่นในภาพยนตร์ ทำให้เขาเห็นแม้กระทั่ง การกระพือปีกขึ้นลงของมันได้ทุกช่วงจังหวะ !

ฉีเล่ยถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น เขารู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับตนเองนั้น ช่างประหลาดลึกล้ำอย่างมาก และเมื่อเขาเลิกสนใจเจ้าแมลงวัน มันก็กลับไปบินได้ตามปกติดังเดิม ก่อนจะบินหนีไปในที่สุด

ฉีเล่ยรู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่เพราะแมลงวันตัวนั้นบินช้าลง แต่เป็นเพราะประสาทในการรับรู้ของเขานั้นคมขัดขึ้นต่างหาก และเมื่อใดที่เขาจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงรายละเอียดทั้งหมดของสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ หรือสิ่งที่เคลื่อนไหวรอบตัว

ฉะนั้นแล้ว หากฉีเล่ยต้องการที่จะจับแมลงวันสักตัวในตอนนี้ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก ..

ฉีเล่ยรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และได้แต่คิดว่า อานุภาพของแก่นวิญญาณช่างน่าทึ่งมากจริงๆ !

‘นี่ฉันจะสามารถหลบกระสุนได้มั๊ยนะ ?’

‘เอ๊ะ .. หรือว่าจะหายตัวได้หรือยัง ?’

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset