ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 131 อาจารย์ผู้ไม่มีวุฒิปริญญา

ตอนที่131 อาจารย์ผู้ไม่มีวุฒิปริญญา

เมื่อได้ยินน้ำเสียงจริงจังของฉีเล่ย เหอจื่อก็ถึงกับสำลัก

“อาจารย์ฉี ไม่รู้จริงๆเหรอค่ะว่า เธอเป็นใคร?”

“ผมไม่รู้จริงๆครับ เธอเป็นใครล่ะ? สอนอยู่สาขาไหน? ชื่ออาจารย์ชาง แสดงว่าต้องแซ่ชาง…”

“….”

“ผู้ชายทุกคนล้วนต้องรู้จักเธอทั้งนั้นนะคะ”

“งั้นเหรอ หรือที่จริงผมไม่ใช่ผู้ชายก็เลยไม่รู้จัก?”

เหอจื่อถึงกับต้องยกธงขาวยอมแพ้เมื่อต้องต่อปากต่อคำกับฉีเล่ย ก่อนจะร้องตะโกนลั่นมาจากปลายสายว่า

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเธอคืออาจารย์ชางก็แล้วกัน!”

“…”

คราวนี้ฉีเล่ยไม่กล้าพูดจากวนประสาทเหอจื่ออีกเลย

“อาจารย์ฉี จารย์นี่ล้าสมัยมากเลยนะคะ หนูว่าอาจารย์ควรหาคนมาสอนเรื่องพวกนี้ให้”

“จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ ขนาดแล็ปท็อปของผมยังโดนวางยาพิษเลย”

“โถ่อาจารย์อย่าน้อยใจสิคะ หนูแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แต่จะว่าไป เดี๋ยวนี้อาจารย์แต่ละคนในมหาวิทยาลัยก็ชอบโพสต์เรื่องราวในชีวิตประจำวันของตัวเองลงบนโลกโซเชียล พูดไปแล้วก็อยากเห็นรูปอาจารย์ในสมัยก่อนจัง อิอิ”

สีหน้าของฉีเล่ยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที และได้แต่คิดกับตัวเองขึ้นว่า

‘แน่ใจเหรอว่าอยากเห็นจริงๆ? เธอรู้ไหมว่าฉันต้องใช้ชีวิตแบบไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้? คงอยากจะรู้สินะว่าฉันงานอะไรก่อนมาเป็นอาจารย์ที่นี่? ได้! เธอจะได้เห็นแน่นอน! แต่เป็นภาพฉันที่กำลังเก็บขยะขายยังไงล่ะ! เห็นไหมล่ะว่า…เธอไม่รู้จักตัวตนจริงๆของฉันเลยสักนิด นี่ถ้ารู้แล้วยังจะบอกว่ารักฉันอยู่อีกไหม? ถ้าปัจจุบันฉันยังหากินอยู่กับกองขยะ อยากรู้เหลือเกินว่า เธอยังจะอยากรู้จักฉันอยู่ไหม!?’

“เหอจื่อ ว่าแต่โทรมามีอะไร?”

ฉีเล่ยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที และแอบคิดอยู่ว่า ถ้าเหอจื่อตอบกลับมาว่า‘ไม่มีอะไร’ เขาจะกดวางสายทิ้งทันที

แต่เหอจื่อกลับตอบสวนมาอย่างรวดเร็วว่า

“ก็ต้องมีแน่นอนอยู่แล้วไม่งั้นจะโทรมาทำไม อาจารย์ฉี ทำไมวันนี้ถึงไม่มาสอน?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปโดยแทบไม่ต้องคิด

“ก็ผมถูกไล่ออกแล้ว จะให้กลับไปสอนที่มหาวิทยาลัยอีกได้ยังไง?”

เหอจื่อรีบตอบกลับทันทีเช่นกัน

“แต่พวกเราทุกคนยังคงรออาจารย์อยู่นะคะ รอให้อาจารย์กลับมาสอนเหมือนเดิม”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นใจ

“พวกคุณเป็นนักศึกษานะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครมาสอนก็ต้องตั้งใจเรียน เข้าใจไหม?”

เหอจื่อส่ายหน้าปฏิเสธอย่างดื้อรั้น

“ไม่ หนูไม่ยอม! พวกเราจะเรียนกับอาจารย์ฉีเท่านั้น!”

ฉีเล่ยเงียบไปชั่วขณะ

นักศึกษากลุ่มนี้ไม่เพียงมีทัศนคติที่ดีต่อเขา แต่ยังแน่นแฟ้นมากเกินกว่าที่เขาคาดคิดด้วย

“พออาจารย์ฉีไม่มาสอน อาจารย์ซงที่สอนวิชา‘ประวัติศาสตร์แพทย์จีน’ก็เป็นคนมาสอนแทน แถมยังขู่อีกว่าถ้าใครไม่เรียนก็ให้ออกไปจากชั้นเรียนของเขาได้เลย พวกหนูก็เลยเก็บกระเป๋าเดินออกจากห้องกันหมดเลยค่ะ เหลือแค่ตงเหลียงที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว แต่ไม่ใช่ว่าเพราะเขาอยากเรียนกับอาจารย์ซงหรอกนะคะ แต่เป็นเพราะเขาได้รับอุบัติเหตุตอนเล่นฟุตบอลจนต้องเข้าเฟือกขา และเดินไปไหนเองไม่ได้ต้องมีคนคอยช่วยพยุง สุดท้ายเขาก็เลยต้องร้องตะโกนเรียกเพื่อนๆให้มาช่วยพยุงเขาออกไปด้วย ฮ่าฮ่าๆ…ตอนนั้นหนูขำแทบตายเลยค่ะ!”

พูดจบเหอจื่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นจากปลายสาย

ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

“พวกคุณไม่เห็นจะต้องทำอะไรแบบนั้นกันเลย อย่าลืมสิว่าหน้าที่ของนักศึกษาคืออะไร? พวกคุณมามหาวิทยาลัยก็เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ใส่ตัวจริงไหม? ไม่ว่าอาจารย์จะเป็นใคร พวกเธอก็ควรจะต้องตั้งใจเรียนนะ”

เหอจื่อตอบโต้กลับทันที

“อาจารย์ฉี เลิกเกลี้ยกล่อมพวกเราเถอะค่ะ มันไม่มีประโยชน์หรอก พวกเราทุกคนโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วนะ รู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ อาจารย์เพิ่งจะมาสอนพวกเราได้ไม่นาน แต่พวกเรากลับมีองค์ความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมาก แตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ แล้วตอนนี้จู่ๆก็เปลี่ยนให้ตาเฒ่ากล่อมนอนนั่นมาสอนแทน ข้อดีอย่างเดียวของอาจารย์ซงคือสามารถสะกดจิตให้พวกเราให้หลับได้ นอกจากนั้นหนูก็มองไม่เห็นข้อดีอื่นๆเลย”

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“พวกคุณนี่แสบมากเลยนะ แล้วทางมหาวิทยาลัยว่าอะไรรึเปล่า?”

“มหาวิทยาลัยเหรอ? พวกเราไม่สนหรอกว่าทางนั้นจะพูดอะไร ถ้าอนุญาตให้อาจารย์ฉีกลับมาสอนได้เมื่อไหร่ พวกเราถึงจะยอมกลับมาเรียนต่อ”

“เหอจื่อ! ห้ามพาเพื่อนๆโดดเรียนแบบนี้!”

น้ำเสียงของฉีเล่ยเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เขากังวลอย่างมากว่า เหอจื่อจะเป็นหัวโจกของเรื่องนี้ เพราะเขารู้ดีว่า เด็กสาวคนนี้มีอิทธิพลกับเพื่อนๆในคลาสมากแค่ไหน

“ฉีเล่ย! นายนั่นแหละอย่าทอดทิ้งนักศึกษาทุกคนแล้วหนีไปแบบนี้สิ!”

เหอจื่อเองก็โมโหฉีเล่ยจนไม่สามารถสะกดกั้นอารมณ์ไว้ได้เช่นกัน เธอระเบิดคำพูดใส่ฉีเล่ยเสียงดังชุดใหญ่ ทั้งยังดุต่ออีกว่า

“พวกเราจะรอให้นายกลับมาสอนเท่านั้น! แต่ถ้านายไม่คิดที่จะกลับมา พวกเราก็แค่ลาออก! พูดขนาดนี้ก็น่าจะคิดได้บ้างแล้วนะ! แค่นี้แหละ!”

เหอจื่อใส่เป็นชุดโดยไม่เปิดโอกาสให้ฉีเล่ยได้ปริปากพูดเลยแม้แต่น้อย หลังจากพูดจบก็กดตัดสายทิ้งไปทันที

ฉีเล่ยวางมือถือลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเป็นกังวล มันเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่ลูกศิษย์ต่างรักและชื่นชมในตัวเขา แต่นี่ก็เป็นเสมือนดาบสองคมเช่นกัน ถ้านักศึกษาเหล่านั้นเอาแต่ยึดติดกับเขามากจนเกินไป มันจะส่งผลเสียต่ออนาคตของพวกเขาเอง

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังเป็นกังวลกับอนาคตของบรรดาลูกศิษย์อยู่นั้น อีกด้านหนึ่ง…ตาแก่ซงเองก็เครียดหนักเสียยิ่งกว่า

ภายในห้องทำงานหัวหน้าคณะอาจารย์เต็มไปด้วยควันโขมง หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเลิกสูบบุหรี่มาหลายปีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องกลับมานั่งสูบเป็นเพื่อนตาแก่ซงจนได้

“ฟู่ว…หัวหน้าคณะซี”

ตาแก่ซงนั่งเครียดอยู่บนโซฟาตัวหนึ่ง เขาพ่นควันบุหรี่ออกมาจากปากกระจายไปทั่วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ทีแรกฉันคิดว่า คงไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าหักหน้าฉันด้วยการลุกเดินออกไปจากคลาสแบบนั้น อย่างน้อยที่สุดถ้าจะมีก็ไม่น่าจะเกินห้าคน”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่ในขณะนี้ก็มีสีหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกัน ได้ตอบกลับไปว่า

“เป็นผมแค่สิบคนก็คงปวดใจจะแย่แล้ว แต่นี่นักศึกษาเกือบร้อยพากันเดินออกยกห้อง…”

ตาแก่ซงนั่งเนื้อตัวสั่นเทาทั้งโกรธ ทั้งเศร้า แล้วก็ทั้งวิตกกังวล

“หัวหน้าคณะซี เรื่องนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ!”

“ผมรู้น่า! ผมรู้ว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้! แต่นี่มันอะไร? ใครใช้ให้คุณไปไล่เด็กออกจากคลาสแบบนั้นกันล่ะ? สุดท้ายพอเรื่องบานปลายใหญ่โตก็ไม่พ้นผม นี่อาจารย์ซง คุณคิดว่าคุณเครียดเป็นคนเดียวงั้นหรอ?”

ตอนนี้หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเองก็อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก เมื่อได้ยินตาแก่ซงพูดจาไร้สมองแบบนี้ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดอารม์เสียเข้าไปใหญ่

เมื่อเห็นว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีสติแตกตวาดใส่หน้าเขาแบบนี้ ตาแก่ซงก็เริ่มอ่อนลงเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า

“แล้วเราจะทำยังไงกันดี? ถ้านักศึกษาไม่เข้ามาเรียนกับฉัน ฉันก็สอนพวกเขาไม่ได้! สิ่งเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ รีบรับสมัครอาจารย์เข้ามาสอนแทนโดยเร็ว”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น หลังจากใช้สมองครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็กดดับบุหรี่ที่เหลือในมือลงบนที่เขี่ยบุหรี่ ปากก็ร้องบอกไปว่า

“ผมจะเป็นคนไปสอนนักศึกษาพวกนั้นเอง ผมไม่เชื่อหรอกว่าเด็กพวกนั้นมันจะมีสามหัวหกกร!”

……..

ภายในห้องทำงานส่วนที่กว้างขวางและหรูหรา ชูซินซูกำลังเอนกายพิงพนักเก้าอี้ผู้บริหารตัวสูงด้วยความเกียจคร้าน สายตาทั้งคู่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้าดูแสงไฟท่ามกลางเมืองหลวงในยามค่ำคืนอย่างเงียบๆ

“แมงเม่าตัวน้อย หิมะสีขาวโพลน และไม้ขีดไฟก้านสุดท้าย…ต่อให้ฝูงชนเฝ้าผ่านไปมานับร้อยพันกลับไม่สังเกตเห็น ทั้งๆที่มีแสงไฟดวงน้อยอยู่กับตัว…”

จู่ๆชูซินซูก็รำพึงรำพันขึ้นมาอย่างลืมตัว

“ประธานชู เมื่อครู่พูดว่าอะไรนะคะ?”

เฉินเจียซินกำลังเดินถือเอกสารตรงเข้ามารายงานพอดี บังเอิญได้ยินคำพูดรำพึงรำพันนั้นเข้า จึงได้ร้องถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ และกำลังสงสัยว่าตัวเธอเองหูฝาดไปหรือเปล่า?

“ไม่มีอะไร ฉันแค่นึกถึงนิทานสมัยเด็กน่ะ เอกสารสรุปมาแล้วใช่ไหม? เริ่มรายงานได้เลย”

ชูซินซูเอ่ยปากสั่งเพร้อมกับบิดขี้เกียจ ก่อนจะนั่งหมุนเก้าอี้ไปมา

เฉินเจียซินเริ่มรายงานเอกสารปึกนั้นที่ถืออยู่ในมือทันที

“อีสต์บาวด์กรุ๊ปได้ทำสัญญาขายที่ดินผืนนั้นให้กับทางเราแล้ว แต่ราคาที่เสนอมากลับสูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ถึง5%”

“ทำยังไงก็ได้ให้ลดเหลือแค่3%”

“ค่ะ ส่วนเรื่องสวนไวน์โอ๊คที่หลี่เหลียน ทางเราวางระบบทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีอัตราจองซื้อล่วงหน้าอยู่ที่35%”

“ไปบอกฝ่ายการตลาดให้เพิ่มเงินลงทุนกับค่าโฆษณามากกว่านี้ เราต้องเพิ่มอัตราจองล่วงหน้าให้เป็น70%ภายในไตรมมาสนี้ให้ได้”

“ด้านการเจรจากับกัลฟ์สตรีมเป็นอันยุติแล้วค่ะ รัฐบาลสหรัฐฯได้เข้าแทรกแซงโดยอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งยังปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนด้านเทคนิคในการสร้างเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวG650”

“อืม เดี๋ยวฉันจะลองติดต่อบริษัทที่อเมริกาดูอีกที”

หลังจากที่รายงานทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เฉินเจียซินก็หมุนตัวและกำลังจะเดินออกไปจากห้อง แต่แล้วจู่ๆก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยุดชะงักไปก่อนจะค่อยๆหันกลับมาอีกครั้ง

“แน่ใจว่ารายงานฉันหมดทุกอย่าแล้วแน่นะ?”

ชูซินซูสังเกตเห็นท่าทีลังเลของอีกฝ่าย จึงได้เอ่ยถามขึ้นทันที

“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องค่ะ”

“ งั้นก็ว่ามา”

“ค่ะท่านประธานชู ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันต้องรายงานให้ทราบ เป็นเรื่องของ…ฉีเล่ย เขากำลังประสบปัญหาบางอย่าง…”

แมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ท่าทางการแสดงออกของเฉินเจียซินก็เปลี่ยนเป็นระล้าละลังเล็กน้อย

ชูซินซูหยุดหมุนเก้าอี้เล่นในทันที ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามเลขาสาวกลับไปทันที

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”

เฉินเจียซินรีบรายงานต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เนื่องจากเขาไม่มีวุฒิปริญญา จึงได้ถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกค่ะ”

“ฮ่าๆๆ”

ความจริงชูซินซูพยายามที่จะเก็บรักษาอาการเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้ เธอถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นต่อหน้าเลขาสาวของตัวเอง

ในเวลานี้ความสง่างามเฉิดฉายของประธานสาวสวยคนนี้ ได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น กระทั่งเฉินเจีย

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset