ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 134 แขกVIP

ตอนที่134 แขกVIP

“นายต้องมานะ รีบมาเลย!”

หลังจากที่หลินชูวโม่ร้องบอกไปแบบนั้น เธอก็กดวางสายทิ้งทันที ไม่ปล่อยให้ฉีเล่ยได้มีโอกาสแม้แต่จะปริปากปฏิเสธ

แน่นอนว่าหากเปิดโอกาสให้เขาพูด ฉีเล่ยต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน

แต่การที่เธอรีบกดตัดสายทิ้งแบบนี้แสดงว่าเธอจงใจอย่างชัดเจน

มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ยังบอกอีกว่ามีลูกค้ารายใหญ่รออยู่ ฉีเล่ยรู้สึกเอะใจไม่น้อย ต้องเป็นลูกค้าแบบไหนกันถึงทำให้หลินชูวโม่ดีใจจนเนื้อเต้นได้ขนาดนี้?

ช่างเถอะ ไปก็ไป!

พูดกันตามตรงฉีเล่ยเองก็ค่อนข้างไม่ชอบคลินิกชูวโม่เท่าไหร่นัก เพราะที่นั่นเป็นแหล่งรวมก๊วนสาวๆที่ชอบแทะโลมเขา

ฉีเล่ยถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งพร้อมกับเงยหน้าขึ้นบอกกับหลี่ฮั่วเฉินว่า

“อาวุโสหลี่ เพื่อนผมโทรมาบอกว่าขอให้ผมไปพบหน่อย”

หลี่ฮั่วเฉินวางหมากตัวหนึ่งบนกระดานพร้อมกล่าวตอบไปว่า

“ไปเถอะ หนุ่มสาวอย่างเธอควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีเพื่อนฝูงเยอะเข้าไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี”

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“อืม ไปเถอะ”

หลี่ฮั่วเฉินโบกมือให้ แต่จู่ๆก็เอ่ยถามฉีเล่ยขึ้นราวกับเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“เดี๋ยวก่อน แล้วนี่เธอจะกลับมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม? ถงซีน่าจะกลับมาทานอาหารเที่ยงพร้อมกับพวกเรานะ”

“แล้วผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดครับ”

สีหน้าท่าทางของชายชราดูโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

“อืม ไปเถอะ ไปเถอะ แล้วถ้าพอมีเวลาว่างก็ไปทำใบขับขี่ด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อรถให้นายจะได้สะดวกเดินทางไปโน้นนี่”

“ครับ ถ้ามีเวลาว่างนะครับ”

ฉีเล่ยพูดจบก็ลุกขึ้นและเดินจากออกไปทันที

เขาทราบดีว่า ชายชราคนนี้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจเขา โดยไม่มีจุดประสงค์อื่นใดแอบแฝงเลย นอกจากอยากจะให้หลานสาวของตัวเองลงเอยกับผู้ชายดีๆสักคน

เฮ้ออ…

เมื่อแท็กซี่แล่นเข้าไปจอดเทียบประตูคลินิกชูวโม่ พนักงานสาวคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับฉีเล่ยทันที เธอคนนี้เป็นพนักงานคนสนิทของหลินชูวโม่ชื่อว่าเสี่ยวเยวี่ย ทั้งยังควบหน้าที่เป็นPRของคลินิกด้วย

“คุณฉีมาถึงสักที บอสหลินโทรจี้ถามดิฉันหลายรอบแล้วค่ะ”

ฉีเล่ยยิ้มพลางกล่าวขอโทษ

“โทษทีครับพอดีรถติดน่ะ”

เสี่ยวเยวี่ยผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้เข้าไปด้านใน พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนว่า

“เชิญค่ะ คุณหลินกับแขกคนสำคัญกำลังรออยู่ที่ชั้นบนค่ะ”

ฉีเล่ยเดินตามขึ้นไปพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“แขกที่ไหนกันครับพอจะรู้ไหม?”

เสี่ยวเยวี่ยตอบกลับทันที

“ดิฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามต่อว่า

“ถ้าไม่รู้จัก แล้วทำไมถึงเรียกอีกฝ่ายว่าแขกคนสำคัญ?”

เสี่ยวเยวี่ยโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูฉีเล่ย และชี้ไปที่รถตู้สีดำสองคันที่จอดอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม เธอกล่าวเสียงเบาว่า

“เห็นรถสองคันนั้นไหมค่ะ? ตอนที่เดินทางมามีรถสองคันนั้นคอยขับประกบติดไม่ห่าง แถมตอนที่เธอเดินเข้ามายังมีบอดี้การ์ดอีกสามคนคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านหลัง อย่างกับพวกองค์หญิงออกมาผจญโลกภายนอกแบบในหนังจีนเลยล่ะค่ะ”

ฉีเล่ยย่อมไม่รู้จักว่า รถตู้สีดำสองคันนั้นยี่ห้ออะไร แต่ดูจากทรงแล้วน่าจะเป็นรถราคาแพงใช่ย่อย เขาพยักหน้าและถามต่อว่า

“แล้วพอรู้ไหมว่า แขกที่ว่าเดินทางมาคลินิกทำไม?”

เสี่ยวเยวี่ยส่ายหัว

“ดิฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยค่ะ”

ระหว่างสอบถามทั้งคู่ก็เดินขึ้นมาถึงชั้นสองพอดี สิ่งแรกที่ฉีเล่ยเห็นก็คือบอดี้การ์ดสองคนในชุดสูทสีดำกำลังยืนเฝ้าอยู่ทางขึ้นชั้นสาม ภายในห้องชั้นนี้ตกแต่งในโทนสีชมพู แต่กลับมีบอดี้การ์ดร่างกำยำปั้นหน้าบึ้งตึงยืนอยู่แบบนี้ ช่างขัดกับบรรยากาศของห้องจริงๆ

“นี่คือบอดี้การ์ดของแขกเหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ”

เสี่ยวเยวี่ยอธิบายต่อว่า

“ความจริงคลินิกซูวโม่แห่งนี้ห้ามไม่ให้ผู้ชายเข้ามา แต่บอดี้การ์ดพวกนี้กลับยืนกรานจะเข้ามาให้ได้โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของคนที่พวกเขาดูแล บอสหลินเองก็ทำอะไรไม่ได้จำใจต้องอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาค่ะ”

บนโซฟาตัวเดิม ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ ทั้งหงเจาและเสี่ยวอันเองต่างก็อยู่ที่นี่เช่นกัน บางคนฉีเล่ยไม่ค่อยคุ้นหน้า ดูเหมือนจะเป็นสาวๆที่เขายังไม่เคยได้พบเจอมาก่อน

เมื่อเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามา หงเจาก็ยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทายทันที

“สุดหล่อ มาถึงสักทีนะจ๊ะ พี่หลินกระวนกระวายใจจนแทบจะตายอยู่แล้ว”

“จริง นายรีบขึ้นไปหาเธอเถอะ แต่จะว่าไปนี่นายรู้จักกับแขกผู้หญิงนั่นเป็นการส่วนตัวรึเปล่า? เพราะพอเธอมาถึงก็เรียกหานายเป็นคนแรกเลย?”

“ตอนนี้พี่หลินกำลังเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอยู่ ดูท่าจะกดดันไม่น้อยเลยล่ะ แล้วก่อนหน้าที่นายจะมาถึง พี่หลินก็โทรบอกฉันว่าให้รีบมาหาด่วน กลัวว่าอีกฝ่ายจะชิงจีบนายไปก่อน พอฉันได้ยินแบบนั้นก็รีบลุกจากเตียงมาที่นี่เลย”

“ถึงแขกสาวคนนั้นจะสวยขนาดไหน แต่ก็ดูเย็นชาเกินไป ตอนที่เธอเดินผ่านพวกเราขึ้นไปชั้นสอง เธอยังทำราวกับพวกเราไม่มีตัวตนด้วยซ้ำไป ฉีเล่ย ถ้านายต้องเลือกใครสักคน ยังไงฉันก็เข้าข้างพี่หลินนะ คำว่าครอบครัวคือความอบอุ่น ไม่ใช่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับก้อนน้ำแข็งเดินได้แบบนั้น!”

“….”

ฉีเล่ยเมินทำหูทวนลม EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของหลินชูวโม่

เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง เฉินเจียซินเห็นเข้าก็จดจำฉีเล่ยในชุดสูทสีน้ำเงินตัวเก่งได้ทันที

ชุดสูทเรียบหรูประดับคู่กับใบหน้าอันหล่อเหลา ใครจำไม่ได้ก็แปลกแล้ว ไม่ว่าใครมาเห็นต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชายหนุ่มคนนี้คือทายาทมหาเศรษฐีพันล้านผู้หล่อเหลา

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาอย่างละเอียด

เธอยังรู้อีกว่า ชายหนุ่มคนนี้เคยถูกแม่ยายกับภรรยากดขี่รังแกสารพัด EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆเขาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จนเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้ หน่วยข่าวกรองของเฉินเจียซินแบ่งแยกย่อยออกเป็นสามกลุ่ม ซึ่งทั้งสามกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยพวกอัจฉริยะIQสูง ทั้งยังมีอุปกรณ์เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้อยู่ดีว่า ทำไมจู่ๆผู้ชายคนหนึ่งจึงสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน

เฉินเจียซินก้าวเท้าตรงเข้าไปหาฉีเล่ยทันที เธอคลี่ยิ้มบางพร้อมเอ่ยถามเสียงเรียบราวกับเป็นนักธุรกิจมืออาชีพ

“คุณฉีใช่ไหมคะ?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกับฉีเล่ยได้พบกัน เพราะผู้ชายคนนี้ทำให้เธอถูกประธานสาวของตนเองหักคะแนนเหลือ98คะแนน ดังนั้นเธอจึงอดที่จะรู้สึกสงสัยในความลึกลับของผู้ชายคนนี้ไม่ได้

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบเสียงเรียบนิ่ง

“ครับ ผมเอง”

เฉินเจียซินผายมือให้เล็กน้อย

“ขอเชิญตามดิฉันมาหน่อยค่ะ”

นอกจากชั้นสามที่เป็นห้องทำงานส่วนตัวของหลินชูวโม่แล้ว บนชั้นสี่ก็ยังเป็นห้องสปาเอนกประสงค์ที่หลินชูวโม่ใช้ต้อนรับแขกระดับVIPเท่านั้นด้วย ภายในนั้นมีทั้งห้องซาวน่า อ่างน้ำพุร้อนเพื่อสุภาพ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนและบาร์เล็กๆอีกด้วย

ฉีเล่ยเดินตามเฉินเจียซินขึ้นไป ระหว่างนั้นสิ่งแรกที่เขารู้สึกผิดสังเกตก็คือ

ชุดเสื้อผ้าที่หลินชูวโม่สวมใส่มาในวันนี้ดูแตกต่างจากทุกวันมาก วันนี้เธออยู่ในชุดสูทผู้หญิงแต่งหน้าทำผมค่อนข้างเรียบร้อย โดยรวมแล้วดูออกจะเป็นทางการไม่น้อย แม้จะดูมีเสน่ห์ลดน้อยลงแต่ก็ได้ความเป็นมืออาชีพเข้ามาแทนที่

สิ่งที่สองที่ฉีเล่ยสังเกตเห็นก็คือ เห็นหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว

และเขาเองก็รู้จักหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสวยเป็นประกายระยับดุจทะเลดวงดาวคนนี้ด้วย

แต่แปลกมาก ทั้งๆที่เขารู้จักเธอมาก่อน แต่ความรู้สึกแรกที่ได้พบเธอในวันนี้กลับแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง

ฉีเล่ยครุ่นคิดกับตัวเอง

‘อยู่กับคนอื่นแบบนี้ต้องวางตัวสินะ’

ต่อให้เป็นเพื่อนผู้หญิงที่สวยที่สุดของหลินชูวโม่ ก็อย่าได้คิดเอามาเปรียบเทียบกับหญิงสาวตรงหน้าเขาโดยเด็ดขาด และใครก็ตามที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับเธอต่างต้องถูกด้อยค่าลงทันที

หลินชูวโม่แอบขยิบตาให้ฉีเล่ยจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เธอรีบแนะนำฉีเล่ยให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟารู้จักทันที

“ผู้ชายคนนี้ก็คือฉีเล่ยค่ะ เขาเป็นนักกายภาพบำบัดที่เก่งที่สุดของทางคลินิกชูวโม่เรา ฉีเล่ยจะรับบริการเฉพาะสมาชิกที่ถือบัตร Supreme Cardเท่านั้น ฝีมือการนวดกดจุดของเขาอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ถ้ามีปัญหาอะไรกรุณาสอบถามกับเขาได้โดยตรงเลยนะคะ ดิฉันไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อนค่ะ”

หญิงสาวที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟานั้นดูสง่างามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน เธอเพียงแค่พยักหน้าแทนคำตอบโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

หลินชูวโม่เหลือบมองฉีเล่ย สายตาของเธอนั้นคล้ายกำลังบอกชายหนุ่มว่า ‘พยายามเข้าล่ะ!’ จากนั้นเธอกับเฉินเจียซินก็เดินออกไปและช่วยกันปิดประตูอย่างระมัดระวัง

สายตาของหญิงสาวคนนั้นเลื่อนลงมาจับจ้องที่ร่างฉีเล่ยพร้อมกับสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ในที่สุดสายตาอันเย็นชาของเธอก็ดูคลายอ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร

ฉีเล่ยยักไหล่เอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“กระบังลมของคุณกำลังยกตัวขึ้นอยู่ บ่งบอกว่าอยากจะหัวเราะ ไม่จำเป็นต้องกลั้นขำแล้ว อย่าฝืนไปเลย”

“ฮ่าๆๆ!”

หญิงสาวเย็นชาคนนั้นถึงกับหลุดขำพรวดออกมา และแทบยกมือขึ้นปิดปากไว้ไม่ทัน หลังจากพยายามกลั้นหัวเราะอยู่สักพัก เธอก็กลับมาสวมบทนักธุรกิจสาวผู้เคร่งขรึมอีกครั้งและเอ่ยถามเสียงเย็นขึ้นว่า

***************************

Q&A ตอบคำถามนักอ่าน

จากคุณถ้ามันดี: แล้วทำไม ไม่ไปสอบเอาใบปริญญาหรือใบประกอบต่างๆที่เกี่ยวข้องล่ะ มั่วแต่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ปล่อยให้คนอื่นดูถูก กดขี่อยู่นั้นแหละ แล้วมาทำตัวสูงส่ง ดี เก่ง อย่างโน้นอย่างนี้ โถ่

นักแปล : ผมมองว่าถึงพระเอกจะสอบเอาใบปริญญาหรือใบประกอบตอนนี้ก็ไม่พ้นโดนจับผิดอีก อย่างเช่น เป็นหมอเพิ่งจบมาจะมาสอนใครได้? เวลาคนเราจะหาเรื่องสร้างปัญญา มันก็จะพยายามหาช่องโหว่มาโจมตีคนอื่นอยู่ดีครับ ซึ่งตัวฉีเล่ยเองก็น่าจะคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน

จากคุณJamjai : ประทับใจอาจารย์ฉี อย่าดีแตกล่ะ ตบคว่ำเลย

นักแปล : จากที่แปลล่วงหน้าไประยะ ช่วงแรกๆเหมือนว่าพระเอกยังตั้งหลักตั้งตัวไม่ทันที่ผู้หญิงเข้ามา แต่พอตั้งสติได้เท่านั้นแหละ ไล่เสียหมาหมดครับ555+

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset