ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 136 โคตรจะยุ่ง

ตอนที่136 โคตรจะยุ่ง

กลุ่มบอดี้การ์ดที่คอยเฝ้าคุ้มกันชูซินซูนั้น ทุกคนล้วนแต่ขับรถRolls-Royce Phantomที่ดัดแปลงมาเป็นพิเศษให้สามารถกันกระสุนและระเบิดได้โดยเฉพาะ หลังจากขึ้นรถไปแล้ว เฉินเจียซินก็หันไปถามชูซินซูว่า

“ประธานชู คุณต้องการถอดฉีเล่ยออกจากรายชื่อเลยไหมค่ะ?”

“ถอดออกจากรายชื่อทำไม?”

ชูซินซูยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อทันที

“เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่ง และที่สำคัญที่สุด เขายังเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไม่เสแสร้งต่อหน้าฉัน และนั่นยิ่งทำให้ฉันสนใจในตัวเขามากเข้าไปใหญ่”

“ถ้าอย่างนั้น…ประธานชูสั่งการให้หน่วยข่าวกรองเสาะหาข้อมูลจำเพาะของเขามาเพิ่มเลยไหมค่ะ?”

“ไม่จำเป็น”

ชูซินซูส่ายหัว

“ไม่ต้องพึ่งพาคนพวกนั้นแล้ว ฉันจะเป็นคนจัดการเอง”

เฉินเจียซินที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องแอบถอนหายใจกับตัวเอง

ประธานชู…คุณกำลังทำเรื่องผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยล่ะ

คุณควรจะไว้วางใจให้หน่วยข่าวกรองของเราเป็นคนหาข่าวให้ เพื่อจะได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด และมีเพียงข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบจากทั้งสามหน่วยงานซึ่งมากไปด้วยบุคคลอัจฉริยะIQสูงเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ตัวคุณได้

แต่ประธานชู…คุณเลือกที่จะละทิ้งอัจฉริยะที่มีประสบการณ์ด้านข่าวกรองมาหลายปีพวกนั้นได้ยังไงกัน?

แค่เลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ คุณก็เท่ากับแพ้ไปเกือบครึ่งตั้งแต่เริ่มต้นแล้วล่ะ…

หลินชูวโม่รีบวิ่งออกไปส่งชูซินซู และเมื่อเห็นว่ารถตู้คันดำขับได้เคลื่อนออกไปเป็นขบวนยาว เธอก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในคลินิกอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นสอง ก๊วนสาวๆต่างก็แห่มารุมล้อมแทบจะในทันที

“พี่หลิน! ดูท่าผู้หญิงคนนั้นต้องมีฐานะที่น่ากลัวอย่างแน่นอนเลยสินะ!

“ใช่! ขนาดฉันเองยังไม่เคยเห็นRolls-Royce Phantomกับตาตัวเองเลยในชีวิต แค่คันเดียวก็ซื้อตึกแถวนี้ได้ทั้งหลังแล้ว!”

“แล้วเห็นบอดี้การ์ดพวกนั้นรึเปล่า? แต่ละคนน่ากลัวมากจริงๆ! นี่น่ะเหรอชีวิตของพวกคุณหนูที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง เป็นแบบนี้เองน่ะเหรอ?”

หลินชูวโม่คลี่ยิ้มพร้อมกับดุไปว่า

“ดูพวกเธอแต่ละคนตอนนี้สิ อย่างกับเด็กน้อยห้าหกขวบได้ของเล่น เป็นไงล่ะ? ทีนี้ได้เห็นรึยังว่า มหาเศรษฐีตัวจริงเสียงจริงเป็นยังไง?”

หงเจาชี้นิ้วไปทางหลินชูวโม่ทันทีและสวนตอบกลับไปว่า

“แหมม…อีคุณพี่หลินค่ะ พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ อย่าเอาแค่พวกเราไปเปรียบเทียบกับเธอสิ ถ้าจำไม่ผิดพี่เองก็แก๊งเดียวกับพวกหนูไม่ใช่เหรอ!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินชูวโม่จางอ่อนลงทันใด ดูบิดเบี้ยวผิดรูปไปเล็กน้อย

“ถ้าแกยังล้อฉันอีก เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะโละโซฟาในชั้นนี้ทิ้งให้หมดเลย! อยากนั่งพื้นกันนักใช่ไหม!?”

จู่ๆเสี่ยวอันก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“เอาน่า เอาน่า อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย ว่าแต่…ทำไมแม่คุณหนูนั่นถึงได้เรียกหาฉีเล่ยล่ะ?”

ได้ยินคำถามแบบนั้นหลินชูวโม่ก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้เช่นกัน

“เอ๊ะ! แล้วฉีเล่ยล่ะอยู่ที่ไหน?”

เนื่องจากเมื่อครู่เธอกำลังยุ่งอยู่กับการไปส่งชูซินซู จนลืมฉีเล่ยไปเสียสนิท และไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?

ครืนน!

เสียงกดชักโครกดังขึ้น และทันทีที่ฉีเล่ยเปิดประตูห้องน้ำออกมา เขาก็ถูกหลินชูวโม่ลากตัวขึ้นชั้นสามอย่างรวดเร็ว

เสียงปิดประตูดังปัง หลินชูวโม่จับไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น

“เป็นยังไง? เธอคุยอะไรกับนายบ้าง? ได้ให้บริการตามที่เธอต้องการไหม?”

ฉีเล่ยยังคงนิ่งเฉยไม่ตอบคำถามใดๆอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบกลับเพียงแค่สั้นๆด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ก็ไม่มีอะไรมาก”

หลินชูวโม่ทวนคำพูดของเขาด้วยความสงสัย

“ไม่มีอะไรมากมันคืออะไร? หรือว่าเธอคนนั้นสั่งไม่ให้พูด?”

ฉีเล่ยไม่สนใจที่จะตอบคำถามของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับย้อนถามหลินชูวโม่แทน

“เธอมาที่นี่บ่อยไหม?”

หลินชูวโม่ส่ายหน้าไปมา

“นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ และทันทีที่มาถึงเธอก็ขอเปิดสมาชิกระดับSupreme Card ทันที ซึ่งถือเป็นลูกค้าระดับVVIPตัวจริงเสียงจริงเชียวล่ะ ไม่นานหลังเธอสมัครสมาชิกไปแล้ว ดูเหมือนเธอจะสั่งเลขาส่วนตัวให้บอกทางเราโทรเรียกนายมา”

ฉีเล่ยยิ้มบางก่อนจะถามต่อว่า

“แบบนี้คุณคงจะทำกำไรได้ไม่น้อยสินะ?”

เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าท่าทางของหลินชูวโมพลันแปรเปลี่ยนไปทันที เธอส่งยิ้มแปลกๆให้กับเขาก่อนจะตอบไปว่า

“แน่นอนอยู่แล้ว!” หลินชูวโม่ตอบกลับทันที เธอจ้องหน้าฉีเล่ยพร้อมกับพูดหว่านล้อมชายหนุ่มว่า

“ฉีเล่ย นายไม่ต้องห่วงนะ รับรองว่าฉันจะให้ส่วนแบ่งนายอย่างยุติธรรมที่สุด EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq แล้วถ้านายต้อง…”

“ถ้านายต้องการเสียสละพลีร่างกาย พี่สาวคนนี้ก็ไม่ว่าหรอกนะจ๊ะ”

“…”

“อ่อ ยังมีอีกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นยังชมให้ฉันฟังว่านายเป็นหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ดีมาก แล้วก่อนที่เธอจะขึ้นรถไป เธอยังบอกฉันอีกว่า ครั้งหน้าจะมาใช้บริการที่นี่อีกอย่างแน่นอน นี่ๆ บอกหน่อยได้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นป่วยเป็นอะไรกันแน่? เป็นโรคร้ายแรงรึเปล่า? ถ้ามันร้ายแรงจริง เดี๋ยวให้พี่สาวคนนี้ช่วยอีกแรงได้นะ ก็อย่างว่าแหละ คนรวยๆล้วนกลัวตายกันหมดแหละ โดยเฉพาะพวกมหาเศรษฐีแบบเธอคนนั้น พวกเราควรจะใช้ประโยชน์จากความกลัวของคนพวกนี้ทำเงินเข้ากระเป๋านะ นายคิดว่ายังไง?”

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“แต่เธอเป็นโรคที่ค่อนข้างหนักมากเลยนะ”

“เหรอๆเธอเป็นโรคอะไร?”

“โรคประสาท”

ทันทีที่ได้ยินหลินชูวโม่คิดว่าฉีเล่ยล้อเล่น จึงตอบติดตลกกลับไปว่า

“ฮ่าฮ่า…นายคงไม่ได้บอกกับเธอไปแบบนั้นใช่ไหม?”

“…”

ฉีเล่ยได้แต่ปั้นหน้าขรึมไม่ตอบ

“ใช่ไหม…?”

“ผมบอกเธอไปแบบนั้น”

สีหน้าของหลินชูวโม่ถึงกับซีดเผือดลงในทันที

“เอาจริงดิ?”

“….”

นัยน์ตาคู่สวยของหลินชูวโม่ที่เป็นประกายอยู่นั้นถึงกับหม่นลงในทันที หญิงสาวทิ้งร่างลงบนโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ปากก็พึมพำออกไปว่า

“ตายแล้ว… เธอเป็นถึงลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของฉันในปีนี้เลยนะ…”

“นอกจากจะเป็นโรคประสาทแล้ว ผมก็ไม่ตรวจพบความผิดปกติใดๆภายในร่างกายเธอเลยจริงๆ แล้วจะให้ผมตอบเธอไปว่ายังไงล่ะ?”

หลินชูวโม่ยกมือขึ้นเท้าศีรษะไว้อย่างหมดเรี่ยวหมดแรง เธอเหลือบมองไปที่ฉีเล่ยแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามต่อว่า

“หมายความว่ายังไง?”

ฉีเล่ยจึงได้เล่ากระบวนการวินิจฉัยทั้งหมดให้เธอฟังว่า

“ตอนแรกผมก็ลองสังเกตดูสีหน้าของเธอ ฟังน้ำเสียง สอบถามถึงอาการเจ็บป่วย รวมไปถึงจับชีพจร แต่กลับพบว่าเธอไม่ได้มีปัญหาทางร่ายกายอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเธอกลับมีสุขภาพที่แข็งแรงมาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังบีบบังคับจะให้ผมรักษาเธอด้วยการปรับสมดุลร่างกายให้ได้ ซึ่งคุณเองก็น่าจะรู้ การปรับสมดุลร่างกายของแพทย์แผนจีนจะต้องมีการสัมผัสส่วนลับเพศหญิง ในเมื่อไม่ได้ป่วยอะไร แล้วทำไมต้องให้ปรับสมดุล?”

หลินชูวโม่เลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับร้องถามออกไปว่า

“นี่นายไม่สงสัยเลยเหรอว่า เป็นเพราะเธอจงใจจะยั่วยวนนายก็เลยหลอกให้นายทำเรื่องแบบนั้น?”

ฉีเล่ยเบะปากพร้อมตอบกลับไปทันที

“ใครจะไปรู้ว่าตรรกะของพวกคนรวยว่าเขาคิดกันยังไง? ผมค่อนข้างเสียใจนะ ที่ทักษะการแพทย์ของผมจะต้องมาแปดเปื้อนกับตัณหาของคนๆหนึ่งแบบนี้ และผมก็โกรธมากอีกด้วยที่เธอกล้าลบหลู่ความสามารถของผม”

หลินชูวโม่ไม่ได้ปริปากตอบฉีเล่ยไปทันที ตรงกันข้างเธอกลับจับจ้องอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าอะไร

ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น เวลาเจอลูกค้าสาวสวยแบบนี้ อย่าว่าแต่จะสัมผัสของลับผู้หญิงเลย แม้แต่เลียให้ยังยินดีด้วยซ้ำ

หลินชูวโม่แอบคิดกับตัวเองว่า EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq อาจเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้ ส่วนบางสิ่งที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่สนใจกัน เขากลับทำตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

หลินชูวโม่อึ้งอยู่สักพัก แต่หลังจากที่ได้สติก็รีบพูดขึ้นว่า

“ครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นมาถามหานาย ฉันเองก็ถามเหตุผลไปเหมือนกันนะ แต่อีกฝ่ายให้คำตอบแค่ว่า เพราะเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของนาย ก็เลยอยากจะมาลองดูด้วยตัวเองสักครั้ง นั้นแหละก็เลยเป็นสาเหตุที่ฉันต้องโทรเรียกนายมาด่วน แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอจะเป็นเรื่องอย่างว่า…”

หลินชูวโม่จงใจหยุดชะงักเว้นจังหวะในการพูด ก่อนจะเอ่ยต่อว่า

“ผู้หญิงคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์มากจริงๆ ครั้งหน้าถ้านายต้องพบเจอเธออีกครั้งก็ต้องระวังตัวให้ดีล่ะ แต่ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็มาปรึกษาหรือมาระบายกับฉันได้ ถือซะว่าฉันเป็นพี่สาวของนายแท้ๆคนหนึ่งแล้วกัน”

“ไม่ ผมไม่จะมาเจอเธออีกแล้ว”

จะบ้ารึเปล่า?

ไปบ้านเธอแค่ครั้งเดียว ก็โดนปู่ของเธอบังคับให้แต่งงาน ถ้าไม่แต่งกับหลานสาวของเขา ก็ขู่จะขังไว้ในบ้านตลอดชีวิต

คนแบบนี้เจอแค่ครั้งเดียวยังไม่พออีกรึไง?

ต่อให้สุดท้ายเขาจะเห็นด้วยกับข้อตกลงของตาแก่นั่นและยอมรับปากที่จะแต่งงานกับหลานสาวของเขา แล้วยังไงล่ะ? ผิวเผินอาจะดูเป็นเรื่องที่ดีไปหมด แต่เนื้อในก็ไม่ต่างอะไรกับ สามีที่หนีเมียตัวเองไปแต่งงานใหม่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

มันไม่ทุเรศเกินไปหน่อยเหรอ?

เหอะ ส่วนเรื่องที่ว่า เขายังจะมาหาเธออีกหรือไม่นั้น?

จะมาให้โง่เหรอ?

หลินชูวโม่เอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย

“แต่นายก็เพิ่งทำเรื่องที่ไม่ควรทำกับผู้มีอำนาจอิทธิพลระดับประเทศไปเองนะ แค่เห็นรถกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่ตามผู้หญิงคนนั้นมาก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอว่า นั่นน่ะมหาเศรษฐีที่แท้จริง! แล้วนายดันไปด่าเธอว่าเป็นโรคประสาทอีก มีเหรอที่อีกฝ่ายจะทนอยู่เฉยๆได้?”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ผมไม่ได้ด่าเธอนะครับ โรคประสาทถือเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่ชอบตีความไปแบบผิดๆ คุณหลิน ผมขอถามคุณกลับบ้าง ถ้าเธอไม่ได้มีเงินถุงเงินถังแบบนี้ แถมยังเป็นโรคประสาทอีก คุณยังจะดูแลเอาอกเอาใจเธอดีขนาดนี้อยู่อีกไหม? เลิกคิดเรื่องเงินไปสักนาทีสองนาทีบ้างก็ได้”

หลินชูวโม่ยกมือป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก

“นายนี่มันปากร้ายจริงๆ แต่ฉันเองก็ไม่มีข้อแก้ตัวเหมือนกัน ทำได้แค่พยายามทำใจยอมรับ”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบไปว่า

“ผมแค่พูดไปตามความจริง ดูเหมือนผมจะไม่สามารถทำตัวเป็นแม่เหล็กดูดเงินให้คุณได้จริงๆ เสียใจด้วย”

ดวงตาสีพีชของหลินชูวโม่หม่นสลดลงเล็กน้อย เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่คล้ายกำลังทำใจปล่อยวาง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ลดละความพยายาม หันไปเกลี้ยกล่อมฉีเล่ยต่อ

“แต่ดูเหมือนเธอจะชื่นชมในฝีมือทางการแพทย์ของนายจริงๆนะ แถมยังบอกอีกว่า ถ้ามีโอกาสเธอจะกลับมาให้นายรักษาต่อ ดูท่านายอาจจะกำลังมาถูกทางแล้ว นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่า เธอเป็นโรคทางประสาท อาจจะเป็นซึมเศร้าหรือมีปมภายในใจอะไรแบบนี้ก็ได้นะ”

“….”

ฉีเล่ยถึงกับต้องทรุดลงนั่ง ถ้าคราวหน้าชูซินซูมาหาเขาอีก ก็อย่าหวังว่าจะติดต่อหาตัวเขาพบเลย

ตอนนี้ฉันปกติสุขดีอยู่แล้ว ทำไมต้องหาปัญหาให้กับตัวเองอีก?

อยากเข้ารับการรักษากับฉันอีกงั้นเหรอ? ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้น อีกอย่างฉันก็ทั้งเบื่อแล้วก็รำคาญเธอจะตายอยู่แล้ว!

และที่สำคัญฉันเองก็โคตรจะยุ่งเลย

เพราะฉันมีธุระต้องเล่นหมากล้อมกับอาวุโสหลี่!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset