ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 140 พบตระกูลเป่ย

ตอนที่140 พบตระกูลเป่ย

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวขึ้นว่า

“ฮ่าฮ่า หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเป็นคนกระหายที่จะเสาะหาบุคคลมากความสามารถอย่างแท้จริง เชิญนั่งครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีนั่งลงบนโซฟาพร้อมหันไปหยิบแก้วชาจากแม่บ้านที่นำมาให้ เหลือบมองไปทางฉีเล่ยอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นบ้างว่า

“เสี่ยวฉี ที่เธอต้องถูกไล่ออกจากสาขามาก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ อย่างแรกที่ควรเธอต้องรู้คือ สถานการณ์ของตัวเธอเองในตอนนี้ เธอไม่มีทั้งใบวุฒิการศึกษา ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน จึงหนีไม่พ้นแรงกดดันจากคณะอาจารย์คนอื่นๆที่มีต่อตัวเธอ”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างคร้านจะใส่ใจ

“ผมเข้าใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ดีครับ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่มีใบรับรองวุฒิการศึกษาอะไรเลย แต่จะให้ผมกลับไปเรียนต่อตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าปีครึ่ง ซึ่งนั่นคงจะสายเกินไปแล้ว”

“แต่สำหรับตัวเธอนี่ถือเป็นกรณีพิเศษ ฉันได้ปรึกษากับผู้บริหารท่านอื่นๆกันนอกรอบแล้ว และพวกเราทุกคนต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ความสามารถในการสอนของเธอดีมากจริงๆ มิหนำซ้ำยังเป็นที่รักของบรรดาเด็กนักศึกษาอีกด้วย ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทางเราจึงตัดสินใจว่า เนื่องจากทักษะและองค์ความรู้ทางการแพทย์แผนจีนของเธออยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจะออกใบรับรองในฐานะอาจารย์ให้เป็นกรณีพิเศษ เธอคิดเห็นยังไงบ้างล่ะ?”

ฉีเล่ยยกแก้วชาขึ้นมาจิบอย่างใจเย็นและกล่าวตอบไปว่า

“ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วครับ แต่เกรงว่าทางหัวหน้าคณะอาจารย์คนอื่นๆ จะต้องมาลำบากเป็นธุระให้มากกว่า”

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า เธอเองก็เป็นอาจารย์น้ำดีที่มีความสามารถด้านแพทย์แผนจีนคนหนึ่ง นี่จึงเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติกับคนเก่งๆอย่างเธออยู่แล้ว”

ฉีเล่ยแสร้งทำเป็นเกรงใจปั้นหน้าประหม่าเล็กน้อย พร้อมกล่าวขอบคุณทันที

“ขอบคุณหัวหน้าคณะซีมากเลยนะครับที่เป็นห่วงเป็นใยกันถึงขนาดนี้ แต่จะว่ายังไงดี…เรื่องที่ผมถูกไล่ออกจ่ากมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ทำให้ผมอายจนไม่กล้าแบกหน้ากลับเข้าไปที่นั่นอีกแล้ว…

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของซีลู่เฉิงเริ่มกระตุกขึ้นอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ฉีเล่ยย่อมถือไพ่เหนือกว่าอยู่แล้ว เขาจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะโต้แย้งอะไร นอกจากต้องกัดฟันตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

“นี่…หมายความว่ายังไงงั้นเหรอ? ลองอธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ?”

“คืออย่างนี้นะครับ…”

หลังจากอธิบายอย่างละเอียดแล้ว ฉีเล่ยก็กล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มอีกว่า

“ขอบคุณหัวหน้าคณะอาจารย์ซีมากเลยครับ”

หลั

หลังจากที่ซีลู่เฉิงที่ได้ฟังคำอธิบายของฉีเล่ยอย่างละเอียดแล้ว เขาก็รีบขอตัวลุกจากออกไปทันที เพราะเขาจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด และตอนนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัวเจ้าเด็กปีศาจคนนี้จริงๆแล้วสิ

“เข้าใจแล้ว เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะ”

ขณะที่ฉีเล่ยเดินออกไปส่งหัวหน้าคณะอาจารย์ซีกลับไปนั้น เหอจื่อก็โทรเข้ามาหาพอดี เธอหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“อาจารย์ฉีคุยกับตาเฒ่าซีเรียบร้อยรึยัง?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปยิ้มๆ

“เรียบร้อยแล้ว”

ช่วงนี้เขากับเหอจื่อติดต่อกันอยู่เสมอ และเธอกับนักศึกษาคนอื่นๆเองก็มักจะรายงานสถานการณ์ภายในมหาวิทยาลัยให้เขาได้รู้อยู่เรื่อยๆเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ตัวเขาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เขาก็สามารถรับรู้ได้ทุกอย่างว่ามีเกิดอะไรขึ้นภายในนั้นบ้าง

“เหอะ เหอะ หนูมั่นใจมากว่า เขาจะต้องยอมแพ้ในที่สุด เพราะถ้าหากแผนการนี้ยังล้มเหลวอีก หนูก็ได้บอกกับทุกคนไว้แล้วว่าจะประท้วงด้วยการโดดเรียนทุกวิชาหลังจากนี้ เอาให้สาขาแพทย์แผนจีนถูกยุบไปเลย ไม่ต้องมีแล้วนักศึกษาแพทย์จีนรุ่น6!”

“นั่นมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ…”

ฉีเล่ยถึงกับเหงื่อตก ในใจหนึ่งเขาก็รู้สึกคิดถูกเช่นกันที่ตอบตกลงไป ไม่อย่างนั้นปัญหาภายในนั้นคงต้องยิ่งทวีความเลวร้ายลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้มันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อทั้งสองฝ่ายเลย

“หนูทราบค่ะว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่นักศึกษาเองก็ควรมีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งดีๆให้กับตัวเองไม่ใช่เหรอค่ะ? แล้วในเมื่อตอนนี้เรื่องทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว หนูเองก็โล่งใจ โอเคค่ะ งั้นหนูไม่รบกวนอาจารย์แล้ว เดี๋ยววางสายจากอาจารย์ หนูก็จะรีบไปแจ้งข่าวดีนี้ให้ทุกคนฟัง! เจอกันพรุ่งนี้นะคะอาจารย์ฉี!”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้”

ฉีเล่ยยิ้มตอบ

…..

วันต่อมา ในชั้นเรียนของเหล่านักศึกษาแพทย์แผนจีนรุ่นที่6 ซีลู่เฉิงยืนอยู่บนเวทีหน้าห้อง ป่าวประกาศด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า

“หลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยของเราได้พิจารณาข้อเสนอแนะของทุกคนโดยละเอียดแล้ว ทางเราได้ตัดสินใจที่จะเคารพความคิดเห็นของนักศึกษาเป็นหลัก และเนื่องด้วยอาจารย์ฉีเป็นบุคคลกรที่มีคุณภาพดีเลิศของทางมหาวิทยาลัย แม้ก่อนหน้านี้จะถูกบังคับให้เลิกจ้างเพราะกฎระเบียบบางข้อ แต่ด้วยความพยายามของพวกเราทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ในที่สุดพวกเราก็ช่วยให้เขาเอาชนะความอยุติธรรมครั้งนี้ได้ ตอนนี้อาจารย์ฉีของทุกคนได้กลับมาแล้ว หวังว่าทุกคนจะตั้งอกตั้งใจเรียนและจบการศึกษากลายมาเป็นแพทย์แผนจีนที่มีคุณภาพนะ!”

ซีลู่เฉิงซึ่งเป็นแกนนำต้อนรับการกลับมาของฉีเล่ย เขาปรบมือและป่าวประกาศต่ออีกว่า

“ทุกคน ปรบมือต้อนรับอาจารย์ฉี!”

ว้าวว~!!

นักศึกษาทุกคนในห้องต่างลุกขึ้นปรบมือกันเสียงเกรียวกราว ดูเหมือนว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมออย่างที่เขาว่ากันจริงๆ

ฉีเลยก้าวเท้าขึ้นไปบนเวทีหน้าห้องพร้อมกับโค้งคำนับให้กทุกคน ทั้งยังกล่าวอีกว่า

“ขอบคุณทุกคนมากนะครับ”

เขาตระหนักดีว่า บรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ต้องพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเพียงใด เพื่อให้เขาได้กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกครั้ง

ทั้งต้องเผชิญหน้ากับการตำหนิติเตียนของอาจารย์หลายๆท่าน ทั้งต้องทนรับแรงกดดันจากคำพูดข่มขู่ของทางมหาวิทยาลัย แต่หากเจตจำนงอันแรงกล้าของพวกเขาแผ่วลงไปแม้เพียงเล็กน้อย ภาพฉากแห่งความสุขในวันนี้ก็คงไม่มีทางเป็นจริงได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหล่านี้เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ ทุกคนยังพยายามอย่างหนักและยืดหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง จนในที่สุดก็ได้อาจารย์อันเป็นที่รักกลับเข้ามาสอนอีกครั้ง

“อาจารย์ฉี อาจารย์กลับมาสักที! มายืนให้ผมด่าเลยเดี๋ยวนี้!”

“อาจารย์ฉี อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ มาโค้งคำนับให้แบบนี้ พวกหนูจะร้องไห้แล้วนะ!”

“จารย์! คราวหน้าเดี๋ยวผมส่งวาปอันใหม่ไปให้ ครั้งนี้ไม่มีไวรัสแน่นอน…”

แต่เพราะกลัวว่าซีลู่เฉิงจะได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเข้า ฉีเล่ยจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องสนทนาทันที

“เอาล่ะ เอาล่ะ ถึงเวลาเรียนแล้ว เริ่มการบรรยายกันเถอะ จำได้ไหมว่า การบ้านสุดท้ายที่ผมได้ให้ไปคืออะไร? ได้อ่านทบทวนกันรึเปล่า?”

ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาทันใดพร้อมตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“แน่นอนค่ะ!”

เหอจื่อลุกขึ้นยืน เธอสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะประกาศด้วยเสียงที่ดังฟังชัดขึ้นว่า

“ทุกคน! เตรียมท่อง‘บทสมุนไพร’พร้อมกัน!”

จากนั้นทุกคนก็ประสานเสียงท่องบทสมุนไพรจนดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง

ฉีเล่ยจับจ้องไปยังบรรดาหนุ่มสาวผู้มีพลังอย่างล้นเหลือตรงหน้า ลึกๆภายในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นลูกศิษย์ที่ดีและกตัญญู ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง ฉีเล่ยเองก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวพวกเขาอย่างยิ่ง

หลังจากสอนคาบเช้าเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็ได้เดินไปที่หน้าตัวอาคารสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน แต่กลับกลายเป็นว่าหลี่ถงซีเป็นฝ่ายโทรหาเขาเสียก่อน

“ฉันต้องเข้าประชุมประจำสาขาตอนเที่ยง วันนี้คงกลับพร้อมนายไม่ได้”

แม้น้ำเสียงของหลี่ถงซีจะดูสงบนิ่ง แต่ฉีเล่ยสามารถสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจบางอย่างที่แฝงเร้นออกมาได้อย่างชัดเจน

อารมณ์น่าจะประมาณว่า เธอไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการประชุมประจำสาขาครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เนื่องจากเป็นคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงของทางมหาวิทยาลัย

ฉีเล่ยได้ฟังแบบนั้นจึงตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”

เมื่อกดวางสายจากหลี่ถงซีไปแล้ว จู่ๆเขาก็หยิบกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

ฉีเล่ยเพ่งสายตาจ้องมองเบอร์มือถือและที่อยู่ของเป่ยจ้าวหยวนอย่างละเอียด

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ยกมือขึ้นโบกเรียกแท็กซี่ ทันทีที่เข้าไปนั่งก็ร้องบอกกับคนขับไปว่า

“ไปที่ถนนหลินหยุน บ้านเลขที่118”

“ได้ครับผม”

คนขับตอบรับ และขับพาฉีเล่ยมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางทันที

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดแท็กซี่คันนั้นก็มาจอดอยู่หน้าบ้านหมายเลขที่118 ถนนหลินหยุน

อันที่จริงสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้หายากอะไรเลย ท่ามกลางตึกสูงระฟ้ากลางเมืองปักกิ่งบริเวณถนนหลินหยุนนั้น มีบ้านทรงจีนโบราณดั้งเดิมอยู่เพียงแค่หลังเดียว

ตัวอาคารเป็นเรือนตำหนัก มีคานไม้ที่แกะสลักด้วยช่างมีฝีมือเป็นลวดลายวิจิตรโบราณ หน้าทางเข้าคฤหาสน์นั้นมีป้ายไม้ขนาดใหญ่แขวนอยู่ ซึ่งมีเพียงอักษรสามตัวประดับอยู่

‘ตระกูลเป่ย’

ฉีเล่ยแหงนหน้าขึ้นมองป้ายไม้สลักดังกล่าวพลางรำพึงรำพันกับตัวเองว่า

“ช่างเป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่โตงดงามมากจริงๆ แต่จะมีฝีมือมากน้อยแค่ไหนคงต้องมาพิสูจน์กัน”

สาวใช้ในชุดกี่เพ้าสังเกตเห็นชายคนหนึ่งมาด้อมๆมองๆอยู่หน้าคฤหาสน์ ก็พลันเข้าใจไปว่าน่าจะเป็นคนไข้ จึงรีบเดินเข้าไปกล่าวต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“คุณผู้ชาย มีอะไรจะให้ช่วยไหมค่ะ?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า

“ผมมาหาเป่ยจ้าวหยวนครับ?”

สาวใช้ตอบกลับ แววตาเจือความแปลกใจเล็กน้อย

“เป่ยจ้าวหยวนเหรอคะ? ไม่ทราบคุณผู้ชายมีธุระอะไรกับนายน้อยเป่ยรึเปล่าคะ?”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset