ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 141 โค่นสำนัก

ตอนที่141 โค่นสำนัก

ท่าทีของแขกผู้นี้ทำให้หญิงสาวในชุดกี่เพ้าค่อนข้างระแวดระวังมากขึ้น เพราะชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าของเธอเวลานี้ เห็นได้ชัดว่ายังเด็กเกินไปมาก ดูผิวเผินน่าจะเป็นคนไข้ แต่จู่ๆอีกฝ่ายกลับเรียกขนานนายน้อยเป่ยด้วยชื่อเต็มห้วนๆแบบนั้น นี่เห็นได้ชัดว่า การมาของอีกฝ่ายดูท่าจะไม่เป็นมิตรอย่างที่คิดไว้แล้ว

ตามที่คาดไว้ไม่มีผิด มุมปากของฉีเล่ยพลันกระตุกขึ้นทันทีพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมมาที่นี่ก็เพื่อโค่นสำนักแห่งนี้”

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าถึงกับตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าได้ยินผิดไปหรือไม่

“อะไรนะคะ? โค่นสำนัก?”

ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ

“คุณคิดว่านายน้อยเป่ยของคุณมีจุดแข็งด้านใดบ้างล่ะ?”

ถ้าเธอตอบไปว่า นายน้อยเป่ยมีจุดแข็งคือเรื่องบนเตียง ฉีเล่ยคงเสียสูญพูดไม่ออกเช่นกัน เพราะนี่ไม่ใช่บทสนทนาที่ควรจะพูดออกไป

เมื่อคิดได้แบบนั้นหญิงสาวในชุดกี่เพ้าจึงได้ตอบฉีเล่ยกลับไปว่า

“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องด้านการแพทย์แผนจีน ตระกูลของนายน้อยเป็นหมอเทวะมาตั้งแต่สมัยโบราณ สืบทอดเคล็ดวิชาการแพทย์จากรุ่นสู่รุ่นจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ และในปัจจุบันนายน้อยเป่ยก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมากในปังกิ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง คุณก็ไม่มีสิทธิ์บุ่มบ่ามเข้ามาแบบนี้ ถ้าต้องการจะพบนายน้อยเป่ย กรุณาติดต่อนัดหมายมาล่วงหน้าค่ะ”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่ดูสุดแสนจะภาคภูมิใจบนใบหน้าของหญิงสาวในชุดกี่เพ้า ฉีเล่ยก็พลันคิดกับตัวเองขึ้นว่า ตราบใดที่มีความสามารถด้านนี้อย่างแท้จริง เขาก็สามารถจะหาผลกำไรจากทักษะการแพทย์แผนจีนที่มีอยู่ได้อย่างมหาศาล

ดั่งคำกล่าวที่ว่า เป็นนักปราชญ์นั้นอดตาย แต่หมอที่ไหนบ้างซูบผอม?

ฉีเล่ยได้เอ่ยถามหญิงสาวต่อว่า

“แล้วคุณคิดว่า ทักษะทางการแพทย์แผนจีนด้านไหนที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด?”

“แน่นอนว่าต้องเป็นด้านการฝังเข็ม ท่านพ่อของนายน้อยเป่ยได้รับการขนานนามว่า เทพเข็มเทวะ ส่วนท่านปู่ของนายน้อยยังเคยฝังเข็มให้กับบุคคลสำคัญระดับประเทศมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน”

ฉีเล่ยกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอท้าประลองการฝังเข็มกับเขาแล้วกัน นี่ถือว่าผมออกมมือให้สุดๆแล้วนะ หวังว่าเขาจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง…”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้าจ้องมองฉีเล่ยด้วยสายตาว่างเปล่า และท้ายที่สุดเธอก็ทนรักษามารยาทไว้ไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง

“นี่คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เหอะ เหอะ นายน้อยเป่ยไม่มาเสียกับคนไร้สาระอย่างคุณแน่ เชิญกลับไปได้แล้ว”

จากนั้นหญิงสาวก็หันขวับเดินกลับเข้าไปต้อนรับแขกคนอื่นต่อทันที และปล่อยฉีเล่ยไว้ที่หน้าประตูแบบนั้น

ฉีเล่ยจึงร้องตะโกนไล่หลังไปว่า

“คุณผู้หญิงลองโทรถามนายน้อยเป่ยของคุณดูสิครับ เขาเป็นฝ่ายเชิญผมให้มาที่นี่เอง ถ้าไม่เชื่อก็ลองโทรถามเขาดูได้เลยครับ”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้าปรายหางตามามองฉีเล่ย พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน

“ในเมื่ออีกฝ่ายเชิญมา ก็ควรจะต้องให้เบอร์ไว้กับคุณด้วยจริงไหมคะ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหานายน้อยเองล่ะคะ?”

ก็เพราะฉันต้องการให้เธอพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเองยังไงล่ะถึงได้บอกไปแบบนั้น นี่เธอโง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่?

ในเมื่อพูดแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ฉีเล่ยจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดเบอร์ที่ปรากฏอยู่ในนามบัตรที่เป่ยจ้าวหยวนได้เคยให้ไว้

“ฮัลโหล นั่นใครพูด?”

สุ้มเสียงเคร่งขรึมดังขึ้นจากปลายสาย และอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเป่ยจ้าวหยวน

“ผมเอง ฉีเล่ย”

เมื่อได้ยินว่าเป็นฉีเล่ย เสียงของเขาพลันแปรเปลี่ยนเจือน้ำเสียงดูถูกขึ้นมาทันที

“ฉีเล่ย ที่แท้ก็นายนี่เอง ว่าไง? อยากมาเจอฉันให้ขายหน้าเล่นหรือไง?”

ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงที่สุดแสนจะดูถูกดูแคลนนั่นเลยสักนิด และตอบอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ตอนนี้ผมอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเป่ยแล้ว”

“….”

ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็กดตัดสายทิ้งทันที

ราวหนึ่งนาทีต่อมา ฉีเล่ยก็เห็นเป่ยจ้าวหยวนก้าวเดินออกมา

เวลานี้เขาอยู่ในชุดไทเก๊กสีเหลืองทองสุกสว่าง สวมรองเท้าผ้าใบทรงจีนสีดำ

สไตล์การแต่งตัวของเป่ยจ้าวหยวนดูเหมือนปรมาจารย์ผู้น่ายกย่องอย่างแท้จริง ถ้าเขาสวมชุดนี้ออกไปเดินเล่นข้างนอก คงจะทำให้หลายๆคนต้องรู้สึกยำเกรงบ้างไม่มากก็น้อย

ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกว่า ตัวเขาเองคงต้องปรับปรุงแก้ไขเรื่องการแต่งตัวบ้างแล้ว เพราะน่าแปลกใจเช่นกันที่หลายต่อหลายคนมองว่าเขาไม่เหมือนแพทย์แผนจีนเลยสักนิด นี่อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็เป็นได้

เป่ยจ้าวหยวนไม่ได้ออกมาแค่ลำพัง แต่ยังมีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวอีกจำนวนนับสิบที่ติดตามมาทางด้านหลัง ผู้ชายล้วนอยู่ในชุดไทเก๊กสีดำ ส่วนผู้หญิงจะเป็นชุดสีขาว และมีอักษรจีนปักอยู่บริเวณหน้าอกว่า สำนักตระกูลเป่ย สิ่งนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมจิตใจของทุกคนให้เป็นหนึ่ง หรือก็คือสัญญลักษณ์ที่ทุกคนสุดแสนจะภาคภูมิใจนั่นเอง

ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเป่ยจ้าวหยวน แต่การที่พวกเขาเดินตามหลังอีกฝ่ายมาแบบนี้ ถ้าให้เขาคาดเดาก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ลูกหา

เป่ยจ้าวหยวนเหลือบมองฉีเล่ยพร้อมกับยิ้มเหยียดหยัน

เขาไม่แม้แต่จะเดินลงบันไดตรงเข้าไปใกล้ฉีเล่ยด้วยซ้ำ แต่กลับยืนเอาสองมือไขว้หลังด้วยสีหน้าท่าทางหยิ่งผยอง พร้อมกับร้องตะโกนบอกไปว่า

“ฉีเล่ย คิดไม่ถึงเลยว่านายจะกล้ามาหาฉันถึงที่นี่ ขอชื่นชมในความกล้าหาญของนาย แต่เอาล่ะ ในเมื่อมาหากันถึงที่นี่ ฉันก็จะเผยธาตุแท้ที่แสนจอมปลอมของนายให้ทุกคนเห็น ถงซีจะได้ตาสว่างซะที!”

ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยปากตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มและหัวเราะเท่านั้น

จากนั้นเขาก็พลันยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่แผ่นป้ายไม้สลักขนาดใหญ่ ที่แขวนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเป่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ป้ายไม้สลักอันนี้ไม่เลวเลยนะ ผมค่อนข้างถูกใจมากทีเดียว”

เป่ยจ้าวหยวนเงยหน้าขึ้นมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่าย พบว่าฉีเล่ยกำลังชี้ไปที่ป้ายชื่อซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลเป่ย จึงได้กล่าวเย้ยหยันออกไปว่า

“ทำไม? นี่นายรู้จักที่มาของมรดกตระกูลเป่ยชิ้นนี้หรือเปล่า? แต่ถ้าให้ฉันเล่า นายฟังแล้วอาจจะตกใจตายไปเลยก็ได้นะ”

ฉีล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“ขนาดนั้นเชียว? งั้นก็ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ ผมเองชักอยากจะตกใจตายแล้ว”

“…”

เป่ยจ้าวหยวนปิดปากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่แผ่นป้ายไม้สลักดังกล่าว และเริ่มเล่าประวัติของมันให้ฉีเล่ยฟัง

“มรดกชิ้นนี้คือป้ายประจำตระกูลเป่ยของเรา ทำจากไม้จันทร์แดงอายุพันปี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความหายาก ส่วนอักษรจีนทั้งสามตัวที่สลักจารึกบนไม้จันทร์แดงพันปีนั้น ได้รับการสลักจากมือของหวู่เฉินเส้า ช่างฝีมือแห่งวังหลวงในสมัยราชวงศ์ฮั่น ภายใต้คำสั่งของปฐมกษัตริย์ฮั่นเกาจู่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศสูงสุดของตระกูลเป่ยเรา”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“อืมม ประวัติไม่ธรรมดาเลยสินะ?”

เป่ยจ้าวหยวนเอ่ยตอบด้วยท่าทีหยิ่งยโสราวกับคุณชายผู้สูงศักดิ์

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปว่า

“งั้นมาเดิมพันกันหน่อยไหมล่ะ ถ้าคุณแพ้จะต้องยกป้ายประจำตระกูลนี้ให้กับผม”

เป่ยจ้าวหยวนระเบิดเสียงหัวเราะเยาะลั่น พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกลับไปว่า

“แล้วถ้านายแพ้ล่ะ?”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบ

“ถ้าฉันแพ้ก็คือแพ้ แต่ถ้าคุณแพ้ก็ต้องยกป้ายนี้ให้ผม”

เป่ยจ้าวหยวนแทบอาเจียนพุ่งพรวดออกมาเป็นเลือดสด เขายกมือขึ้นชี้หน้าก่นด่าฉีเล่ยทันที

“ไอ้สวะสกุลฉี! นี่แกเห็นคนอื่นโง่นักรึไง!? อย่ามาพูดจาเล่นลิ้นต่อหน้าฉันแบบนี้! ถ้าแกแพ้ก็ไสหัวออกไปจากเมืองนี้ซะ! แล้วห้ามมายุ่งกับถงซีอีกตลอดไป!”

ฉีเล่ยส่ายหัวพร้อมกับโต้แย้งทันที

“เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า? ผมไม่เคยไปยุ่งอะไรกับเธออยู่แล้ว แต่เธอต่างหากที่ชอบมายุ่งกับผม เรื่องแบบนี้จะมาโทษผมไม่ได้นะ”

เป่ยจ้าวหยวนไม่สามารถทนฟังถ้อยคำเหล่านี้ได้อีกต่อไป จึงตะคอกเสียงดังสวนกลับไปทันที

“นี่แก! ฟังฉันนะ! ไม่ว่าแกจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับถงซี แต่ถ้าแกแพ้ฉันขึ้นมา แกต้องอย่ากลับมาให้เธอเห็นหน้าอีก!”

“อะไรกัน? ผมก็แค่อธิบายให้ฟังเฉยๆ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดใส่กันเลยนี่นา แต่เอาเถอะ เอาเถอะ คุณต้องการแบบนั้นก็แล้วแต่คุณเลย ”

ดูเหมือนว่าเป่ยจ้าวหยวนจะหลงกลเขาเข้าอย่างจัง ฉีเล่ยไม่สนใจหรอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่ถงซีหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจอย่างมากกก็คือ ป้ายประจำตระกูลเป่ยต่างหาก นั่นเพราะเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณขุมใหญ่ที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ภายในนั้นได้อย่างชัดเจน และเขาก็ต้องการมันมาไว้ในครอบครองอย่างมาก

เป่ยจ้าวหยวนรู้สึกว่า ต่อให้ก่อสงครามน้ำลายแบบนี้ต่อไปแบบนี้ก็ไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรขึ้นมา จึงได้ก่นตอบเสียงเย็นกลับไปว่า

“ถ้าแกจะมาเล่นลิ้นกับฉันก็เชิญกลับไปซะ แต่ถ้าต้องการจะประชันฝีมือกับฉันจริงๆ ก็ตามฉันเข้ามาในบ้าน!”

บรรดาลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนต่างมองฉีเล่ยด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ก่อนจะหันหลังเดินตามเป่ยจ้าวหยวนกลับเข้าไปด้านใน

ฉีเล่ยได้แต่อมยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับเดินตามคนพวกนั้นเข้าไปในตัวอาคารเล็กๆที่อยู่ด้านใน และภายในนั้นก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรนานาชนิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset