ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 143 รักษาในชั่วอึดใจ!

ตอนที่143 รักษาในชั่วอึดใจ!

การฝังเข็มก็เปรียบเสมือนศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่ง หรือก็คือแก่นสารแห่งวัฒนธรรมจีน ชาวจีนทุกคนล้วนมีความใฝ่ฝันและกระตือรือร้นที่จะศึกษาศาสตร์ทั้งสองแขนงนี้กันทั้งนั้น

สายเลือดของพวกเขาตั้งแต่ยุคบรรพกาลยังคงไหลเวียนไม่จางหาย จึงติดนิสัยชอบสำรวจเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ หรือจะในศัพท์ปัจจุบันจะเรียกว่า การใช้จิตวิทยาเข้ามาเป็นองค์ประกอบเพื่อกำกับร่างกายและจิตใจ ยกตัวอย่างเช่น คงจะเคยได้ยินเรื่องที่คนถูกกาน้ำร้อนลวกจนเป็นแผลพุพอง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น กาน้ำร้อนกลับไม่ได้ร้อนแต่อย่างใด บาดแผลทั้งหมดล้วนเกิดจากความคิดและจิตใจทั้งสิ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายจนเกิดอาการบาดเจ็บจริงๆ

การฝังเข็มเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง เป็นการรักษาโรคร้ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัด ไม่ต้องใช้ยา ใช้เพียงแค่แท่งด้วยเข็มเล่มบางแทงเข้าไปยังจุดสำคัญที่เป็นต้นสายปลายเหตุของโรคเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่า กระบวนการรักษาเพียงแค่นี้ ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคภัยได้เลย แล้วมีใครบ้างที่จะไม่รู้สึกตื่นเต้นและสนใจกับเรื่องพวกนี้?

ผ่านไปหนึ่งราวชั่วโมง ในที่สุดกระบวนการรักษาก็ได้เสร็จสิ้นลง เป่ยจ้าวหยวนยกมือทั้งสองข้างขึ้น และค่อยๆถอนคมเข็มทั้งห้าออกมาอย่างระมัดระวัง

เป่ยจ้าวหยวนปาดเหงื่อบนหน้าผากเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า

“ใส่เสื้อกลับได้แล้วครับ”

ในช่วงเวลานี้ คนไข้ที่เพิ่งเข้ารับการฝังเข็มไป จุดด่านประตูทั้งห้าทั่วแผ่นหลังยังไม่ปิดสนิทดี จึงกล่าวได้ว่าช่วงระยะเวลานี้ คนไข้มีโอกาสเสี่ยงที่จะรับลมธาตุหยินเข้าไปได้ง่าย

เป่ยจ้าวหยวนจึงเตรียมชาร้อนมาให้เขาจิบ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย พร้อมกับเอ่ยถามคนไข้ของเขาว่า

“ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ?”

ชายร่างเตี้ยลุกขึ้นยืนพลางบิดเอวเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่แล้วครับ”

“เอาล่ะ คราวนี้ก็ลองลุกขึ้นยืนดูครับ ไม่ต้องกลัวนะ ขอแค่ระยะนี้ไม่ออกกำลังกายหนัก ก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติแล้วครับ”

ชายร่างเตี้ยลุกขึ้นยืนแล้วลองเดินไปมารอบห้องอยู่สักพัก เขาถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดัง

“สุดยอดเลยครับหมอ! เอวของผมหายปวดแล้ว เข่าก็ด้วย! นี่มันน่าทึ่งจริงๆ! แล้วไม่ใช่แค่ไม่รู้สึกเจ็บเท่านั้นนะครับ แต่ผมยังรู้สึกกระปี้ประเปร่าขึ้นเยอะเลย! หมอเป่ยครับ คุณนี่มันยังกับเซียนมาจุติเลยนะครับเนี่ย!”

สำหรับโรคแบบนี้ โดยปกติเป่ยจ้าวหยวนจะมีแผนรักษาแบบระยะยาว พูดง่ายๆก็คือเลี้ยงไข้นั่นเอง เพื่อจะได้ยืดเวลาการรักษาและหาผลประโยชน์เพิ่มนั่นเอง ในขณะเดียวกัน คนไข้ก็จะรู้สึกว่าตนเป็นโรคที่รักษาให้ขาดได้ยาก ดังนั้นไม่เพียงจะได้เงินเพิ่ม แต่เขายังได้ชื่อเสียงมากขึ้นอีกด้วยหลังจากที่ทำการรักษาคนไข้พวกนี้จนหายขาด

แต่วันนี้แตกต่างกันออกไป เขาจำเป็นต้องแสดงใช้ทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศที่สุดออกมาต่อหน้าฉีเล่ย โชคดีที่คนไข้ของเขาเป็นชายร่างเตี้ยคนนี้พอดี เขาเคยวินิจฉัยโรคให้ก่อนหน้านี้จึงได้รู้รายละเอียดของอาการเป็นอย่างดีแล้ว

“ในช่วงสามวันนี้ พยายามลดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนนะครับ ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายหนักอย่างเช่นการไปฟิตเนส หลังจากนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ”

ชายร่างเตี้ยคนนั้นรีบกล่าวขอบคุณหมอเป่ยทันที

“ขอบคุณมากครับหมอเป่ย ขอบคุณมากจริงๆครับ”

ในฐานะผู้ชายด้วยกัน เป่ยจ้าวหยวนกล้ามากพอที่จะพูดเรื่องบนเตียงออกไปตรงๆแบบนั้น และทันทีที่การรักษาเสร็จสิ้น ทุกคนต่างปรบมือให้ด้วยความชื่นชม

เป่ยจ้าวหยวนดูพึงพอใจอย่างมากกับผลลัพธ์ที่ได้ เขาหันหลังกลับไปมองฉีเล่ยพร้อมกับพูดจาเสียดสีเหน็บแนม

“หมอฉี ตอนนี้พวกเราจะเป็นฝ่ายขอรับชมทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศของคุณบ้างแล้วล่ะครับ? ผมจะให้คุณยืมใช้เข็มเงินแรกอรุณที่ผมใช้เป็นประจำก็แล้วกัน”

ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยตอบกลับไปในทันที เขาจัดการพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้น พร้อมกับหันไปบอกลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนว่า

“ขอเข็มกล่องใหม่ ผมไม่อยากใช้ของร่วมกับคนอื่น”

อันที่จริงแล้ว ฉีเล่ยเองก็มีเข็มทองหางหงส์พกติดตัวอยู่เสมอ แต่เข็มนั่นมีค่าเกินกว่าที่จะหยิบออกมาอวดพวกปลายแถวแบบนี้

คำพูดของฉีเล่ยทำให้เป่ยจ้าวหยวนและบรรดาลูกศิษย์ถึงกับใบหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที

‘ผมไม่ใช้ของร่วมกับคนอื่น’

เจตนาชัดเจนว่า อีกฝ่ายกำลังดูถูกเป่ยจ้าวหยวน

แต่เพื่อให้อีกฝ่ายได้แสดงฝีมือการฝังเข็มออกมาให้เห็นโดยเร็ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้ขยิบตาให้ลูกศิษย์คนหนึ่งวิ่งไปหยิบเข็มกล่องใหม่มาให้ ลูกศิษย์คนนั้นวิ่งออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะกลับมาพร้อมยื่นกล่องเข็มให้กับฉีเล่ย

ฉีเล่ยยื่นมืออกไปรับ จากนั้นจึงได้เปิดกล่องหยิบเอาเข็มขนาดเจ็ดนิ้วขึ้นมาทันที

หลังจากทำการฆ่าเชื้อเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว พร้อมกับร้องบอกไปตามตรงว่า

“ผิวพรรณค่อนข้างซีดเซียว คงจะท้องผูกติดต่อกันอย่างน้อยเจ็ดวันแล้วใช่ไหมครับ? เอาล่ะ ถอดเสื้อออกแล้วนอนลงได้เลย”

ไม่มีการพูดคุยหรือสอบถามอาการความเป็นมาของคนไข้แต่อย่างใด แต่ฉีเล่ยก็สามารถบอกอาการของคนไข้ และวินิจฉัยโรคของเขาได้โดยเพียงแค่สังเกตสีหน้าและร่างกาย หากมีปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอยู่ตรงนี้ พวกเขาเหล่านั้นคงให้คำตอบได้ทันทีว่า ทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ยเหนือกว่าเป่ยจ้าวหยวนมาก

“แล้วรักษาได้ไหมครับ? อันที่จริงผมมาหาหมอเป่ย…”

ชายหนุ่มคนนั้นเห็นว่า ชุดเสื้อผ้าที่ฉีเล่ยสวมใส่อยู่ดูเป็นนักธุรกิจมากกว่าจะเป็นหมอรักษาคนไข้ มิหนำซ้ำยังไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนด้วย จึงรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะใช่หมอของคลินิกตระกูลเป่ยแน่ และที่สำคัญ อีกฝ่ายดูเหมือนจะอายุอานามไล่เลี่ยกับตนเอง และยังดูเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอยู่เลย

ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า

“เขาไม่เก่งเท่าผมหรอกน่า”

บางทีชายหนุ่มคนนี้อาจจะติดเชื้อบ้ามาจากรอยยิ้มของฉีเล่ย ประกอบกับการที่ฉีเล่ยสามารถวินิจฉัยอาการของเขาได้เพียงแค่มองด้วยตา จึงได้แต่พยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“เอาล่ะ ผมจะยอมเป็นหนูทดลองให้คุณหมอก็ได้ แต่อย่าให้เจ็บมากล่ะครับ”

ฉีเล่ยตบไหล่คนไข้ไปหนึ่งที เขาพยายามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็สบายใจมากขึ้น

“ไม่ต้องห่วง”

หลังที่ชายหนุ่มถอดเสื้อเชิ้ตออกและนอนคว่ำหน้าบนเตียงแล้ว ฉีเล่ยก็เริ่มใช้คมเข็มเล่มยาวแทงเข้าไปยังจุดซานยิน ฉีไห่ และกวนหยวนโดยใช้สามเข็มทิ่มทะลวงติดต่อกัน!

จุดที่สี่ จุดที่ห้า จุดที่หก….

หลังจากฝังเข็มตามจุดบนทรวงไปกว่าสิบเข็มติดต่อกันด้วยความเร็วประดุจสายฟ้าเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนด ฉีเล่ยจึงได้จัดการหมุนเข็มเบาๆ พร้อมถอนออกอย่างชำนิชำนาญ

เมื่อถอนเข็มออกจนหมดและเก็บเข้ากล่องดังเดิมแล้ว ฉีเล่ยจึงได้บอกกับคนไข้อย่างใจเย็นว่า

“เอาล่ะ ใส่เสื้อกลับได้แล้ว”

ชายหนุ่มคนนั้นได้แต่เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

“เสร็จแล้วเหรอครับหมอ? ผมยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย?”

แต่ฉีเล่ยกลับไม่ปริปากตอบแต่อย่างใด ในเวลานี้เองจู่ๆเขาก็หยิบผ้าปิดปากขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงแจกจ่ายให้กับคนไข้คนอื่นๆที่อยู่ภายในห้องด้วย ปากก็พึมพำออกมาว่า

“3..2..1…”

ปู๊ดดดด!

ก่อนที่ฉีเล่ยจะนับถอยหลังเสร็จสิ้นดี จู่ๆก็มีเสียงตดดังลั่นไปทั่วห้อง ชั่วขณะนั้นเองใบหน้าของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม รีบกระโดดลงจากเตียง สับฝีเท้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปในสภาพที่ยังไม่ใส่เสื้อทันที

ในเวลานี้ ภายในห้องตรวจราวกับว่ามีคนทิ้งระเบิดชีวภาพชุดใหญ่ลงกลางฝูงชน ทุกคนรีบใส่ผ้าปิดปากที่ฉีเล่ยแจกให้ทันที เพราะเกรงว่า หากต้องทนสูดดมกลิ่นเหม็นเน่าไปนานกว่านี้ พวกเขาอาจจะเป็นลมหมดสติก่อนจะได้รักษากันพอดี กลิ่นตดของชายหนุ่มคนเมื่อครู่มีอานุภาพรุนแรงราวกับไข่เน่าพันปีเลยทีเดียว

โชคยังดีที่ในหมู่ลูกศิษย์ของเป่ยจ้าวหยวนยังพอมีคนฉลาดอยู่บ้าง พวกเขารีบวิ่งออกไปเปิดหน้าต่างทุกบานภายในห้อง เพื่อระบายกลิ่นเหม็นเน่านั้นออกไป

หลังจากเปิดให้ลมโกรกอยู่ประมาณ2-3นาที สภาพภายในห้องตรวจจึงดีขึ้นมาก ฉีเล่ยเดินไปหาชายอีกคนที่นั่งรออยู่บนโซฟา พลางหยิบเข็มอีกเล่มขึ้นมาจากกล่อง ขณะที่กำลังฆ่าเชื้อเข็มดังกล่าว เขาก็กล่าวขึ้นว่า

“องศาการวางคอเอียงไปทางซ้ายประมาณสามถึงสี่องศา น่าจะเกิดจากอาการคอเคล็ด”

พูดจบ ฉีเล่ยนก็แทงเข็มในมือลงไปบนจุดต้าจุยและเจียนเจียงทั้งสองจุดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ถอนเข็มหนึ่งออกมา พลางหยิบเข็มใหม่อีกเล่มทะลวงเข้าจุดเฟิงจี้ ใช้หัวแม่มือคลึงบริเวณต้นคอเล็กน้อยเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า

“เรียบร้อย”

ฉีเล่ยยังคงรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เริ่มกระบวนการรักษาจนเสร็จสิ้น ล้วนกินเวลาเพียงแค่อึดใจเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีท่าทีลังเลปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

ในชั่วพริบตาเดียว คนไข้ทั้งแปดคนที่กำลังนั่งรอการรักษาจากเป่ยจ้าวหยวนอยู่นั้น ก็ล้วนได้รับการรักษาจากฉีเล่ยจนหายขาด!

หรือพูดง่ายๆก็คือว่า ฉีเล่ยใช้เวลารักษาคนไข้แปดคนจนหายดี ยังไม่นานเท่ากับเป่ยจ้าวหยวนที่ทำการฝังเข็มคนไข้เพียงหนึ่งคน!

“มีวิธีรักษาแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“นี่ได้ฝังเข็มจริงๆรึเปล่าเถอะ?”

“เผลอๆปลายเข็มยังไม่แทงเข้าผิวหนังเลยมั้ง? คนไข้พวกนี้จะไม่เป็นอะไรจริงๆน่ะเหรอ?”

ฉีเล่ยบรรจงฆ่าเชื้อทำความสะอาดแต่ละคมเข็มก่อนจะเก็บเข็มเหล่านั้นกลับลงกล่องไป เขายักไหล่เอ่ยตอบอย่างไม่แยแสว่า

“จะได้ผลหรือเปล่า ก็ลองถามคนไข้เองสิ”

ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มที่ก่อนหน้าเพิ่งสับฝีเท้าวิ่งตรงไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วนั้น ตอนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าประตูห้องตรวจ เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขใจ

“สุดยอดไปเลย! สุดยอดจริงๆครับหมอ! ผมไม่เคยมีความสุขเท่าวันนี้มาก่อนเลย…”

ดูท่าของเสียที่ค้างคาอยู่ในลำไส้กว่าหนึ่งอาทิตย์ คงจะถูกปลดปล่อยจนหมดไส้หมดพุงแล้ว

“โอ้? เหลือเชื่อ! คอ…คอของฉันหายเคล็ดแล้ว ไม่เจ็บเลยแฮะ”

ฉีเล่ยเหลือบมองเป่ยจ้าวหยวนเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ว่าไง? เห็นกับตารึยัง….ทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศของผม?”

เป่ยจ้าวหยวนบ่นพึมพำกับตัวเองเสียงอ่อน

“นี่…นี่เท่ากับเสมอกัน…”

“อาจารย์ หมอนี่ควรด้อยกว่าอาจารย์ไม่ใช่เหรอ? อาจารย์ใช้เวลาฝังเข็มเกือบชั่วโมงต่อคน แต่เขากลับใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีต่อคนไข้แปดคน…”

“ใช่แล้ว! นี่มันเรื่องอะไรกัน…”

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของบรรดาลูกศิษย์เข้า ใบหน้าของเป่ยจ้าวหยวนพลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันที พร้อมกับตะคอกลั่นด้วยความหงุดหงิดรำคาญ

“หุบปาก!”

ลูกศิษย์ทั้งหมดของเป่ยจ้าวหยวนได้แต่หุบปากเงียบอย่างว่าง่าย และไม่มีใครกล้าพูดจาเพ้อเจ้ออีกเลย

ฉีเล่ยเขย่ากล่องเข็มในมือพลางหรี่ตามองเป่ยจ้าวหยวน

“คิดว่าเราเสมอกันจริงๆงั้นเหรอ?”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset