ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 146 สุดยอด

ตอนที่146 สุดยอด

“แต่…”

ฉีเล่ยรีบกล่าวแทรกขึ้นทันที

ถึงอย่างนั้นเป่ยฉวนเทียนก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ปฏิเสธใดๆ และเป็นฝ่ายชิงพูดขัดจังหวะขึ้นว่า

“คนของตระกูลเป่ยพ่ายแพ้ในการประลองฝังเข็ม ป้ายประจำตระกูลที่เป็นสัญลักษณ์ของเข็มเทวะก็ไร้ความหมาย เธอเอาชนะจ้าวหยวนได้ ย่อมสมควรได้รับมันไป”

แต่ทันใดนั้นแววตาของเป่ยฉวนเทียนพลันเปล่งประกายวาบขึ้นทันใด ป่าวประกาศเสียงดังกึกก้องว่า

“แต่ภายในสามวันหลังจากนี้ ฉันจะเดินทางไปท้าประลองกับเธอถึงที่บ้าน เพื่อเดิมพันขอป้ายประจำตระกูลกลับคืนมา ถ้าฉันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เธอสามารถขออะไรฉันก็ได้หนึ่งข้อ แต่ถ้าฉันชนะ ฉันจะขอทวงคืนป้ายประจำตระกูลนี้กลับคืน”

คำท้าของชายชรากลับกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่กระตุ้นจิตวิญญาณนักสู้ของฉีเล่ยให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เขายิ้มและตอบรับคำท้าทันที

“ได้เลยครับ! ผมจะรออาวุโสเป่ย อยากจะลองประชันฝีมือกับปรมาจารย์เข็มเทวะมานานแล้วเหมือนกันครับ!”

เป่ยฉวนเทียนโบกมือปฏิเสธพร้อมตอบกลับไปว่า

“ไม่ ไม่ ตอนนี้ตำแหน่งปรมาจารย์เข็มเทวะคือเธอต่างหากล่ะ ฮ่าฮ่า…”

หลังจากพูดจบ ชายชรากับเด็กหนุ่มก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างสนุกสนาน

เป่ยฉวนเทียนไม่เพียงจะเต็มใจให้ถอดป้ายเท่านั้น แต่เขายังช่วยฉีเล่ยเรียกรถบรรทุกมาเตรียมย้ายของให้อีกด้วย

ไม่มีทางแน่นอนที่แท็กซี่จะขนป้ายที่ทั้งหนักและใหญ่ขนาดนี้ออกไปได้ ส่วนจะให้แบกไปก็อย่าได้หวัง

เมื่อเห็นว่าป้ายประจำตระกูลถูกถอดออก พนักงานทุกคนในคลินิกต่างแห่กันออกมามุงดู รวมไปถึงบรรดาคนไข้อีกมากหน้าหลายตา เวลานี้ฝูงชนต่างยืนเบียดเสียดกันอยู่หน้าทางเข้าตำหนักการแพทย์ตระกูลเป่ย

ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าคนงานกลุ่มหนึ่ง แผ่นไม้จันทร์แดงสลักขนาดใหญ่ก็ถูกขนขึ้นรถบรรทุกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมห่อกันกระแทกอีกชั้นเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างการขนส่ง

ฉีเล่ยเดินขึ้นรถบรรทุกไปเตรียมจะกลับบ้านสกุลหลี่ ก่อนจากกันไปเขาได้ชะโงกหน้าออกไปโบกมือร่ำลาเป่ยฉวนเทียน พร้อมกับร้องตะโกนบอกด้วยรอยยิ้มว่า

“อาวุโสเป่ย แล้วผมจะรอคุณที่บ้านนะครับ!”

เป่ยฉวนเทียนพยักหน้ายิ้มตอบอย่างจริงใจ

“ฮ่าฮ่า…เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ ฉันจะตั้งหน้าตั้งตาคอยดูวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของเธอ”

ฉีเล่ยหันไปพยักหน้าให้เป่ยหยวนเทียนเล็กน้อย ก่อนที่รถบรรทุกจะพุ่งทะยานออกไป

เมื่อรถบรรทุกคันนั้นแล่นหายไปท่ามกลางการจราจรที่พลุกพล่าน เป่ยจ้าวหยวนพลันเงยหน้าขึ้นมองที่ประตูเรือนตำหนักแพทย์ตระกูลเป่ย ซึ่งเวลานี้ไร้ซึ่งป้ายแห่งเกียรติภูมิ เหลือไว้เพียงแค่เป็นชายคาอันว่างเปล่า ภายในใจของเขาพลันปรากฏช่องโหว่ขึ้นอย่างน่าใจหาย

“คุณปู่ครับ ผมขอโทษ ผมจะหาวิธีซื้อแผ่นป้ายนั้นกลับคืนมาเอง”

เป่ยฉวนเทียนฟังแล้วถึงกับต้องเหลียวมองหลานชายพลางส่ายหัวไปมา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“จ้าวหยวน แกไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ตอนนี้แกยังตามหลังลูกเขยสกุลเฉินอยู่มาก”

ภายในใจของเป่ยจ้าวหยวนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“คุณปู่ เพราะแบบนั้นไง ผมเลยต้องใช้วิธีนี้…”

หนึ่งพันย่อมไม่เท่าหนึ่งหมื่น เขาไม่ได้เก่งกว่าอีกฝ่ายเลย และตอนนี้ก็ยังรู้สึกแย่ เป็นเพราะเขาไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จึงได้กล้านำป้ายประจำตระกูลไปเดิมพันแบบนั้น

เป่ยฉวนเทียนกล่าวน้ำเสียงเย็นชาใส่ว่า

“ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ แต่ที่ผิดหวังนั้นไม่ใช่เรื่องที่แกด้อยกว่าอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะแกคิดจะใช้เงินเพื่อซื้อป้ายประจำตระกูลกลับคืนมาต่างหาก”

เป่ยจ้าวหยวนเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย

“คุณปู่…อีกไม่นานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็คงจะแพร่สะพรัดไปทั่วปักกิ่ง ชื่อเสียงของตระกูลเป่ยเราที่สั่งสมมานาน คงจะต้องพังทลายลงชั่วข้ามคืนแน่ แล้วที่ผมคิดจะใช้วิธีนี้ก็เพื่อตระกูลเป่ยของเรา…”

“จ้าวหยวน…”

เป่ยฉวนเทียนไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เขาชิงพูดแทรกขึ้นทันที

“ต่อให้แกซื้อป้ายประจำตระกูลกลับมาได้ แต่ความภาคภูมิใจและความน่าเชื่อถือที่ผ่านมาของตระกูลเป่ย แกจะสามารถนำมันกลับคืนมาได้ไหม? แกจะยังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่รึเปล่าเมื่อได้เงยหน้าขึ้นมองป้ายนี้ ถ้าไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาไว้ได้ ก็สู้ยกให้คนอื่นไปเถอะ เอาแต่ยึดติด ที่แขวนอยู่หน้าประตูบ้าน มันก็แค่ป้ายไม้แผ่นหนึ่งเท่านั้น ยังจะเหลือคุณค่าอะไรอยู่อีกล่ะ?”

คล้อยหลังพูดจบ ชายชราก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนถึงตอนนี้หลานชายของเขายังไม่เข้าใจอีกว่า ความสำเร็จทั้งหมดที่ประสบมาก่อนหน้าคงจะต้องสิ้นสุดลงตรงนี้ อนาคตอันสดใสก็คงเป็นอันจบลงเช่นกัน คนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วไม่รับฟังใครเช่นนี้จะเจริญต่อไปได้ยังไง?

เป่ยจ้าวหยวนเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองหน้าชายชราแม้สักนิด หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอ่ยขึ้นว่า

“คุณปู่ ที่ผ่านมาผมคิดผิดเอง”

เป่ยฉวนเทียนถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวปลอบว่า

“สำหรับแกที่อายุแค่นี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย นับเป็นโชคดีด้วยซ้ำที่ประสบปัญหาตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น ดังคำกล่าวที่ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก หวังว่าแกจะนำบทเรียนในครั้งนี้กลับไปคิดทนทวน และแก้ไขเพื่ออนาคตของตัวแกเองนะ”

“ครับคุณปู่ ผมจะตั้งใจศึกษาหาความรู้ และเปิดใจมากกว่านี้ครับ”

……

ภายใต้การนำทางของฉีเล่ย รถบรรทุกก็แล่นมาถึงหน้าบ้านสกุลหลี่

ฉีเล่ยเปิดประตูกระโดดลงจากรถ และสั่งให้คนงานจำนวนหนึ่งช่วยกันขนป้ายไม้จันทร์แดงลงมา ก่อนจะนำเข้าไปเก็บในบ้านทันที

หลี่ฮั่วเฉินเดินออกมาจากหลังบ้าน พลันเห็นคนงานกลุ่มนั้นกำลังเคลื่อนย้ายแผ่นอะไรสักอย่างซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าอยู่ก็ตกอกตกใจ จนถึงกับต้องร้องตะโกนถามด้วยความสงสัย

“นั่นแผ่นป้ายอะไรน่ะ?”

หลังจากเอ่ยถามออกไป หลี่ฮั่วเฉินก็ลองยื่นมือเข้าไปสัมผัสเนื้อไม้ดู แต่แล้วก็ถึงกับต้องร้องอุทานซ้ำสอง

“โอ้! นี่มันไม้จันทร์แดงนี่! อายุน่าจะไม่น้อยเลย ของดี! ของดี!”

ฉีเล่ยสั่งให้พวกคนงานยกขึ้นไปแขวนบนผนังด้านหนี่งของบ้าน หลังจากจ่ายค่าขนส่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็จงใจพูดทิ้งท้ายและทำสีหน้าท่าทางให้ดูลึกลับมากขึ้น

“อาวุโสหลี่ รู้ไหมครับว่าผมได้ไม้แผ่นนี้มาจากไหน?”

“หื้อ? จากไหนล่ะ? บอกฉันหน่อยสิ”

หลี่ฮั่วเฉินถึงกับไม่กล้าดึงผ้าคลุมแผ่นป้ายออกมา ยิ่งได้ยินฉีเล่ยพูดออกมาแบบนั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า สิ่งนี้มีความพิเศษอย่างมาก

คนเรายิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบสะสมของเก่ามากขึ้นเท่านั้น จะว่าไป เมืองปักกิ่งนี่ล่ะคือแหล่งสะสมของเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดในจีน หลี่ฮั่วเฉิงที่เห็นเพียงปราดตาเดียวก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าสิ่งนี้ต้องเป็นของล้ำค่าอย่างมาก

“ป้ายนี้ทำจากไม้จันทร์แดงอายุนับพันปี อีกทั้งยังแกะสลักโดยช่างฝีมือชื่อดังในสมัยราชวงศ์ฮั่น ภายใต้คำสั่งของปฐมกษัตริย์ฮั่นเกาจู่ ถ้านำแผ่นไม้นี้ไปขายพวกเราคงใช้ชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองได้ทั้งชาติ”

“มีมูลค่ามากขนาดนั้นเชียว!?”

หลี่ฮั่วเฉินร้องอุทานลั่นด้วยความตกใจ และเอ่ยถ่ามต่อว่า

“แล้วตกลงเธอไปได้มันมาจากไหนกันล่ะ?”

ฉีเล่ยยิ้มตอบแค่ว่า

“ผมไปท้าประลองฝีมือด้านการแพทย์กับคนอื่นมา เมื่อชนะก็เลยได้แผ่นไม้นี้มาเป็นรางวัล”

หลี่ฮั่วเฉินอดทึ่งไม่ได้ หลังจากเงียบอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก็อดที่จะร้องถามต่อไม่ได้

“แล้วนี่เธอไปประลองกับใครมาล่ะ?”

ฉีเล่ยไม่ได้ปริปากตอบใดๆออกไป เพียงกระชากผ้าคลุมป้ายออกมา เผยให้เห็นอักษรจีนสลักตั้งตระหง่านอยู่สามตัว

ทันทีที่หลี่ฮั่วเฉินเห็นดังนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างขนาดเท่าไข่ห่าน

“สวรรค์! นี่มันป้ายประจำตระกูลเป่ยไม่ใช่เหรอ?! อย่าบอกนะว่าเธอไปเอาชนะเป่ยฉวนเทียนมาได้? บ้าไปใหญ่แล้ว!!”

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับเสียงเรียบว่า

“ไม่ใช่อาวุโสเป่ยครับ แต่เป็นหลานชายของเขา เป่ยจ้าวหยวน”

หลี่ฮั่วเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“เป่ยจ้าวหยวน? ทำไมฉันถึงได้รู้สึกคุ้นชื่อนี้จัง?”

“เขาก็คือคนที่อธิการบดีหลินพามาเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุดไงครับ”

“โอ้? เขานี่เอง เธอไปพบเขามาเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาไม่คิดที่จะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่อีกฝ่ายกำลังไล่ตามจีบหลี่ถงซีให้ชายชราฟัง เพราะหากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงหูของเขา ไม่แน่ว่าอาจคิดทำเรื่องแผลงๆขึ้นมาอีก

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ๆเสียงประตูรั้วอัตโนมัติก็เปิดออก เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปก็พบว่าเป็นรถBMWของหลี่ถงซีที่กำลังถอยเข้าจอด

หลี่ถงซีไม่มีคาบสอนตอนบ่าย เธอจึงรีบกลับบ้านทันทีที่หลังการประชุมเสร็จสิ้น เธอสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาภายในบ้าน แต่ต้องประหลาดใจทันทีที่เห็นป้ายไม้ขนาดใหญ่ถูกแขวนอยู่ในห้องนั่งเล่น จากนั้นก็เหลียวมองไปทางฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นทันที

“นี่นายไปท้าประลองกับหมอนั่นมาจริงๆน่ะเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ

“อืม พอดีว่างๆก็เลยแวะไปดูหน่อยน่ะ”

ทันทีที่เห็นป้ายไม้อันนี้ หลี่ถงซีก็รู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องถามถึงผลแพ้ชนะ

ช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่หายากจริงๆ เมื่อจู่ๆก็ได้เห็นหลี่ถงซีหัวเราะขึ้นมาสักครั้ง

“สุดยอด!”

สำหรับหลี่ถงซี มันเป็นเรื่องตลกไม่น้อยเลยที่ทั้้งคู่เดิมพันกันด้วยป้ายไม้เก่าๆแบบนี้

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ฉีเล่ยบุกไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเป่ยเพื่อขอท้าประลอง มิหนำซ้ำยังเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะกลับมาแบบนี้ วีรกรรมครั้งนี้จะยิ่งทำให้ฉีเล่ยมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองปักกิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากเหตุการณ์ที่แสนวุ่นวายผ่านพ้นไป ในที่สุดหัวใจของหลี่ถงซีก็ได้เบ่งบานอีกครั้ง

หลี่ฮั่วเฉินยิ้มและกล่าวว่า

“ไม่เพียงแต่เป่ยจ้าวหยวนจะมีชื่อเสียงในปักกิ่งเท่านั้น แต่เขายังเป็นที่รู้จักในนามเข็มเทวะเป่ยน้อยแห่งวงการแพทย์แผนจีน ฉีเล่ย การที่เธอสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ มันก็พิสูจน์แล้วว่า เธอมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นอาจารย์หรือแม้แต่เป็นแพทย์แผนจีนระดับแนวหน้าของประเทศ!”

ชายชราคิดกับตัวเองต่อว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าฉีเล่ยสามารถชิงป้ายประจำตระกูลเป่ยมาได้หลังจากชนะการประลอง ข่าวร้อนแรงเช่นนี้จะต้องแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองปักกิ่งในอีกไม่ช้าแน่นอน เพียงชั่วข้ามคืนชายหนุ่มคนนี้ก็จะกลายเป็นคนดังไปแล้ว!

น่าเสียดายเหลือเกิน…ที่เขาแต่งงานแล้ว…

ไม่สิ! มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะแต่งงานแล้วรึยัง! แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหลานสาวของเขาสามารถเอาชนะใจอีกฝ่ายได้ ทุกอย่างก็สามารถจบลงอย่างสวยงามได้เช่นกัน!

ถ้าคืนนั้นฉันไม่บุ่มบามบุกเข้าไปขัดจังหวะก็คงจะดี…

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset