ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 15 ทุกอาชญากรรมเริ่มต้นจากความโลภ

ตอนที่  1 5  ทุกอาชญากรรมเริ่มต้นจากความโลภ

ฉีเล่ยลากกวนไห่ผิงวิ่งกลับไปยังหมู่บ้านเฟิงจื่อการ์เดน และตรงไปยังห้องควบคุมกล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านทันที

ระหว่างทาง ฉีเล่ยก็ครุ่นคิด และวิเคราะห์เรื่องนี้ไปด้วย ..

ครอบครัวของเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร ฉะนั้นแล้ว คนลักพาตัวต้องไม่ได้ประสงค์เงินทองแน่ๆ แต่น่าจะต้องการสิ่งอื่น

และในเมื่อไม่ต้องการเงิน เหตุผลที่ฉีเล่ยคิดได้ในเวลานี้ก็คือ น่าจะทำไปเพราะมีความแค้นเป็นแรงขับเคลื่อน แต่ว่า .. เฉินอวี้หลัวไปมีเรื่องกับใครกัน ?

‘เอ๊ะ ?!  หรือจะเป็นไอ้ลุงชั่วช้าของเธอ ? ’

‘หรือป้าสะใภ้ที่ไม่ค่อยฉลาดกันแน่ ? ’

‘ยังมีไอ้ลูกพี่ลูกน้องตัวแสบนั่นอีกคน ? ’

‘ไม่สิ !  ไม่น่าจะเป็นไปได้ .. ’

ต่อให้พวกเขาจะโกรธเคืองกัน หรือมีเรื่องกระทบกระทั่งกันแค่ไหน สายสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงเป็นเครือญาติกัน แม้ว่าครอบครัวผู้เป็นลุงจะอิจฉา และอยากจะได้บ้านหลังนี้ไปครอบครอง จนต้องใช้วิธีก่อกวนถึงขั้นพังบ้านแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังนับเป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน

แม้ว่าลุงของเฉินอวี้หลัวจะทำงานให้กับเฉินเทียนกรุ๊ปก็ตาม แต่เมื่อครั้งที่พวกเขามาสร้างปัญหานั้น อาวุโสหวู่ก็ได้เตือนพวกเขาทุกคนไม่ให้มายุ่งเกี่ยวอีก ต่อให้คนพวกนั้นไม่นับเฉินอวี้หลัวเป็นญาติ ก็ไม่น่าจะกล้าขัดคำสั่ง หรือทำอะไรที่เป็นการไม่ไว้หน้าอาวุโสหวู่แน่

‘แล้วเป็นฝีมือใครกันนะ ? ’

‘น อกเหนือจากครอบครัวของลุงเฉินอวี้หลัวแล้ว อวี้หลัวไปมีเรื่องกับใครอีกนะ ?’

ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น แต่แล้วจู่ๆเขาก็ถึงกับหยุดชะงักไป นั่นเพราะภาพของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างกะทันหัน

‘หลิวไห่หยาง !’

‘หมอที่โรงพยาบาล !’

‘ใช่แล้ว ! ต้องเป็นเขาแน่ๆ เขาน่าสงสัยที่สุด !’

ความจริงแล้ว อาชีพการงานและอนาคตของหลิวไห่หยางนั้นค่อนข้างสดใส แต่เป็นเพราะเฉินอวี้หลัวกับเขา ทำให้อนาคตอันสดใสของหลิวไห่หยางต้องพังทลายลง

‘ใช่แล้ว ! นี่น่าจะเป็นการลักพาตัวเพราะความแค้นที่มีเหตุมีผลที่สุดแล้ว !’

หลังจากที่คิดได้เช่นนี้ ฉีเล่ยก็ถึงกับใจสั่นขึ้นมาทันที ..

หากหลิวไห่หยางลักพาตัวเฉินอวี้หลัวเพื่อต้องการเรียกค่าไถ่ เขาก็ยินดีที่จะจ่าย แต่ถ้าหลิวไห่หยางเรียกร้องเงินจำนวนมากเกินกว่าที่เขาจะสามารถจ่ายได้ล่ะ ? แล้วถ้าหลิวไห่หยางเป็นฝ่ายติดต่อไปหาซูชางฉินโดยตรงล่ะ ?

แต่หากหลิวไห่หยางลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปเพราะความแค้นแล้วล่ะก็ อีกฝ่ายก็อาจจะคลุ้มคลั่งถึงขั้นทำเรื่องที่เขานึกไม่ถึงก็เป็นได้ ..

และเมื่อไปถึงห้องทำงานของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน ฉีเล่ยก็ตรงเข้าไปร้องตะโกนเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู

“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ..”

เวลานั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง กำลังนั่งดื่มชาอยู่ภายในห้อง หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียก ก็ได้หันไปมองฉีเล่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะถามออกไปว่า

“คุณเป็นใคร ? แล้วนี่มาหาใครไม่ทราบ ?”

ฉีเล่ยไม่รีรอ เขาตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นทันที พร้อมกับจ้องหน้า และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก

“ฟังนะ ! ภรรยาของฉันถูกคนลักพาตัวไป ทุกวินาทีหมายถึงความเป็นความตายของเธอ แล้วถ้าภรรยาของฉันเป็นอะไรไป ฉันจะฝังร่างแกลงไปในหลุมพร้อมกับเธอด้วย !”

น้ำเสียงของฉีเล่ยนั้นทั้งดุดัน แล้วก็เย็นชาจนน่าขนลุก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นถึงกับเหงื่อแต่พลั่กเปียกชุ่มไปทั้งตัว

จากนั้นฉีเล่ยจึงร้องตะโกนสั่งว่า “พาฉันไปดูกล้องวงจรปิดที่ทางเข้าหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ !”

ด้วยสีหน้าท่าทางดุดัน และเอาจริงของฉีเล่ย ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว และรีบพาฉีเล่ยไปที่ห้องควบคุมกล้องวงจรปิดทันที จากนั้นจึงได้เปิดภาพที่บันทึกไว้ตั้งแต่เวลา  8.30  ถึง  9.00  นาฬิกาให้ฉีเล่ยดู

จากภาพของกล้องวงจรปิดนั้น เฉินอวี้หลัวได้เดินออกจากประตูหมู่บ้านไปเวลาในเวลา  8.40  นาฬิกา และได้ไปยืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายตรง หน้า หมู่บ้าน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งมาจอดตรงหน้าเฉินอวี้หลัว จากนั้นชายสองคนก็วิ่งลงมาจากรถ แล้วฉุดกระชากลากหญิงสาวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขับหนีออกไปในที่สุด

แต่น่าเสียดายที่กล้องวงจรปิดไม่สามารถจับเลขทะเบียนของรถมินิแวนคันนั้นไว้ได้ แล้วก็ไม่เห็นหน้าของผู้ชายสองคนที่ลงมาลากเฉินอวี้หลัวเข้าไปในรถอีกด้วย

แต่ก่อนที่จะถูกลากเข้าไปในรถมินิแวน สีหน้าของเฉินอวี้หลัวเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และเมื่อฉีเล่ยได้เห็นใบหน้าของภรรยา เขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น

‘คุณคงจะตกใจ แล้วก็หวาดกลัวมากสินะอวี้หลัว ? ’

‘ตอนนั้น คุณคงอยากให้ผมอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ช่วยคุณไว้สินะ ? ’

“ไอ้ชาติชั่ว ! ”

ฉีเล่ยสบถออกมาเสียงดัง พร้อมกับยกเท้าขึ้นถีบประตูด้วยความโมโห ก่อนจะหันไปชี้หน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิม พร้อมกับตวาดถามด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

“แล้วตอนนั้นพวกแกทำอะไรอยู่ ?  คนทั้งคนถูกลักพาตัวไป ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านแบบนั้น  พวก แกตาบอดหรือยังไงถึงได้มองไม่เห็น ? ”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถึงกับคอตก และได้อธิบายให้ฉีเล่ยฟังว่า ช่วงนั้นเพื่อนร่วมงานของเขาที่อยู่เวรยาม ได้ออกไปซื้ออาหารเช้าพอดี จึงไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์ลักพาตัวนี้เข้า ..

‘ใครจะไปคิดว่าช่วงเวลาแค่ประเดี๋ยวเดียว จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ขึ้นได้ล่ะ ?’ เจ้าหน้าที่รักษาความปล่อยภัยได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจ

หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์โกรธออกไปพอควรแล้ว ฉีเล่ยจึงได้สติและรู้ว่า ถึงจะกร่นด่าออกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาจึงได้แต่ต้องระงับความโกรธภายในใจลง และเริ่มคิดหาทางแก้ไขต่อไป

กวนไห่ผิงที่ยืนนิ่งเงียบมานาน ในที่สุดก็รีบแนะนำฉีเล่ยว่า “ท่านหมอ รีบโทรแจ้งตำรวจจะดีกว่าครับ !”

“ไม่ได้ !”

ฉีเล่ยคัดค้านขึ้นทันที พร้อมกับอธิบายไปว่า “ตอนนี้เบาะแสเพียงชิ้นเดียวที่มีอยู่คือกล้องวงจรปิด ซึ่งก็ไม่ได้บอกร่องรอยของผู้ร้ายมากนัก ขั้นตอนการทำงานของตำรวจค่อนข้างวุ่นวาย แล้วก็ล่าช้ามาก ผมเกรงว่าจะไม่ทันการ นาทีนี้ผมจำเป็นต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลา .. ”

กวนไห่ผิงเองก็เห็นด้วยว่า ขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นล่าช้าจริงๆ หลังจากรับเรื่องแล้ว ก็ต้องสอบสวนหาข้อมูล สืบหาพยานที่รู้เห็น กว่าจะถึงขั้นตอนการส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบหา ก็คงต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

ในขณะที่เหยื่อซึ่งถูกลักพาตัวไปนั้น อยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายอย่างมาก เพราะสามารถถูกฆ่าตายได้ทุกวินาที ..

กวนไห่ผิงจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจ เขาเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวชายหนุ่มผู้นี้มาก และเขาเชื่อว่า ตราบใดที่ชายหนุ่มคนนี้เอาจริง เขาจะทำงานได้ว่องไวยิ่งกว่าตำรวจเสียอีก

ไม่มีเหตุผลสำหรับความรู้สึกเชื่อมั่นศรัทธาในตัวฉีเล่ย เพราะมันได้ฝังแน่นอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจกวนไห่ผิงไปแล้ว !

ฉีเล่ยเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด เขาก็คิดออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ..

ในเมื่อหลิวไห่หยางเคยทำงานที่โรงพยาบาลประจำเมืองมาก่อน ทางโรงพยาบาลย่อมต้องมีประวัติของเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือว่าข้อมูลอื่นๆ แต่ดูเหมือนข้อมูลเหล่านี้ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรในเวลานี้ เพราะในเมื่ออีกฝ่ายตั้งใจที่จะลักพาตัวเฉินอวี้หลัว เขาย่อมไม่พาไปที่บ้านของตนเองแน่

จากพฤติกรรมของคนที่เคยก่ออาชญากรรมต่างๆนั้น พวกเขาจะไม่อยู่ในจุดที่ตัวเองเคยอยู่ อีกทั้งยังจะใช้ป้ายทะเบียนรถปลอมด้วย หลังจากหนีออกจากเมืองได้ ก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร

แต่ก็ใช่ว่า ข้อมูลต่างๆจะไม่เป็นประโยชน์เลยเสียทีเดียว อย่างน้อย ตำรวจก็จะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้น ในการตามสืบหาร่องรอยคนร้ายต่อไป ..

แต่ปัญหาคือ .. ฉีเล่ยไม่มีเวลามากขนาดนั้น !

เขาต้องการวิธีที่ได้ผลเร็วที่สุด ไม่ใช่การงมเข็มในมหาสมุทรแบบนี้ !

แล้วเขาควรทำอย่างไรดี ?

ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เท้าที่ก้าวเดินของฉีเล่ยก็ค่อยๆ ช้าลงไปเรื่อย ก่อนจะหยุดนิ่ง และหันไปจับไหล่กวนไห่ผิง พร้อมกับร้องตะโกนออกมาว่า

“ใช่แล้ว ! ความโลภ ! ทุกอาชญากรรมล้วนเริ่มต้นขึ้นเพราะความโลภของมนุษย์ แม้จะทำไปเพราะแค้นก็เช่นกัน !”

ฉีเล่ยปล่อยมือออกจากไหล่ของกวนไห่ผิง ซึ่งมีสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ พร้อมกับพึมพำเบาๆ

“ใช่แล้ว ! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวี้หลัวเลยสักนิด ! คนที่หลิวไห่หยางแค้นคือฉันต่างหากล่ะ ! มันถึงได้มาลักพาตัวอวี้หลัวไป เพราะนอกจากจะได้แก้แค้นฉันแล้ว มันยังจะได้เงินไปใช้อีกด้วย .. นี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกถึงสองตัว !”

จากนั้น ฉีเล่ยก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาถือไว้ เขาจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์แน่นิ่ง พร้อมกับพึมพำเสียงเบา

“ฉันจะรอให้แกโทรมา ..”

ฉีเล่ยยังคงนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือ อยู่ในห้องควบคุมกล้องวงจรปิด จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น

ฉีเล่ยเหลือบมองกวนไห่ผิง ก่อนจะเอื้อมมือไปกดรับสาย ..

ดูเหมือนคนที่โทรมานั้นจะระมัดระวังตัวอย่างมาก มีการซ่อนหมายเลขของตนเองด้วยวิธีการบางอย่าง และน้ำเสียงที่พูดนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะผ่านเครื่องปรับเสียงอีกที

“นั่นฉีเล่ยใช่มั๊ย ? ”

“ใช่ ! ”

“ภรรยาของแกอยู่ในเงื้อมือของฉันแล้ว !”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ให้เธอมาพูดสายกับฉัน !”

“…”

โจรลักพาตัวถึงกับนิ่งอึ้งไป ที่เห็นฉีเล่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สงบเยือกเย็น ไม่มีอาการตกอกตกใจแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จนคนที่โทรมาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า

‘ครอบครัวนี้มันยังไงกันแน่นะ ?’

‘ภรรยาถูกลักพาตัวไปทั้งคน ทำไมถึงดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด !’

แต่ไม่นานนัก เสียงของเฉินอวี้หลัวก็ดังขึ้นจากปลายสาย “ฉีเล่ย ! อย่ามานะ ! พวกมันต้องการฆ่านาย ! อย่าเข้าใกล้ตัวฉันเด็ดขาดจำไว้ ..”

เสียงร้องตะโกนของเฉินอวี้หลัวค่อยๆเบาลง และดูเหมือนจะห่างจากโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่า เธอได้ถูกพาตัวออกไปแล้ว

“แกคงได้ยินเสียงภรรยาของแกแล้วสินะฉีเล่ย ? แต่ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ภรรยาของแกยังคงปลอดภัยดี แต่ฉันก็ไม่รับปากหรอกนะว่า หลังจากนี้เธอจะมีสภาพยังไง ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันสั่ง ! ไม่แน่ว่า .. ฉันอาจจะจับเธอถลกหนัง แล้วก็ควักลูกตาทั้งสองข้างออกมาก็ได้ เพราะฉะนั้น จงทำตามคำสั่งของฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้าแกไม่อยากเห็นภรรยามีสภาพที่น่าเวทนาแบบนั้น ..”

เวลานี้ ฉีเล่ยถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากต้องพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ให้อยู่ในสภาพที่สงบนิ่ง และมีสติมากที่สุด !

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาว่า แกต้องการเงินเท่าไหร่ ? และต้องการให้ฉันนำเงินไปให้ที่ไหน ?”

โจรลักพาตัวถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ นับว่าแกเป็นคนเฉลียวฉลาด แล้วก็มีเหตุมีผลมากทีเดียว !”

“แต่ฉันจะยังไม่บอกรายละเอียดกับแกตอนนี้ แล้วฉันก็ขอเตือนแกไว้ก่อนว่า อย่าบอกเรื่องนี้กับตำรวจเด็ดขาด เพราะถ้าตำรวจรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ รับรองได้ว่า ภรรยาของแกจะเหลือแค่ร่างไร้วิญญาณแน่ !”

ตู๊ดๆๆ

หลังจากพูดจบ โจรเรียกค่าไถ่ก็กดตัดสายทิ้งไปทันที !

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset