ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 152 ที่ประชุมของพวกกุ้งปลา

ตอนที่152 ที่ประชุมของพวกกุ้งปลา

ทุกอย่างเป็นอย่างที่ฉีเล่ยคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด หัวหน้าคณะอาจารย์ซีชำเลืองมองทุกคนอีกครั้งและกล่าวว่า

“ผมว่าอาจารย์ซงคู่ควรกับสิทธิ์นี้ เขาเป็นอาจารย์อาวุโสที่สุดของสาขาแพทย์แผนจีน ด้วยประสบการณ์การสอนที่ยาวนานนับหลายสิบปี เขาค่อนข้างมีความรู้ภาคทฤษฎีค่อนข้างแน่น เขาจะเป็นหน้าเป็นตาให้แก่พวกเราได้ในที่ประชุม ทุกคนมีความเห็นยังไงบ้าง?”

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างทราบดีว่า ตาแก่ซงกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีนั้นเป็นญาติห่างๆกัน ตลอดที่ผ่านมาหัวหน้าคณะอาจารย์ซีดูแลตาแก่ซงค่อนข้างดี และอาศัยเส้นสายนี้กดขี่คนอื่น และตั้งตัวเป็นใหญ่ในสังคมอาจารย์แพทย์แผนจีน

และสถานการณ์ตอนนี้ก็ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีแนะนำตาแก่ซงออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ดังนั้นถ้ามีใครกล้าไม่เห็นด้วย มีหวังต้องโดนเพ่งเล็งอย่างเลี่ยงไม่ได้

ภายในสังคมอาจารย์แพทย์แผนจีน เสี่ยวติงเป็นคนที่ประจบสอพอคนเก่งที่สุดแล้ว เขาจึงรีบพูดเสริมขึ้นทันทีว่า

“ผมไม่มีข้อคัดค้านครับ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ระดับอาวุโส อาวุโสซงค่อนข้างมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมการประขุมมากที่สุดแล้ว”

“ผมเองก็ไม่มีปัญหาครับ อาจารย์ซงเคยมีผลงานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์แผนจีนมากมาย เขาน่าจะเอาองค์ความรู้เหล่านี้ไปเผยแพร่ในที่ประชุมได้เป็นอย่างดีแน่นอน”

อาจารย์ลี่ ผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับตาแก่ซงกล่าวสนับสนุนเขาอีกแรง

เฉินเทียนหลินซึ่งเป็นรองหัวหน้าคณะอาจารย์เองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

“ให้อาวุโสซงไปนั่นแหละ พวกเราไม่มีอะไรจะคัดค้าน”

คนเป็นหัวหน้าออกตัวแรง ส่วนคนเป็นรองหัวหน้าก็ไม่มีข้อคัดค้าน เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนแล้ว และไม่มีอาจารย์คนไหนที่เห็นต่างเช่นกัน พวกเขาไม่ใช่คนโง่ที่ไร้หัวคิด ทำได้เพียงแค่เห็นด้วยตามมารยาท

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีค่องข้างพึงพอใจกับการแสดงออกของทุกคนเป็นอย่างมาก ระล่ำระลักพูดขึ้นทันที

“เอาล่ะ อาจารย์คนแรกที่ได้เข้าร่วมคืออาจารย์ซง แล้วอีกคนล่ะเป็นใครดี? ลองมาหารือกันดูดีกว่า”

“ผมขอแนะนำอาจารย์ลี่ นอกจากอาวุโสซงแล้ว ก็เป็นเขานี่แหละที่เป็นพี่ใหญ่ของสาขาเรา”

“ผมขอเสนออาจารย์ติงครับ เมื่อไม่นานมานี้ บทความของเขาเพิ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารคณะแพทย์แห่งชาติไปไม่ใช่เหรอ? เขาน่าจะสามารถใช้เรื่องนี้ในการบรรยายได้”

“ผมขอเสนออาจารย์ฉางครับ หนังสือประวัติศาสตร์การแพทย์แผนจีนของเขาเคยได้รับคำชื่นชมจากรัฐมนตรีหง ผมเลยคิดว่าเขาค่อนข้างเหมาะสมมากเลยนะครับ”

“…”

ทุกคนต่างเสียงแตกแสดงความเห็นแปลกแยกออกไปคนละทิศคนละทาง ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่าสิทธิ์ที่สองนี้ควรจะต้องตกไปอยู่ที่ใครแน่

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเหลือบมองรองหัวหน้าคณะอย่างเฉินเทียนหลินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เพื่อรอให้เขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสิทธิ์เข้าร่วมของอาจารย์คนที่สองออกมา

เพราะสุดท้ายนี้ ในเมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเสนออาจารย์ซงไป อีกฝ่ายเองก็ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจน ดังนั้นหากตอนนี้อีกฝ่ายอยากเสนอใครมา หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเองก็ย่อมต้องสนับสนุนกลับเช่นกัน

“มีใครอยากเสนอใครอีกไหม?”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกวาดสายตาเฝ้าสังเกตทุกคนอีกครั้งในขณะเอ่ยถาม

ฉีเล่ยที่ไม่ได้ปริปากพูดเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือและเอ่ยขึ้นว่า

“มีครับ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีขมวดคิ้วเล็กน้อย และรอฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

จากใจตามตรง เขาไม่ชอบขี้หน้าฉีเล่ยเท่าไหร่เลย แต่อย่างไรเขาก็มีความสำคัญอย่างมากกับสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้

ประเด็นหลักมันอยู่ที่ ชายหนุ่มคนนี้น่าจะมีความบกพร่องเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นหมู่คณะ ไม่เพียงจะพูดจาไม่ไว้หน้าใครแล้ว แต่ยังเป็นคนตระหนี่ขี้น้อยใจ กล่าวได้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติการเป็นผู้ใต้บัญชาที่ดีเลยแม้แต่น้อย

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“อาจารย์ฉีคิดว่ามีใครที่เหมาะสมอีกงั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบว่า

“ใช่ครับ”

อีกฝ่ายเอ่ยถามน้ำเสียงหนักแน่นต่อว่า

“แล้วต้องการเสนอชื่อใครล่ะ?”

อันที่จริง ซีลู่เฉิงได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าฉีเล่ยจะเสนอใครก็ตาม เขาก็จะปฏิเสธทันที ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ฉีเล่ยสามารถสร้างกลุ่มก๊วนขึ้นมาคานอำนาจเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เด็ดขาด

ฉีเล่ยเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“ผมขอเสนอตัวผมเองครับ”

โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นสอบถามใดๆ ฉีเล่ยกล่าวอธิบายต่อในทันที

“ถึงรากฐานด้านทฤษฎีของอาจารย์ซงจะค่อนข้างดี แต่อาจารย์แพทย์โดยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมก็มีองค์รความรู้ด้านทฤษฎีแข็งแกร่งพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะกล่าวบรรยายอะไรออกไปก็คงไม่สามารถสร้างความโดดเด่นอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าทุกคนเตรียมแต่เรื่องทฤษฎีออกไปพูด อย่าว่าแต่ไม่รู้จะมีคนฟังหรือเปล่า เผลอๆน่าจะมีคนแอบหลับด้วยซ้ำ แล้วหวังว่าจะไม่โลกสวยบอกผมว่า ไม่เคยมีใครแอบหลับนะครับ อินเตอร์เน็ตก็มีกันทุกคน ลองค้นหาดูก็น่าจะเจอได้ไม่ยาก ขนาดในสภายังมีคนแอบหลับเลย”

“แต่ตัวผมไม่เหมือนคนอื่น ผมเป็นอาจารย์ที่เก่งที่สุดในสาขาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ ผมสามารถใช้โอกาสนี้นำเสนอสิ่งที่แตกต่างและน่าสนใจออกไปได้ ถ้าพวกคุณไว้วางใจที่จะมอบสิทธิ์นี้ให้ผม ผมก็จะทำเต็มที่ไม่ให้ทุกคนต้องผิดหวังแน่นอนครับ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของทางมหาวิทยาลัยเราทั้งสิ้น”

ทุกคนในห้องประชุมถึงกับตกตะลึง หันขวับมองหน้ากันไปมา

กล้าพูดออกมาได้ยังไงว่าตัวเองเก่งที่สุด? ไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยเหรอ?

ทุกคนมีแต่จะยกย่องคนอื่น แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับพูดยกย่องชูหางตัวเอง

เมื่อเห็นว่าทุกคนกลับปิดปากเงียบไม่พูดหรือแสดงความเห็นออกมาใดๆ ฉีเล่ยจึงได้พูดต่อโดยปราศจากท่าทีเขินอายใดๆ

“ถ้าพวกคุณให้โอกาสผม ผมจะทำให้สาขาแพทย์แผนจีนของเรามีอำนาจต่อรองในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มากขึ้น พวกคุณมีความเห็นยังไงกันบ้างครับ?”

“ฉันไม่เห็นด้วย”

ตาแก่ซงเป็นคนแรกที่ร้องตะโกนคัดค้าน หัวหน้าคณะอาจารย์ซีอุตส่าห์มอบโอกาสทองแก่เขาให้เป็นตัวแทนในนามของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง แล้วมีหรือที่จะยอมปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนี่เสนอหน้าแย่งซีนตัวเอง?

ตาแก่ซงกล่าวต่อว่า

“กล้าพูดมาได้ยังไงว่าตัวเองเก่งที่สุดในแผนกของเรา? เพิ่งจะเป็นอาจารย์ได้ไม่กี่วัน ทำเป็นอวดดี ฉันเคยได้ยินมาว่า เวลาแกสอนหนังสือเด็กๆ แกไม่เคยให้พวกเขาเปิดหนังสือเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเอาอะไรไปพูดในที่ประชุม น่าตลกสิ้นดี!”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่เห็นว่า ตาแก่ซงเริ่มจะเดือดดาลขึ้นอีกครั้ง เขาก็รีบก่นเสียงไอขัดจังหวะทันทีและพูดแทรกขึ้นว่า

“เราเน้นหลักประชาธิปไตยเป็นหลัก ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เสนอใครออกไปก็ได้ ไม่มีผิดหรือถูก”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเหลือบมองฉีเล่ยเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า

“การที่อาจารย์ฉีเสนอชื่อตัวเองออกมาก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดเช่นกัน เป็นปกติของคนหนุ่มสาวที่จะมีความมั่นใจในตัวเอง นี่ถือเป็นเรื่องดีมากเลยนะ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็คงต้องลงคะแนนเพื่อคัดเลือกอาจารย์คนที่สองอยู่ดี”

เขาเคาะโต๊ะอีกครั้งและประกาศเสียงดัง

“เอาล่ะๆ ทุกคนเห็นกระดาษเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วใช่ไหม? เขียนชื่อคนที่ต้องการจะให้เป็นตัวแทนของเราได้เลยนะ”

ทันทีที่สิ้นเสียงซีลู่เฉิง ทุกคนก็เริ่มจับพู่กันเขียนชื่อลงใส่กระดาษทันที

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการนับคะแนนแล้ว ฉีเล่ยก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

เขาได้รับเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้น และนั่นมาจากตัวเขาที่ลงคะแนนให้ตัวเองไป

ซีลู่เฉิงเก็บบัตรคะแนนลงอย่างเงียบๆ ก่อนจะป่าวประกาศเสียงดัง

“พวกเรายึดหลักความเป็นประชาธิปไตย และได้เปิดโอกาสมอบความยุติธรรมให้กับทุกคนไปแล้ว ส่วนอาจารย์ที่ได้รับเลือกทั้งสองท่านกรุณาเตรียมตัวให้พร้อม หวังว่าพวกคุณจะกลับมาพร้อมกับการสร้างชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยของเรา นอกจากนี้ อาจารย์คนไหนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ก็อย่าเพิ่งท้อแท้นะครับ โอกาสหน้ายังมี”

หลังจากประชุมเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็เดินตามฝูงชนออกจากห้องไป

“อาจารย์ซงยินดีด้วยนะครับ คุณคือความหวังของพวกเราสาขาแพทย์แผนจีนทั้งหมด! ด้วยความเป็นอาวุโสและมากประสบการณ์ของคุณ การบรรยายครั้งนี้จะต้องโดดเด่นกว่ามหาวิทยาลัยอื่นแน่นอน!”

“ใช่ครับ! พวกเรากำลังรอผลงานชิ้นเอกของอาวุโสซงอยู่นะครับ สู้ๆ!”

ตาแก่ซงปรายหางตามองฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอาจารย์คนอื่นๆว่า

“อะไรที่ควรเป็นของฉันมันก็เป็นของฉัน ต่อให้ฉันไม่ต้องพยายามเพื่อมัน มันก็ยังเป็นของฉันอยู่ดี ไม่เหมือนใครบางคนที่ดิ้นรนแทบตาย สุดท้ายก็เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ในสายตาคนอื่น”

หลังจากพูดจบ เขาก็เหลือบมองไปทางฉีเล่ยอีกครั้งพลางคิดกับตัวเองว่า

‘หีหึ เด็กเหลือขอไร้มารยาทอย่างแกสมควรได้รับความอับอายแล้ว! ขอดูหน่อยสิว่าตอนนี้แกจะมีสีหน้ายังไง?!’

แช๊ะ!

แต่เมื่อตาแก่ซงหันไปมองกลับต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแรง เพราะไม่เพียงแค่ฉีเล่ยจะไม่ได้รู้สึกเครียดหรือกดดันอะไรเลย แต่เขายังถ่ายเซลฟี่กับห้องประชุมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพิ่งจะค้นพบว่า สิ่งที่เรียกว่าQQนี้สามารถอัปเดตชีวิตในแต่ละวันแชร์ให้คนอื่นๆเห็นได้อีกด้วย!

ตาแก่ซงถึงกับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันทีที่เห็นท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจของอีกฝ่าย ไม่รู้ตัวรึไงว่า ตัวเองกำลังถูกคนอื่นหัวเราะเยาะอยู่? โง่จริงๆ!

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ฉีเล่ยได่ยินและเข้าใจทุกอย่างดี แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจหรือให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

งานประชุมสภาแพทย์แผนจีนน่าจะเป็นงานใหญ่สำคัญเหล่าแพทย์แผนจีนทั่วประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมบุคคลผู้มากความสามารถมาแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน

แต่ดูจากวิธีการเสนอรายชื่อและคัดเลือกแล้ว มหาวิทยาลัยอื่นก็คงไม่น่าจะต่างกัน สรุปสุดท้ายก็คือว่า คงจะเป็นแค่การประชุมของเหล่ากุ้งปลาจากบ่อโคลนเน่าจากทุกแห่งหน เพื่อเกียรติยศอันไร้สาระเท่านั้น ที่ฉีเล่ยต้องการเข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ก็เพื่อรื้อระบบอันเน่าเฟะพวกนี้ทิ้งไปจากวงการแพทย์แผนจีนสักที แม้สิ่งที่เขาทำลงไปจะเป็นเพียงแค่รอยแตกเล็กๆเท่านั้น แต่นั่นก็ถือเป็นชัยชนะเบื้องต้นแล้ว

เขาหนีห่างออกจากหน่วยงานและระบบเส้นสายในโรงพยาบาลมาได้ทั้งที แต่กลับต้องมาเจอระบบอันเน่าเฟะภายในวงการการศึกษาอีก ฉีเล่ยจึงรู้สึกปวดหัวกับสังคมแบบนี้จริงๆ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset