ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 18 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (3)

ตอนที่  1 8  ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์  ( 3 )

หลังจากที่ถูกโจรทั้งหกคนฉุดกระชากร่างให้เดินไปข้างหน้าไกลมากแล้ว แต่เวลานี้ ทุกคนก็ยังคงอยู่ห่างจากห้องเก็บของนั้นไปถึงสิบกว่าเมตร และในวินาทีที่ฉีเล่ยรับรู้ได้ว่า เฉินอวี้หลัวถูกขังไว้ในห้องนั้น เขาก็ได้แต่ขบฟันแน่น และพยายามกดข่มอารมณ์โกรธไว้ภายในใจ

หญิงสาวถูกมัดมือไพล่หลังติดกับขาโต๊ะตัวหนึ่ง และเวลานี้ร่างของเธอก็เปียกโชกไปตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นได้ชัดว่า เธอถูกพวกมันราดด้วยน้ำเย็น และไม่รู้ว่าถูกทรมานเช่นนี้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ..

อุณหภูมิภายในบริเวณแม่น้ำนี้ก็ลดต่ำลงในช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งเรือลำนี้ก็มีรู และช่องลมอยู่เต็มไปหมด ไม่สามารถกำบังสายลมที่พัดเข้ามาได้เลย อุณหภูมิที่เย็น ประกอบกับสายลม และน้ำที่เปียกชะโลมทั่วร่าง มีหรือที่หญิงสาวจะสามารถทานทนได้ ?

หากไม่ใช่เพราะเวลานี้เขาถูกจับมัดมือไพล่หลังไว้แล้วล่ะก็ ฉีเล่ยคงต้องฆ่าคนพวกนี้ไปแล้วอย่างแน่นอน !

นี่เป็นครั้งแรกในตลอดหลายปี ที่ฉีเล่ยไม่เคยรู้สึกโกรธมากเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าตลอดแปดปีที่ผ่านมา เขาจะอยู่อย่างไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรี แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกโกรธอย่างที่สุดเหมือนเช่นเวลานี้มาก่อนเลย

เมื่อทั้งหมดเดินขึ้นไปบนเรือ โจรคนหนึ่งก็ได้เดินนำหน้าไป พร้อมกับหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูห้องเก็บของ ก่อนจะผลักร่างของฉีเล่ยเข้าไปด้านใน

จากนั้น คนที่เหลือก็ช่วยกันกดร่างของเขาไว้ ส่วนอีกคนก็ใช้เชือกสองสามเส้น จัดการมัดแขนของเขาไว้กับขาโต๊ะข้างๆเฉินอวี้หลัวทันที

เวลานี้ ริมฝีปากของหญิงสาวเริ่มเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเพราะความเหน็บหนาว ร่างทั้งร่างของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด และพยายามลืมตาขึ้นมองคนที่ถูกมัดอยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากถุงดำที่คลุมหัวฉีเล่ยอยู่ ทำให้เฉินอวี้หลัวไม่รู้ว่านั่นคือสามีของเธอ หญิงสาวได้แต่คิดว่า นี่คงจะเป็นคนที่โชคร้ายอย่างเธออีกคน ที่ถูกโจรเรียกค่าไถ่จับตัวมา ..

เมื่อพวกโจรจัดการมัดฉีเล่ยไว้กับขาโต๊ะเรียบร้อยแล้ว พวกมันก็ดึงถุงดำที่คลุมศรีษะของเขาออกทันที เมื่อเฉินอวี้หลัวเห็นว่าเป็นฉีเล่ย ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวก็ถึงกับเบิกโพลง และจ้องมองร่างของชายหนุ่มตาไม่กระพริบ ..

“ฉีเล่ย ?!” หญิงสาวร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“ฉีเล่ย ! ทำไมนายถึงถูกพวกมันจับตัวมาที่นี่ได้ ?”

และทันทีที่คำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปาก เฉินอวี้หลัวก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่า เธอน่าจะถูกพวกโจรใช้เป็นเหยื่อล่อ เพื่อให้ฉีเล่ยตกหลุมพราง และถูกจับตัวมาในที่สุด

และเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นว่าฉีเล่ยถูกจับตัวมา ร่างกายที่เคยบอบบางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาว ก็ไม่รู้ว่าไปเอาพลังมาจากไหน เธอร้องตะโกนเสียงดังใส่หน้าโจรเหล่านั้นทันที

“ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้นะ ! ถ้าพวกแกอยากจะทำอะไร ก็มาลงกับฉันนี่ ! มาทำกับฉันสิ !

แปะ .. แปะ ..

“โอ้โห ! ช่างน่าประทับใจอะไรแบบนี้ ?”

แล้วจู่ๆ เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงชื่นชม ก็ดังออกมาจากหน้าประตูห้องเก็บของ จากนั้นไม่กี่อึดใจ กลุ่มโจรลักพาตัวต่างก็พากันลุกขึ้นยืน และถอยห่างออกมาจากหญิงชายทั้งสองคน

เฉินอวี้หลัวที่ยังคงโมโหจนควันออกหูอยู่นั้น ได้แต่จ้องมองคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความตกตะลึง และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแม้แต่คำเดียว !

นั่นเพราะหญิงสาวคิดไม่ถึงจริงๆว่า คนที่ลักพาตัวเธอมาเรียกค่าไถ่ในครั้งนี้ กลับเป็นเพื่อนร่วมงานของเธอเอง เขาคือหลิวไห่หยาง !

นับตั้งแต่จับตัวเฉินอวี้หลัวถูกจับตัวมา หลิวไห่หยางก็ยังไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง แต่เวลานี้ ทั้งหญิงสาวและชายหนุ่มที่หลิวไห่หยางนับเป็นศัตรู ได้ถูกจับตัวมาพร้อมกันเช่นนี้ นับว่าการแก้แค้นของหลิวไห่หยางได้ประสบความสำเร็จ เขาจึงรู้สึกพออกพอใจเป็นอย่างมาก

ฉีเล่ยจ้องมองใบหน้าที่กระหยิ่มยิ้มย่องของหลิวไห่หยาง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแก !”

หลิวไห่หยางยิ้มเย้ย พร้อมกับร้องถามขึ้นว่า “งั้นเหรอ ? แล้วยังไง ? แกจะทำอะไรฉันงั้นเหรอ ?”

หลังจากพูดจบ หลิวไห่หยางก็เอื้อมมือไปคว้ามีดที่อยู่ในมือของโจรคนหนึ่งมา แล้วค่อยๆก้าวเดินไปหาคนทั้งคู่ ในขณะเดียวกัน ก็ตวัดมีดสั้นในมือไปมา พร้อมกับจ้องมองเฉินอวี้หลัวด้วยสีหน้าแววตาดุดัน หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตัวสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง

หลิวไห่หยางร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “พวกแกสองคนทำให้ฉันต้องสูญเสียหน้าที่การงาน และหมดสิ้นอนาคต ฉันก็จะทำให้พวกแกสองคน ต้องสูญเสียชีวิตที่เหลือต่อไปเหมือนกัน แบบนี้ยุติธรรมดีมั๊ยล่ะ ?”

จากนั้น หลิวไห่หยางก็ได้ย่อตัวลงพร้อมกับใช้ปลายมีดเชยคางของเฉินอวี้หลัวขึ้น พร้อมกับพูดต่อว่า “อวี้หลัว ขอผมคิดก่อนว่าจะทรมานคุณยังไงดี ?”

“อืมม .. ไม่รู้ว่าใบหน้าสวยๆนี้จะเป็นยังไงถ้าถูกจับแก้ผ้า ? ฮ่าๆๆ ไหนๆสามีของคุณก็อยู่ข้างๆแล้ว ผมว่าพวกเราสองคน .. มาทำอะไรสนุกๆต่อหน้ามันจะดีกว่า ! อีกอย่าง ผมเองก็ไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมานานแล้ว คุณเองก็เป็นหมอ เป็นนางฟ้าชุดขาวไม่ใช่เหรอ ? ฮ่าๆๆๆ”

หลายครั้งที่เฉินอวี้หลัวพยายามเมินหน้านี้สายตาดุดันคลุ้มคลั่งของหลิวไห่หยาง แต่มันก็จะดันใบหน้าของหญิงสาวให้กลับมามองหน้ามันทุกครั้งไป

และเวลานี้ น้ำตาก็เริ่มไหลพรากอาบแก้มทั้งสองข้างของหญิงสาว ..

เฉินอวี้หลัวทั้งหวาดกลัว และตื่นตระหนกตกใจอย่างที่สุด หากโจรถ่อยชั่วช้าพวกนี้ต้องการที่จะลวนลามเธอต่อหน้าฉีเล่ยผู้เป็นสามีแล้วล่ะก็ เธอยอมตายเสียจะดีกว่า ..

จากนั้น หลิวไห่หยางก็หันมองไปทางฉีเล่ย ก่อนจะพูดต่อว่า “แกคงจะยังไม่เคยเห็นเมียตัวเองมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาสินะ ?  แต่เดี๋ยวแกจะได้เห็นแน่ !  แกเห็นมั๊ยว่า พวกเรามีกันอยู่ตั้งหลายคน แต่ละคนก็ร่างกายกำยำแข็งแกร่ง ทั้งนั้น  เดี๋ยวพวกฉันทั้งหมดจะผลัดกันนอนกับเมียแกจนตายไปข้างเลย ฮ่าๆๆๆ”

หลิวไห่หยางเงยหน้าขึ้นหัวเราะราวกับคนคลุ้มคลั่ง ก่อนจะหันไปพูดกับฉีเล่ยต่อว่า “อ่อ ..  ฉันได้ยินมาว่าแกไม่ได้แจ้งตำรวจใช่มั๊ย ?  ดี ..  แกทำดีมาก !  นับว่าเป็นเด็กที่เชื่อฟัง และทำตามคำสั่งได้ดีมาก เอาล่ะ ฉันจะให้รางวัลกับแก ให้แกได้เลือกว่าจะตายแบบไหนดี ?”

หลิวไห่หยางทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าแววตาโหดเหี้ยม “จับใส่กรงถ่วงน้ำเหมือนหมูดี ..  หรือจะค่อยๆแล่เนื้อออกมาทีละชิ้นดีนะ ..  มีอีกหลายวิธีที่ฉันจะเล่นสนุกกับแกก่อนตาย โดยที่ไม่ว่าแกจะกรีดร้องเสียงดังแ ค่ ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน !”

เวลานี้ สีหน้าและแววตาของฉีเล่ย บ่งบอกชัดเจนถึงความท้อแท้สิ้นหวัง !

นั่นเพราะ เขาพยายามที่จะแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นว่า เขากำลังท้อแท้สิ้นหวังมากเพียงใดต่างหาก !

แม้ว่าเวลานี้ฉีเล่ยจะยังสามารถจ้องมองหลิวไห่หยาง ด้วยสีหน้าแววตาที่สงบอย่างมากไปจนถึงเย็นชาได้ แต่เขารู้ว่านั่นไม่ใช่วิธีการที่ดี และชาญฉลาดในเวลานี้

‘พูดอีกสิ !’

‘แกอยากจะพูดอะไร ก็รีบๆพล่ามออกมาให้หมด !’

‘รีบๆระบายความเคียดแค้นทั้งหมดของแกออกมากับคำพูดให้หมด เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แกมีโอกาสได้พูดแบบนี้ ..’

ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดอยู่ภายในใจเงียบๆ

จากนั้น หลิวไห่หยางก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับหันไปสั่งโจรในกลุ่มคนหนึ่งว่า “แกเฝ้าพวกมันไว้ให้ดีล่ะ ! ส่วนคนที่เหลือตามฉันออกไปหาอะไรกินกัน !”

หลังจากนั้น หลิวไห่หยางก็ได้เดินนำโจรทั้งห้าคนออกจากห้องเก็บของไปที่หัวครัว ทิ้งให้โจรที่มีมีดสั้นเป็นคนเฝ้าฉีเล่ยกับเฉินอวี้หลัวไว้ มันนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น พร้อมกันแกว่งมีดในมือไปมา ..

เฉินอวี้หลัวเอนศรีษะซบไหล่ของฉีเล่ยพร้อมกับร้องไห้ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างของผู้เป็นสามี เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วก็กระซิบบอกฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“ฉีเล่ย .. หลังจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ได้โปรดอย่ามอง !”

“อืมม ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่มองแน่ !”

เฉินอวี้หลัวยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ฉีเล่ย ฉันขอโทษที่ทำไม่ดีกับนายเมื่อหลายปีก่อน .. ฉันขอโทษ ! ฉันขอโทษจริงๆ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันอยากจะมีลูกกับนาย แล้วพวกเราสองคนก็เฝ้าดูการเจริญเติบโตของเขา ..”

“…”

จากนั้นหญิงสาวก็ได้ยกศรีษะขึ้นจากไหล่ของฉีเล่ย พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มแน่นิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ที่รัก !  นายโกรธ แล้วก็ตำหนิฉันมั๊ย ที่ตลอดแปดปีฉันทำให้นายต้องอยู่อย่างคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง ..  มิหนำซ้ำ ตอนนี้ยังทำให้นายต้องมาลำบากลำบนแบบนี้อีก นายตำหนิฉันมั๊ย ?”

“ไม่เลย ! ”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ และเวลานี้ น้ำตาของเขาก็เริ่มจะไหลออกมาเช่นกัน “ผมไม่เคยโกรธ หรือคิดตำหนิคุณเลยสักนิด !  ถ้าชีวิตหลังความตายมีจริง ผมก็ยังต้องการอยู่เป็นคู่สามีภรรยากับคุณเหมือนเดิม และยินยอมที่จะให้คุณข่มเหงรังแกผมได้ตามใจชอบด้วย ..”

“ที่รัก .. ”

ในระหว่างเวลาที่เหลืออยู่นั้น ชายหนุ่มหญิงสาวได้พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนบทสนทนาของพวกเขาทั้งสองคน จะดึงดูดความสนใจของโจรที่นั่งเฝ้าเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน มือที่ไพล่อยู่ด้านหลังของฉีเล่ยก็ไม่ได้อยู่นิ่งเช่นกัน

ก่อนที่จะมาตามนัดนั้น ฉีเล่ยได้ทำการซ่อนเข็มไว้ที่ข้อมือของตนเอง และเวลานี้ เขาก็ได้ดึงเข็มเล่มนั้นออกมา หลังจากที่ได้ถ่ายเทพลังชี่ในร่างลงไปที่เข็มเล่มนั้น แล้วจึงเริ่มใช้มันถูไถไปมากับเชือกที่ผูกอยู่

เข็มทองหางหงส์นี้ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่ม หรือแข็งแกร่งได้ตามแต่พลังชี่ที่ถูกถ่ายเทลงไป และเวลานี้ เข็มทองในมือของฉีเล่ย ก็ได้กลายเป็นวัตถุที่มีความคมยิ่ง และมีอานุภาพสามารถตัดลวดโลหะ หรือแม้แต่เหล็กแข็งให้ขาดได้ ..

โจรที่ทำหน้าที่เฝ้าชายหนุ่มและหญิงสาวนั้น ไม่ทันสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางด้านหลังของฉีเล่ย กระทั่งเฉินอวี้หลัวที่เอนกายซบร่างของเขาอีกครั้ง ก็ยังไม่สังเกตเห็นเช่นกัน

หญิงสาวยังคงบอกเล่าความในใจทั้งหมดให้กับฉีเล่ยฟัง เพราะเธอรู้ว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้บอกความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อชายหนุ่ม

“ฉีเล่ย .. ถ้าชีวิตหน้า หรือชีวิตหลังความตายมีจริง ฉันสัญญาว่าจะไม่ข่มเหงรังแกนายอีก ฉันจะไม่ยอมให้นายต้องทนทุกข์ หรือขมขื่นใจแบบนั้นอีก เพราะที่ผ่านมาตลอดหลายปี ฉันก็ได้ทำร้ายนายไปมากแล้ว สิ่งที่ฉันทำกับนายมันไม่ต่างจากอาชญากรเลยสักนิด ..”

“คนดีของผม ! คุณไม่ใช่อาชญากรสักหน่อย อย่าลืมว่าพ่อของคุณเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยชีวิตผมไว้ ผมจึงมีหน้าที่ต้องตอบแทนบุญคุณให้กับสกุลเฉินต่างหาก ..”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “เพียงแต่ .. หากชีวิตหลังความตายมีจริง กว่าชาติหน้าของเราสองคนจะมาถึง ก็ยังคงอีกยาวไกลมาก เพราะว่า ..”

จู่ๆ สายตาของเฉินอวี้หลัวก็เห็นเงาเลือนลางพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โจรที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคนก็มีอาการเดียวกัน

แต่เมื่อรู้สึกตัว มีดสั้นในมือของโจรผู้นั้นก็ได้อันตรธานหายไปแล้ว และในเวลาไม่กี่อึดใจต่อมา โจรผู้นั้นก็ได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมลำคอของตัวเองไว้ พร้อมกับทำเสียงอยู่ในลำคอ

มันต้องการสูดลมหายใจเข้าออก แต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้ สิ่งที่ทำได้เวลานี้ มีเพียงแค่พ่นของเหลวบางอย่างออกจากปากเท่านั้น ซึ่งก็คือเลือดสีแดงสด ..

จากนั้น ร่างของมันก็ได้ล้มลงไปกับพื้น พร้อมกับชักกระตุกไม่หยุด !

ทันทีที่ร่างของโจรผู้นั้นล้มลงกับพื้น ก็ได้เผยให้เห็นร่างของฉีเล่ยที่อยู่ด้านหลัง และมือขวาของเขาก็ถือมีดสั้นคมกริบนั้นไว้ในมือ ส่วนมือซ้ายก็ยกขึ้นเช็ดเลือดสีแดง ที่พุ่งกระฉูดเปื้อนเต็มใบหน้าของตนเอง

“เพราะว่า .. ผมยังใช้ชีวิตในชาตินี้ไม่เต็มอิ่มเลย !”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset