ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 21 จิตใจที่ชั่วร้าย ยากจะรักษาได้

ตอนที่ 21 จิตใจที่ชั่วร้าย ยากจะรักษาได้

หลังจากที่เปลวเพลิงเริ่มลุกโชนไปทั่วเรือทั้งลำ เสียงร้องโหยหวนของใครบางคน ก็ดังแทรกเปลวเพลิงร้อนแรงออกมา..

ฉีเล่ยยังไม่จากไปในทันที เขาพยุงร่างของเฉินอวี้หลัวไปนั่งอยู่บนท่อนไม้ที่อยู่ข้างริมแม่น้ำ

ฉีเล่ยไม่ใช่คนวิปริตโรคจิตที่ชื่นชอบการเข่นฆ่าผู้คน แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องฆ่าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหลิวไห่หยาง หรือโจรทั้งหกคน เขาไม่สามารถปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกจริงๆ

และเหตุผลที่ฉีเล่ยยังคงนั่งอยู่ก่อนนั้น ไม่ใช่เพราะเขามีจิตใจผิดปกติ ที่จะมานั่งชื่นชมผลงานของตัวเอง แต่เป็นเพราะเฉินอวี้หลัวถูกจับมัดไว้ทั้งวันทั้งคืนแบบนั้น ทำให้หญิงสาวยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ

อีกทั้งระหว่างที่ถูกมัดอยู่นั้น พวกโจรชั่วช้าเดี๋ยวก็ราดน้ำเย็นเข้าใส่ร่างของเธออยู่เรื่อยๆ ทำให้ร่างกายของหญิงสาวยังคงอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอย่างมาก และอีกหนึ่งเหตุผลที่ฉีเล่ยให้หญิงสาวนั่งอยู่ข้างเรือที่กำลังลุกไหม้นั้น ก็เพื่อต้องการอาศัยไออุ่นของเปลวไฟ ช่วยทำให้ร่างกายของหญิงสาวอบอุ่นขึ้นมานั่นเอง

อีกทั้งยังต้องการให้หญิงสาวพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน เพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาได้บ้าง เพราะการจะออกจากป่าลึกแห่งนี้ ยังต้องเดินอีกเป็นระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรเลยทีเดียว

เฉินอวี้หลัวนั่งจ้องมองเปลวเพลิงที่ลุกโชน แววตาทั้งสองข้างเป็นประกายระยิบระยับ ในขณะที่ฉีเล่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปรับบุหรี่ที่กวนไห่ผิงจุดให้

ความจริงแล้ว กวนไห่ผิงนั้นอยู่ในเหตุการณ์มาโดยตลอด เพียงแต่เขายังไม่เปิดเผยตัวออกมา เป็นเพราะฉีเล่ยนั้นไม่แน่ใจว่า อีกฝ่ายจะมีอาวุธปืนหรือไม่? หากอีกฝ่ายมีปืน ก็อาจเกิดอันตรายขึ้นกับกวนไห่ผิงได้

เมื่อคืน.. ที่ประตูด้านหลังสวนสาธารณะบีโกเนียนั้น หลังจากที่ฉีเล่ยถูกโจรกลุ่มนั้นนำตัวขึ้นรถไป กวนไห่ผิงที่ซุ่มอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ก็ได้แอบเกาะท้ายรถมินิแวนของพวกมันมาด้วย จนกระทั่งมาถึงป่าแห่งนี้..

และสำหรับคนที่ฝึกวรยุทธมาก่อนอย่างกวนไห่ผิง การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

ตอนแรก ฉีเล่ยก็ไม่ยินยอมให้กวนไห่ผิงตามมาด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยืนกรานที่จะตามมาให้ได้ และให้เหตุผลว่า หากฉีเล่ยตกอยู่ในอันตราย เขาจะได้เข้าไปช่วยอีกแรง ถึงอย่างไรเสียง สองหัวก็ดีกว่าหัวเดียว!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องยอม แต่ได้สั่งกวนไห่ผิงว่า ให้อยู่ห่างจากเขา อย่าให้โจรพวกนั้นเห็นเข้า และเมื่อใดที่เขาตกอยู่อันตรายจริงๆ เขาจะส่งสัญญาณให้กวนไห่ผิงออกมาช่วยเอง

กวนไห่ผิงที่รออยู่นาน แต่ก็ยังไม่ได้รับสัญญาณจากฉีเล่ย จึงค่อนข้างมั่นใจว่า ชายหนุ่มได้ช่วยภรรยาของตนเองสำเร็จแล้ว!

ท่ามกลางป่าลึกที่ไร้ผู้คน และเรือทิ้งร้างในแม่น้ำกลางป่าทึบ จากสถานที่ที่หลิวไห่หยางเลือกนั้น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า อีกฝ่ายไม่ได้ลักพาตัวมาเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ต้องการพาคนทั้งคู่มาฆาตกรรมที่นี่ต่างหาก

แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือว่า สถานที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จะเป็นสถานที่ที่ฉีเล่ยเองก็กำลังต้องการเช่นกัน

ในระหว่างที่สูบบุหรี่อยู่นั้น กวนไห่ผิงก็หันไปถามฉีเล่ยว่า “ท่านหมอเคยฆ่าคนมาก่อนมั๊ยครับ?”

ฉีเล่ยส่ายหน้า และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่เคย! นี่เป็นครับแรก!”

กวนไห่ผิงพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก พร้อมกับถามต่อทันที “ท่านหมอรู้สึกยังไงบ้าง?”

“ผมไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วก็ไม่ควรต้องรู้สึกอะไรด้วย!”

ฉีเล่ยตอบกลับด้วยสีหน้าท่าทางสงบนิ่ง ไม่บ่งบอกว่าชอบ หรือไม่ชอบ เพราะสำหรับเขา โจรพวกนี้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องตายเท่านั้น..

กวนไห่ผิงพยักหน้า และตอบกลับไปว่า “ท่านหมอพูดได้ถูกต้อง!”

หลังจากที่เปลวเพลิงเผาไหม้เรืองลำนั้นไปได้ครู่ใหญ่ พละกำลังของเฉินอวี้หลัวก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว ฉีเล่ยจึงได้โทรรายงานซูชางฉินว่า ทั้งเขาและภรรยาปลอดภัยดี เขาให้ซูชางฉินได้ฟังเสียงลูกสาว เธอก็ได้แต่โล่งใจ หลังจากที่ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ตลอดทั้งคืน

หลังจากที่เดินออกจากป่าทึบได้แล้ว ฉีเล่ยก็เห็นรถมินิแวนยังคงจอดอยู่ที่เดิม เขาจึงได้จัดการถอดป้ายทะเบียนออก ก่อนจะขับรถมินิแวนคันนั้นกลับเข้าไปในเมืองหนานหยาง และเมื่อไปถึงบริเวณรกร้างแห่งหนึ่ง ฉีเล่ยก็ได้จอดรถคันนั้นทิ้งไว้ จากนั้นทั้งสามคนก็เดินเท้ากันต่อไป

ทั้งสามคนเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบรถบรรทุกคันหนึ่งขับผ่านมา พวกเขาจึงได้โบกและขออาศัยไปด้วย หลังจากเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว ทั้งสามคนจึงได้เดินทางกลับบ้านโดยรถแท็กซี่ต่อ..

และเมื่อทั้งหมดต่างกลับไปถึงบ้านของตัวเอง ก็เป็นเวลารุ่งสางพอดี..

ทันทีที่ซูชางฉินเห็นเฉินอวี้หลัวเดินเข้ามา สองคนแม่ลูกก็โผเข้ากอดกันทันที ต่างฝ่ายต่างก็ร้องห่มร้องไห้กันอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แม่ยายของฉีเล่ยก็ได้เดินเข้าไปจับมือของเขาไว้ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า

จากนั้น ซูชางฉินก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอย่างแรงหลายครั้ง ปากก็พร่ำแต่ว่า หลายปีที่ผ่านมา เธอทำทำไม่ดีต่อฉีเล่ยอย่างมาก และนับจากนี้ไป ทั้งเธอและลูกสาวจะขอเป็นทาสของฉีเล่ยไปตลอดชีวิตทีเหลือ..

ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบร้องบอกแม่ยายไปทันที “แม่ครับ อย่าพูดถึงเรื่องในอดีตดีกว่า อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ พวกเราทั้งหมดมาเริ่มต้นใหม่ แล้วก็ใช้ชีวิตหลังจากนี้ให้มีความสุขจะดีกว่า!”

ความใจกว้างของฉีเล่ย ทำให้สองแม่ลูกยิ่งรู้สึกดีต่อเขามากขึ้น และเวลานี้ บ้านก็ได้กลายเป็นบ้านจริงๆเสียที!

นอกเหนือจากอาการเป็นหวัดของเฉินอวี้หลัวแล้ว ร่างกายของหญิงสาวไม่ได้บอบช้ำอะไร และด้วยทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ย เธอพักฟื้นเพียงแค่ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว

เฉินอวี้หลัวลาหยุดงานเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ และได้ใช้ช่วงเวลานี้อยู่บ้านกับสามีของเธอ..

และในเมื่อมีเวลาว่างตั้งหนึ่งอาทิตย์ ฉีเล่ยจึงไม่ต้องการอยู่บ้าน เขาต้องการพาทุกคนออกไปเที่ยวพักผ่อน จึงได้เอ่ยปากชวนภรรยาและแม่ยายไปเที่ยวต่างจังหวัด

แต่หลังจากที่ซูชิงฉานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ปฏิเสธ เพราะเห็นว่าหนุ่มสาวทั้งสองคนแต่งงานกันมานาน แต่กลับไม่เคยได้อยู่กันลำพังสองต่อสองเลย

“พวกเธอสองคนหนุ่มสาวไปกันเถอะนะ! ถือซะว่าเป็นการไปฮันนีมูนในตัว ตั้งแต่แต่งงานกันมา พวกเธอสองคนก็ยังไม่เคยมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเลย..”

เฉินอวี้หลัวอยากไปเที่ยวทะเล..

หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวก็บอกกับฉีเล่ยว่า เธอต้องการไปเที่ยวที่ซานย่า แต่หลังจากฉีเล่ยทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจบอกภรรยาว่า เขาจะพาเธอไปเที่ยวมัลดีฟแทน

ฉีเล่ยหันไปบอกกับเฉินอวี้หลัวว่า “อวี้หลัว ต่อไปไม่ว่าคุณจะต้องการอะไร ผมจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณ!”

เฉินอวี้หลัวฟังแล้วก็ได้แต่ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก จากนั้น ทั้งคู่ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนเตียงนอนอย่างมีความสุข

เหตุผลที่ฉีเล่ยเลือกที่จะพาภรรยาไปมัลดีฟนั้นก็เพราะว่า ตัวเขาเองก็ไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศเลยสักครั้ง ในเมื่อต้องการที่จะไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ เขาก็ต้องการไปต่างประเทศ เพราะเวลานี้ เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

เงินหนึ่งล้านหยวนที่หวู่เฉิงเฟิงให้เขามาก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ามากพอที่จะใช้เป็นทุนในการท่องเที่ยวของคนสองคนได้ แม้เขาจะปฏิเสธไม่รับเช็คของหวู่เฉินเทียนในคืนนั้น แต่เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้เงินหนึ่งล้านหยวนที่หวู่เฉิงเฟิงเคยให้ไว้

แม้จะเป็นเงินเหมือนกัน แต่จุดประสงค์ของผู้ให้นั้นแตกต่างกัน หวู่เฉินเทียนตั้งใจใช้เงินสามล้านดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นคนของเขา ในขณะที่หวู่เฉิงเฟิงมอบเงินหนึ่งล้านให้เขาด้วยความซาบซึ้งใจ ที่เขาได้ช่วยชีวิตไว้..

..……

ในวันแรกของวันหยุด เฉินอวี้หลัวไปที่บริษัททัวร์พร้อมกับฉีเล่ย หลังจากทำการสำรองตั๋ว และโรงแรมกับริษัททัวร์แล้ว วันต่อมา ทั้งคู่ก็บินไปมัลดีฟทันที

ในระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องบิน เฉินอวี้หลัวได้ทอดสายตาลงมองท้องฟ้าสีครามเบื้องล่างผ่านกระจกหน้าต่าง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ได้หันมาถามฉีเล่ยถึงอนาคตที่เขาได้วางแผนไว้

เมื่อแปดปีก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ฉีเล่ยเขาสกุลเฉินมา เขาก็ไม่ได้ทำงานทำการ อีกทั้งยังถูกสองแม่ลูกที่เคียดแค้น กดข่มไม่ให้เขาได้แสดงความสามารถของตนเองออกมา แต่เวลานี้ ฉีเล่ยกลับสามารถตอบคำถามของหญิงสาวได้โดยแทบไม่ต้องคิด

“ผมก็จะเป็นหมอรักษาคนไข้..”

เฉินอวี้หลัวจ้องหน้าฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น รอให้กลับจากมัลดีฟก่อน ฉันจะพานายไปแนะนำกับทางโรงพยาบาล ด้วยฝีมือด้านการแพทย์แผนจีนของนาย รับรองได้ว่า นายต้องได้เป็นถึงตำแหน่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแน่!”

แต่ฉีเล่ยกลับมีสีหน้าลังเลใจ..

บรรพชนสกุลเฉินไม่เพียงมอบความรู้ และทักษะทางการแพทย์ให้กับฉีเล่ยเท่านั้น แต่ยังได้ส่งต่อความกระตือรือร้นที่จะช่วยผู้คนบนโลกนี้ให้กับฉีเล่ยด้วย เพราะฉะนั้น การได้ทำงานในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาจะได้พบเจอผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยในทุกๆวัน จึงนับเป็นความคิดที่ไม่เลว

เพียงแต่ว่า.. ในสถานที่อย่างโรงพยาบาลนั้น นอกจากจะมีระบบที่ค่อนข้างวุ่นวายน่าเวียนหัวแล้ว นอกจากการรักษาคนไข้ ก็ยังต้องคอยคำนึงถึงความสัมพันธ์กับผู้คนในองค์กรอีกด้วย

และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉีเล่ยต้องการ!

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็หันไปบอกกับภรรยาว่า “ขอผมคิดดูก่อน! ไม่แน่ว่า ผมอาจจะมีหนทางอื่นที่ดีกว่านั้น!”

ต่อหน้าเฉินอวี้หลัวผู้เป็นภรรยา ฉีเล่ยยังมีบางเรื่องที่ปิดบังเธออยู่..

หลังจากเหตุการณ์ลักพาตัว และหลังจากที่เขาได้ฆ่าคนตายไปหลายคนด้วยมือตัวเองนั้น ฉีเล่ยก็เริ่มรับรู้ได้ว่า จิตใจของตนเองได้เปลี่ยนไป!

เพื่อความร่ำรวยมั่งคั่ง ผู้คนมากมายสามารถเสาะหาเงินทองได้ โดยไม่แยแสต่อชีวิตของเพื่อนมนุษย์ อย่างเช่นหลิวไห่หยางเป็นต้น..

ฉีเล่ยเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าสดใส และกลุ่มเมฆสีขาวดั่งปุยนุ่น ภายในใจพลันคิดว่า

‘โรคภัยไข้เจ็บในร่างการมนุษย์ ไม่ยากเลยที่จะรักษาให้หายได้ แต่จิตใจที่ชั่วร้ายของมนุษย์ต่างหาก ที่ยากจะรักษาให้หายได้!’

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset