ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 28 กระตุ้นคนไข้ให้ร่วมมือ

ตอนที่ 28 กระตุ้นคนไข้ให้ร่วมมือ

 

ทีมแพทย์เฉพาะทางที่อยู่ในห้องผู้ป่วยด้วย ต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง!

 

หลังจากที่ต้องนอนปวย และต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการท้องร่วง อยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานานเข้า อารมณ์ของหลิวเฟิงเฉินก็ยิ่งแปรปรวนขึ้นมาก เธอสามารถหงุดหงิดแล้วก็โกรธได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ ทีมแพทย์ที่เข้ามาตรวจ จะต้องระมัดระวังตัวกันอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าเธอจะระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมาเมื่อไหร่?

 

แต่ตอนนี้ เธอกลับมีสีหน้าสดใส และพูดจาออกมาอย่างอารมณ์ดี!

 

เป็นไปได้หรือ ที่อาการท้องร่วงถ่ายไม่หยุดมานานกว่าครึ่งเดือนนั้น กลับหายเป็นปลิดทิ้งด้วยฝีมือของแพทย์ฝึกหัดหนุ่มคนนี้?

 

นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจนเกินไป!

 

อารมณ์ความรู้สึกของหลิวเฟิงเฉินเวลานี้ เกินกว่าคําว่าอารมณ์ดี” ไปมากนัก!

 

หากใครสักคนลองมานอนอยู่โรงพยาบาลสักครึ่งเดือนแล้วก็มีอาการท้องร่วงถ่ายไม่หยุดนานๆเช่นนี้อย่างหลิวเฟิงเจิ้น และที่สําคัญ ไม่มีแพทย์คนไหนสามารถรักษาให้หายได้ ย่อมจะสามารถเข้าใจความทุกข์สาหัสในใจของเธอได้เป็นอย่างดี

 

แต่เวลานี้ นายแพทย์หนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วกดเบาๆไม่กี่ครั้ง กลับทําให้หลิวเฟิงเจิ้นสัมผัสได้ถึงกระแสไออุ่น ที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณท้องน้อยของเธอ

 

หลังจากได้เห็นสีหน้า และได้ยินน้ําเสียงตื่นเต้นดีใจของหลิวเฟิงเจิ้น ฉีเล่ยก็เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกคุณหมอวัยกลางคนที่ชื่อจางผู้

 

“คุณหมอฝูครับ รบกวนมาช่วยผมที่! คุณไปยืนด้านขวามือของคนไข้ แล้วช่วยกดจุดแบบเดียวกับที่ผมทําเมื่อครู่” 

 

จางผู้ยืนลังเลครู่หนึ่ง แต่แล้วก็รวบรวมความกล้า สงบสติอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้น ก่อนจะเดินไปยืนข้างขวามือของหลิวเฟิงเจิ้นพร้อมกับจับมือขวาของคนไข้ไว้

 

เวลานี้ แพทย์คนอื่นๆในห้อง ต่างก็หันไปมองจางฝูด้วยสีหน้าแววตาอิจฉาริษยาและได้แต่คิดในใจว่า

 

ทําไมโอกาสดีๆแบบนี้ ถึงได้ตกไปเป็นของเขาได้?

 

และทําไมจางผู้ต้องเป็นคนที่รู้จักกับหมอฝึกหัดที่เก่งกาจคนนี้ด้วย?

 

ฉีเลยไม่สนใจสายตา และความคิดของแพทย์คนอื่นๆ เขาก้มหน้าก้มตากดจุดตั้งแต่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงท่อนแขนของคนไข้แบบเดิม และทําซ้ําๆเช่นนั้นอีกสองสามครั้ง โดยมีจางทําหน้าที่กดตามอยู่ทางด้านขวามือ

 

นี่คือการกดจุดเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดให้กับคนไข้และเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการรักษาเท่านั้น

 

เมื่อเห็นว่าคนไข้มีสีหน้าดีขึ้น อาการเจ็บปวดลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ฉีเล่ยจึงหยุดการกดจุดไว้เพียงเท่านั้น และเริ่มสอบถามหลิวเฟิงเจิ้นต่อ

 

“เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ คุณรู้สึกหนาวคล้ายคนเป็นไข้หวัดใช่มั้ยครับ? ในตอนนั้น แม้จะรู้สึกหนาวเย็น แต่กลับมีเหงอออกตามตัว ปวดศรีษะ แล้วก็เจ็บคอ แต่กลับไม่มีไข้ใช่มั้ยครับ?”

 

“ตลกสิ้นดี!” จ้าวโจวเฉินได้แต่แอบเย้ยหยันอยู่ในใจ

 

“แค่แตะข้อมือคนไข้ ก็ถึงกับบรรยายอาการออกมาได้เป็นวรรคเป็นเวร!”

 

จ้าวโจวเฉินเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน และไม่เคยเชื่อถือการแพทย์แผนจีนเลยแม้แต่น้อย สําหรับเขาการแพทย์แผนจีนเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระหลอกลวงและด้วยความเชื่อนี้ทําให้โรงพยาบาลทหารแห่งนี้มีแพทย์แผนจีนเหลืออยู่เพียงแค่ห้าคนเท่านั้น

 

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หลิวเฟิงเจิ้นจะร้องอุทานว่า”ห้ะ?!”ออกมาด้วยความตกใจ และเวลานี้ สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

ใบหน้าของจ้าวโจวเฉินเองก็ถบกับเปลี่ยนไปทันทีเช่นกันเมื่อหันไปเห็นสีหน้าท่าทางของหลิวเฟิงเจิ้น เขารู้ได้ทันทีว่าข้อสันนิษฐานของแพทย์ฝึกหัดหนุ่มนั้นคงจะถูกต้อง!

 

แล้วก็เป็นดังเช่นที่ฉีเลยบรรยายออกมาจริงๆ!

 

เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่ออกไปตรวจงานนั้นหลิวเฟิงเจิ้นเริ่มรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว และอาการของเธอในตอนนั้น ก็ตรงกับที่นี่เลยพูดมาทั้งหมด

 

แต่เป็นเพราะไม่มีไข้ เธอจึงคิดว่าไม่ได้ไปหาหมอรักษาเพียงแค่กินยาแก้ปวด หลังจากนั้นอาการทั้งหมดก็หายไปเธอจึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้กับใครฟัง แม้แต่ไต่คุนผู้เป็นสามีก็ไม่รู้

 

“คุณหมอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาการปวยครั้งนั้นของฉันเหรอ?

 

หลิวเฟิงเจิ้นอดที่จะถามออกไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้เธอยังมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อนายแพทย์หนุ่มคนนี้นัก อีกทั้งยังไม่ค่อยเชื่อถืออีกด้วย แต่ตอนนี้ เธอกลับเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าเขาจะสามารถรักษาอาการป่วยของเธอให้หายได้อย่างแน่นอน

 

นี่เลยจึงได้อธิบายให้ฟังว่า “โรคของคุณมีต้นเหตุมาจากหานเสีย ซึ่งเป็นปัจจัยก่อโรคที่เกิดจากความเย็น และหานเสียนี้ก็ได้ทําลายสมดุลของหยินและหยางในร่างกาย หากผมคาดการไม่ผิดช่วงนั้นคุณน่าจะตากลมเย็นมากจนเกินไป!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นได้แต่พยักหน้า และคิดว่าช่วงนั้นเธอเองออกไปตรวจงานข้างนอกบ่อยๆ ทําให้ต้องปะทะกับสายลมเย็นหลายต่อหลายครั้ง

 

ฉีเลยยังคงอธิบายต่อ “อาการเริ่มต้นของหยินหยางไม่สมดุลนั้น จะแสดงออกมาคล้ายกับคนเป็นหวัดแต่ไม่มีไข้นั่นเพราะพลังเย็นจะไปอยู่ด้านนอก ในขณะที่พลังร้อนถูกกักไว้ภายในระหว่างนั้น พิษของพลังร้อนจะเข้าแทรกแซงการทํางานของลําไส้ทําให้ลําไส้ไม่มีกําลัง ผลก็คือ คนไข้จะมีอาการอุจจาระแข็งถ่ายไม่ออก”

 

“ห้ะ?!”

 

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความประหลาดใจ แต่เป็นเพราะนึกเสียใจที่ไม่เล่าเรื่องไข้หวัดให้ทีมแพทย์ฟังตั้งแต่แรก!

 

แต่แรก!

 

หลิวเฟิงเจิ้นคิดไม่ถึงว่า แค่มีอาการหนาวเย็นแต่ไม่มีไข้จะทําให้เกิดอาการท้องผูกได้ ไม่อย่างนั้น เธอคงจะบอกเล่าอาการก่อนหน้านี้ให้กับหมอฟังอย่างแน่นอน แล้วเธอก็คงจะไม่ต้องมาทุกข์ทรมานอยู่นานกว่าครึ่งเดือนแบบนี้

 

แม้หลิวเฟิงเจิ้นจะคิดเช่นนั้น แต่ทีมแพทย์ทั้งหมดที่อยู่ในห้องกลับไม่คิดเช่นนั้น เวลานี้ สีหน้าของทีมแพทย์ทั้งหมดบ่งบอกถึงความประหลาดใจเป็นอย่างมาก!

 

“เย็นเกินก็ทําให้ท้องผูกได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?

 

“นี่ฉันเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก!”

 

จางฝูเองก็ตกใจจนแทบช็อค นั่นเพราะประวัติการรักษาของหลิวเฟิงเจิ้นนั้น ถูกเก็บเป็นความลับอย่างดี เป็นไปไม่ได้ที่นี่เลยจะสามารถเข้าถึงได้ และวันนี้ ในระหว่างที่ทีมแพทย์กําลังปรึกษาหารือเรื่องวิธีการรักษานั้น ทุกคนก็พูดถึงแต่เรื่องอาการถ่ายไม่หยุดของคนไข้เท่านั้น ไม่มีใครพูดถึงอาการท้องผูกก่อนหน้านี้ของหลิวเฟิงเจิ้นเลย

 

แต่นายแพทย์หนุ่มคนนี้ กลับสามารถล่วงรู้อาการทั้งหมดได้จากการตรวจจับชีพจรเพียงอย่างเดียว จางฝูได้แต่นึกอัศจรรย์ใจและได้แต่แอบคิดว่า แพทย์แผนจีนทั้งหมดในโรงพยาบาลแห่งนี้หาใครที่มีความสามารถล้ําเลิศอย่างฉีเลยไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว!

 

ฉีเลยนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดถึงอาการของหลิวเฟิงเจิ้นต่อ“คุณจะมีความรู้สึกคล้ายกับว่า แม้ร่างกายจะอบอุ่น แต่กลับรู้สึกหนาวจับใจ เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ร่างกายเป็นเหมือนเตาในขณะที่หัวใจหนาวเหน็บเหมือนตู้เย็นใช่มั้ยครับ?”

 

หลิวเฟิงเจิ้นได้แต่พยักหน้าหมึกๆ และแอบคิดอยู่ในใจว่า“หมอหนุ่มคนนี้พูดได้ถูกต้องทุกอย่างจริงๆ! เขาสามารถบรรยายอาการของฉันได้อย่างถูกต้อง ไม่เหมือนกับทีมหมอไม่เอาถ่านของจ้าวโจวเฉิน ที่วันๆรู้จักแต่แขวนขวดน้ําเกลือไว้กับท่อเหล็ก!

 

“เอาล่ะ..”

 

ฉีเลยอธิบายมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปเสียที “ทําให้สบาย! โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร เดี๋ยวผมจะเขียนใบ สั่งยาให้หลังจากกินยาตามนี้แล้ว อาการก็จะดีขึ้นเองครับ…”

 

หลิวเฟิงเจิ้นถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่เธอได้ยินคําพูดของแพทย์หนุ่มคนนี้เธอจะเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างมาก ทําให้จิตใจผ่อนคลายและร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันที

 

ระหว่างที่เฝ้าสังเกตดูการตรวจรักษาของฉีเล่ยอยู่เงียบๆนั้นหลี่ฮั่วเฉินก็ได้แต่พยักหน้าหมึกๆตามไปด้วย ตลอดเวลาที่ฉีเล่ยสนทนากับคนไข้ รอยยิ้มจางๆจะปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าสงบมั่นใจของเขาอยู่เสมอ บ่งบอกถึงความจริงใจต่อคนไข้

 

ลักษณะท่าทาง และทัศนคติเช่นนี้ แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในวงการแพทย์มานานอย่างเขา ยังยากที่จะทําอย่างที่ฉีเล่ยเป็นอยู่ในเวลานี้ได้

 

บ่อยครั้งที่ผู้ปวยแม้จะไม่มีอาการอะไรมากนัก แต่กลับต้องตกอกตกใจกับสีหน้าจริงจังขึงขังของคนเป็นหมอ ท้ายที่สุดอาการหนักกว่าเดิมก็มี!

 

ฉีเลยรู้ตัวว่าข้อด้อยของตนเองคืออายุที่ยังน้อยเขาจึงไม่รีบ ไต่ถามอาการคนไข้ แต่กลับใช้ความสามารถในการตรวจชีพจรของคนไข้ และวิธีการกดจุดคลายความเจ็บปวดทําให้คนไข้เกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจ จากนั้นจึงค่อยเปิดประเด็นการรักษา

 

ฉีเลยไม่เพียงแค่ใช้ความสามารถของตนเองสร้างความ เชื่อถือ และศรัทธาให้เกิดขึ้นกับคนไข้ แต่เขายังกระตุ้นจิตใจของคนไข้ให้เปิดรับการรักษา ด้วยการอธิบายอาการที่ผู้ปวยเคยเผชิญออกมาทั้งหมด ซึ่งก็ได้ผลดีเป็นอย่างมาก

 

ในทางการแพทย์ การทําเช่นนี้เรียกว่า “การกระตุ้นให้คนไข้ยอมร่วมมือ” ซึ่งผู้ที่จะทําได้เช่นนี้ จะต้องมีทักษะทางการแพทย์ที่ชําชอง และเชียวชาญอย่างแท้จริง!

 

หลี่ฮั่วเฉินได้แต่นึกชื่นชมในความสามารถของฉีเล่ยอยู่ในใจและได้แต่คิดว่า ความสามารถของนายแพทย์หนุ่มผู้นี้ ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศเลย! 

 

แต่เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่นี่เลยได้ฉีกหน้าเขาเมื่อครู่หลี่ฮั่วเฉินก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย!

 

ความหยิ่งผยอง ไม่ใช่เรื่องดีนักสําหรับผู้ที่อายุยังน้อย!

ได้

 

ห้าง ห้า ห้า ห้า 

 

เรื่อง : ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

 

จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศยิ่ง

 

“เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว

 

“หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว…”

 

“เวลานี้ ผมเป็นอิสระแล้ว!

 

เรื่อง : ลูกเขยยอดนักฆ่า

 

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้างฉายาของเขาคือ “นักฆ่าอาซูร่า”

 

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!

 

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ติของเขานี้ ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มากมายอย่างนักไม่ถ้วน

 

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

 

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้ คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสู และถูกเหยียดหยามสินะ?

 

แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่งและกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้!

 

เรื่อง : จักรพรรดิ์เทพมังกร

 

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่

สุด

 

จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้นทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset