ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 35 คลื่นถาโถม (2)

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ยอดคุณหมอสกุลเงิน – ตอนที่ 35 คลื่นถาโถม (2)

 

ความจริงฉีเล่ยเป็นชายหนุ่มที่สุภาพ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้ ไม่เพียงพูดจาหยิ่งจองหองอวดดียังก้าวร้าวมากอีกด้วย ฉีเลยจึงไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีกเขาหันไปบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คนนั้นว่า

 

“ทําไมผมจะต้องลงทะเบียนด้วย? ในเมื่อผมไม่ใช่คนนอกที่มาติดต่อธุระผมมาที่นี่เพื่อรายงานตัวเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมอนามัย!ยังจําเป็นต้องลงทะเบียนด้วยเหรอครับ?”

 

“โอ้โห! เดี๋ยวนี้กระทั่งตําแหน่งภารโรงยังต้องมีการรายงานตัวด้วยเหรอ?”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจ้องมองฉีเลยตั้งหัวจรดเท้าพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ําเสียงเย้ยหยัน เขาเคยพบเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มามากมาย เพราะมีคนพยายามที่จะ แอบเข้าไปข้างในอยู่บ่อยๆ แล้วก็แอบอ้างว่ามารายงานตัวแบบนี้

 

“ต่อให้มารายงานตัวเป็นภารโรงคนใหม่ก็ต้องลงทะเบียน!”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจ้องมองฉีเล่ยด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม และในใจก็ได้แต่คิดว่า

 

“หึ! แกอย่ามาหลอกฉันให้ยากเลย ฉันเจอคนอย่างแกมาเยอะแล้วชอบอ้างว่ามารายงานตัว จะได้ไม่ต้องลงทะเบียน..

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อว่าฉีเลยจะมารายงานตัวเพื่อเข้าทํางานที่นี่จริงเพราะเขาสังเกตเห็นชายหนุ่มตั้งแต่ก้าวลงมาจากรถแท็กซี่แล้วหากเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีตําแหน่งในระดับสูงขึ้นไปหน่อยส่วนใหญ่จะมีรถขับกันทุกคน

 

แต่นี่เลยกลับเดินทางมาด้วยรถแท็กซี่สภาพแบบนี้แน่นอนว่าถ้ามารายงานตัวจริงก็คงจะเป็นตําแหน่งที่ ต่ําต้อยอย่างแน่นอน

 

“ผมมีจดหมายจากกรมอนามัยมาด้วย!”

 

ฉีเลยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย เขาหยิบจดหมายที่เลขานุการของหลิวเฟิงเจิ้นออกมาพร้อมกับคลี่ออกให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอ่านดู

 

“ไหน? จดหมายอะไรกัน?”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินเข้าไปใกล้หลงเฉินมากขึ้นพร้อมกับจ้องมองรายละเอียดในจดหมายที่ฉีเลยถืออยู่และสิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นก็คือ ตราประทับสี แดงของกรมอนามัยมณฑลหนานเจียงแต่ภายในจดหมายก ลับไม่ได้ระบุตําแหน่งหน้าที่ชัดเจนมีเพียงแค่ประโยคกว้างๆสองสามประโยคเท่านั้น

 

“หืมม 

 

จากสีหน้าท่าทางของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเวลานี้ ฉีเล่ยถึงกับต้องถามออกมาด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

 

“ยังต้องลงทะเบียนอีกงั้นเหรอ?”

 

“ยังไงก็ต้องลงทะเบียนก่อน!”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตวาดใส่หน้าฉีเลยด้วยความโมโหก่อนจะเชิดหน้าพูดกับชายหนุ่มต่อทันที

 

“ฉันเคยเจอคนมารายงานตัวแบบนี้เยอะแยะ จะเป็นใครก็ต้องลงทะเบียนที่นี่ก่อนทั้งนั้น ถึงจะเข้าไปข้างในได้!”

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้ มีพี่เขยเป็นถึงผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของที่นี่ จึงได้มีนิสัยจองหองอวดดีและกร่างกับผู้คนไปทั่ว แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับล่าง ไปจนถึงระดับกลางของที่นี่ยังต้องยิ้มทักทายเขาระหว่าง เข้าออก แล้วชายหนุ่มคนนี้ เพียงแค่มารายงานตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการเล็กๆ เขาจําเป็นต้องเกรงใจด้วยอย่างนั้นหรือ?

 

ฉีเล่ยค่อยๆพับจดหมายฉบับนั้นเก็บเข้ากระเป๋าไปตามเดิม แล้วจึงหันไปจ้องหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นพร้อมกับถามขึ้นว่า

 

“แล้วตอนที่หัวหน้าหลิวมารับตําแหน่งเธอต้องลงทะเบียนกับคุณก่อน ถึงจะสามารถเข้าไปทํางานด้วยมั้ย?”

 

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เดินตรงเข้าไปด้านในทันทีโดยไม่สนใจพนักงานรักษาความปลอดภัยอีก..

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยากจะไล่ตามไปและจับชายหนุ่มโยนออกไปด้านนอกแต่ในจดหมายฉบับนั้นก็ยืนยันได้ว่าเขาเข้ามารายงานตัวเพื่อทํางานที่นี่ จริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าตําแหน่งใดเท่านั้นเองเพราะฉะนั้นเขาซึ่งเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงไม่สามารถห้ามไม่ให้ฉีเลยเข้าไปได้ทําได้เพียงแค่ยืนกัดฟันกรอดด้วยความโมโห..

 

“นี่นายมัวแต่ยืนทําอะไรอยู่? ทําไมยังไม่รีบไปเปิดประตูอีก?”

 

เสียงมีอํานาจคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังของพนักงานรักษาความปลอดภัยเขาจึงรีบหันไปร้องบอกคนผู้นั้นทันที

 

“พี่เขย พี่เขยมาได้เวลาเหมาะเจาะพอดี ผู้ชายที่เพิ่งเดิน เข้าไปเมื่อครู่ไม่ยอมลงทะเบียนตามกฎระเบียบแต่อ้างว่ามารายงานตัวเข้าทํางานแล้วก็เดินเข้าไปเลย..”

 

“แต่เป็นเพราะเขาถือจดหมายที่ออกโดยกรมมาด้วยฉันก็เลยไม่สามารถห้ามเขาไม่ให้เข้าไปได้! ไม่ว่าฉันจะพยายามอธิบายให้ฟังยังไงหมอนั้นก็ไม่ยอมท่าเดียว!”

 

เวลานี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้แต่กระหยิ่มยิ้มองอยู่ในใจ และได้แต่คิดว่า ฉันอาจจะทําอะไรแกไม่ได้แต่พี่เขยของฉันจัดการกับแกได้แน่? เขามีตําแหน่งเป็นถึงผู้ อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้มันรู้ไปว่าจะจัดการกับเจ้าหน้าที่ ที่เพิ่งจะมารายงานตัวไม่ถึงวันอย่างแกได้

 

ผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลถึงกับขมวดคิ้ว พร้อมกับร้องถามออกไปว่า “เขามารายงานตัวเข้าทํางานหน่วย ไหน?”

 

“ในหนังสือฉบับนั้นไม่ได้ระบุรายละเอียดพวกนี้เพียงแค่เขียนประโยคสั้นๆว่า ทีมแพทย์พิเศษ!”

 

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะไม่เข้าใจความสําคัญของคําว่าทีมแพทย์พิเศษดีนัก!

 

ผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลถึงกับต้องถามย้ําอีกครั้ง “นี่นายแน่ใจนะว่าอ่านไม่ผิด?”

 

“ไม่ผิดแน่นอนครับพี่เขย ฉันเห็นชัดเจน!”

 

ในฐานะที่เป็นถึงผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจตําแหน่งต่างๆ ในองค์การของตนเองเป็นอย่างดีและคําว่า “ทีมแพทย์พิเศษ” นั้น ย่อมบ่งบอกว่ามีฐานะที่พิเศษไม่ธรรมดา

 

“ปกติแล้ว แพทย์พิเศษจะต้องมารายงานตัวพร้อมกับคณะกรรมการของกรมอนามัยประจํามณฑลนี่!แต่ทําไมครั้งนี้ถึงได้มารายงานตัวคนเดียวล่ะ?”

 

ผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้แต่ครุ่นคิดด้วยสีหน้างุนงงสงสัย และที่สําคัญ แพทย์ที่จะมาอยู่ในทีม แพทย์พิเศษนั้นล้วนแล้วแต่ต้องเป็นหมอที่มีอายุมาก และ ผ่านประสบการณ์มาหลายปีที่อายุน้อยที่สุดก็ยังสี่ สิบปีขึ้นไป แต่ทําไมแพทย์พิเศษคนนี้ถึงได้ยังดูหนุ่มแน่นขนาดนี้!

 

หลังจากใคร่ครวญดูครู่หนึ่งแล้ว จู่ๆ สีหน้าของผู้อํานวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไม่สู้ดีนักเขาจึงรีบสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมว่า

 

“รีบไปตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาอีกสักสองสามคนแล้วรีบตามฉันเข้าไป!”

 

แผนกรักษาความปลอดภัยนั้น อยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายทรัพยากรบุคคลด้วย ผู้อํานวยการจึงมีหน้าที่สั่งการได้อย่างเต็มที่

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายนั้นยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข และได้แต่คิดในใจว่า ดูท่าพี่เขยของเขาคงจะช่วยจัดการหมอนั่นแทนเขาแน่เขาจึงไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไป ตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในห้องให้ตามไปด้วยทันที

 

ฉีเลยเดินเข้าไปในอาคาร และจากป้ายที่ติดอยู่ด้านนอกทําให้เขารู้ว่าที่ที่เขาจะต้องไปรายงานตัวนั้นอยู่ชั้นสาม

 

หลังจากขึ้นไปถึง ชายหนุ่มก็ได้ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องและจากประตูที่เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่งนั้น ทําให้เขาได้ เห็นชายหนุ่มแต่งตัวสะอาดสะอ้านคนหนึ่งกําลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะทํางาน

 

ก๊อกๆ

 

ฉีเล่ยเคาะประตูอย่างมีมารยาท ชายหนุ่มที่อยู่ด้านในเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับร้องถามออกไปว่า

 

“คุณมาพบใคร?”

 

“สวัสดีครับ คือผมมารายงาน…”

 

ระหว่างที่พูด ฉีเลยก็ได้หยิบจดหมายฉบับเดิมออกมาอีกครั้งและเตรียมตัวที่จะอธิบายเหตุผลให้กับชายหนุ่มตรงหน้าฟังแต่เขากลับยกมือขึ้นห้าม พร้อมกับพูดแทรกขึ้นทันที

 

“คุณรอประเดี๋ยวก่อน ตอนนี้ผมยุ่งมาก!”

 

จากนั้น ชายหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาเขียนต่อโดยไม่สนใจฉีเล่ยเลยแม้แต่น้อย

 

ฉีเล่ยยังคงรอคอยอย่างอดทนอีกราวสองสามนาที แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคงจะยังไม่เขียนเสร็จง่ายๆแน่ ทําให้ฉีเลยได้แต่ยืนเก้ๆกังๆพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะด้วยความกระ อักกระอ่วนใจอยู่เป็นครั้งคราวและได้แต่แอบบ่นพึมพําอยู่ในใจ

 

“เฮ้อ.. นี่จะหยุดเขียนสักครู่ไม่ได้จริงๆน่ะเหรอ? มันเสียเวลาของเขาขนาดนั้นเลยหรือยังไง? กระทั่งเก้าอี้ให้นั่งรอก็ยังไม่มี!”

 

หลังจากยืนรออยู่ครู่ใหญ่ และไม่มีท่าทีว่าชายหนุ่มจะหยุดเขียนเสียทีฉีเล่ยจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับยื่นจดหมายในมือให้ชายหนุ่มและพูดขึ้นว่า

 

“ขอโทษนะครับ! รบกวนช่วยจัดการเรื่องของผมก่อนจะได้มั้ยครับ?”

 

ชายหนุ่มร้องตอบฉีเลย โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง“คุณจะรีบร้อนไปไหนกัน? ไม่เห็นหรือยังไงว่า ผมกําลังเร่ งทํางานที่หัวหน้าหลิวสั่งอยู่?ธุระของคุณสําคัญกว่าธุระขอ งหัวหน้าหลิวหรือยังไง?ไหนลองตอบผมที่สิ?”

 

ฉีเลยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย “นี่คุณนายหลิวไม่ได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านงั้นเหรอ? หรือว่าจะมีหัวหน้าหลิวหลายคน?”

 

ฉีเล่ยจึงได้เอ่ยปากถามชายหนุ่มออกไปว่า “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าที่นี่มีหัวหน้าหลิวกี่คนครับ?”

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขายกมือขึ้นตบโต๊ะ พร้อมกับลุกขึ้นยืนตวาดใส่หน้าฉีเลยทันที

 

“กลับไปยืนรออยู่หน้าประตูเดี๋ยวนี้! ถามอยู่ได้ รู้มั้ยว่าคุณกําลังรบกวนสมาธิในการทํางานของผมอยู่? นี่ถ้าผม ส่งงานให้หัวหน้าหลิวล่าช้าคุณจะรับผิดชอบไหวเหเรอ?”

 

หลังจากนั้นด้วยความโมโห ชายหนุ่มจึงได้กระชากจดหมายในมือของฉีเลยมา และเตรียมที่จะขยําทิ้งขยะไป แต่ ในระหว่างนั้นบังเอิญสายตาของเขาได้เหลือบไปเห็นคําว่า “ทีมแพทย์พิเศษ”ที่อยู่ในจดหมายเข้า

 

“ห้ะ?!”

 

ชายหนุ่มร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ และรีบยกจดหมายในมือขึ้นมาดูชัดๆอีกครั้ง และเมื่อได้เห็นข้อความทั้งหมดอย่างชัดเจนเขาก็ถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองฉีเลยด้วย ความตกตะลึงก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างสั่น

 

“เอ่อ.. นี่คุณมารายงานตัวในฐานะแพทย์พิเศษเหรอครับ?”

 

“ครับ!” ฉีเลยพยักหน้า และตอบกลับเพียงแค่สั้นๆ

 

“ขอโทษครับ! กรุณายกโทษให้ผมด้วย!”

 

ชายหนุ่มรีบโค้งคํานับเล่ยด้วยใบหน้าที่แดง พร้อมกับเอ่ยขอโทษทันทีก่อนจะถามร้องถามฉีเล่ยต่อว่า

 

“คุณ.. คุณคงจะเป็นคุณหมอฉีสินะครับ? ผมต้องขอโทษคุณหมอฉีที่เสียมารยาทเมื่อครู่นี้! ผมคิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นหนึ่งในทีมแพทย์พิเศษจริงๆครับ!”

 

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็รีบกระวีกระวาดยกเก้าอี้มาให้ฉีเล่ยนั่งพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางนอบน้อม

 

“เชิญคุณหมอฉีนั่งก่อนครับ และนี่น้ําดื่ม ผมจะรีบไปรายงานหัวหน้าเกาให้ทราบก่อนนะครับ!”

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset