ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 38 คุณได้รับบาดเจ็บ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 38 คุณได้รับบาดเจ็บ

 

“แกอย่าทําปากดีอวดเก่งไปนักเลย! เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่พนักงานฉันก็สามารถจับแกยัดเข้าคุกได้หลายปีแล้ว!”

แม้ภายในใจจะมีคําถามเหล่านั้นปรากฏขึ้น แต่เพื่อรักษาหน้าเขาจึงต้องทําเป็นต้องทําท่าที่ดุดันต่อไป ผู้กํากับตั้งยกมือขึ้นชี้หน้านี่เลยพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง

“ถ้าจะให้เป็นผลดีต่อตัวแกเอง ก็รีบตามฉันกลับไปรับการสอบสวนที่สถานีตํารวจจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายใจดําก็แล้วกัน!”

หลู่ฉีเว่ยเบียดกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกับร้องบอกผู้กํากับตั้งทันที

“ผู้ชายคนนี้ปลอมแปลงเอกสาร หลอกว่าตัวเองเป็น แพทย์พิเศษไม่พอยังทําร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจนได้ รับบาดเจ็บคนที่กล้าท้าทายกฎหมายแบบนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับบทลงโทษอย่างหนัก!”

 

ผู้กํากับดังรู้จักหลู่ฉีเว่ยดีว่ามีตําแหน่งอะไร เขารีบยกมือขึ้นตบหน้าอกตัวเอง พร้อมกับร้องบอกด้วยสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“ผู้อํานวยการหลู่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ครับ ขอแค่คุณส่งคนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ไปเป็นพยานสักคน รับรองได้ว่า ผมจะจัดการไอ้คนไม่รู้จักเคารพกฎหมายแบบนี้ ให้ได้รู้ว่ากฎหมายบ้านเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนแน่!”

น้องเขยของหลู่ฉีเว่ยที่ยังคงนอนร้องคร่ําครวญอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด หลังจากได้ยินคําพูดของผู้กํากับทั้ง เขาก็ข่มความเจ็บปวดไว้และหันไปข่มขู่ฉีเลยว่า

“ไอ้สารเลว! แกระวังตัวไว้ให้ดีเถอะฉันต้องสั่งสอนแกที่หลัง

แน่!”

ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ! ฉันอยากจะรู้นักว่า แขนของแกจะใช้ได้อีกที่เมื่อไหร่?”

ผู้กํากับตั้งขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับหันไปสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่

 

“พวกคุณสองคนยังจะยืนนิ่งเฉยอยู่ทําไม? ยังไม่รีบส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลให้หมอดูอาการอีกล่ะ!”

“ส่วนคุณสองคน พาตัวผู้ชายคนนี้กลับไปสอบสวนที่สถานี!” ผู้กํากับตั้งหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจสองนายที่เพิ่งตามมาถึง

 

ในขณะที่นี่เลยนั้น ก็ยอมที่จะตามเจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งสองคนไปแต่โดยดีแต่ในระหว่างที่เดินผ่านหมู่ฉีเว่ย เขาก็ได้ยิ้มออกมาอย่างนึกขันพร้อมกับหันไปบอกเลยว่า

“ขอบอกคุณตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาของท่านผู้ว่าไต่คุนรบเร้าให้ผมมาเป็นแพทย์พิเศษที่นี่แล้วล่ะก็ ผมไม่มีทางที่จะสนใจหรืออยากจะมาเป็นแพทย์พิเศษเลยแม้แต่น้อย!”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เดินยืดอกเชิดหน้าออกไปจากห้องอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจสองคนเดินตามหลังไปติดๆ แต่กลับดูไม่เหมือนการจับกุม มันดูคล้ายกับตํารวจทั้งสองเดินตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้ฉีเล่ยเสียมากกว่า

 

“เชอะ! ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ถึงกับกล้าอ้างไปถึงภรรยาท่านผู้ว่าเชียวเหรอ? คิดว่าฉันจะกลัว..”

หลู่ฉีเว่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห และเวลานี้ร่างทั้งร่างของเขาก็ถึงกับสั่นเทาด้วยความโกรธ หลู่ฉีเว่ยตอบโต้ไปตามอารมณ์ที่พุ่งพล่านในใจ จึงไม่ทันได้ไตร่ตรองคําพูดเสียก่อน แต่เมื่อหลุดปากออกไปเช่นนั้น เขาก็รีบยกมือขึ้นปิดปากไว้ และกลืนคําพูดที่จะหลุดตามออกมากลับเข้าไปทันที พร้อมกับหันมองไปรอบตัวอ ย่างระแวง

 

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ หลู่ฉีเว่ยก็ได้ยกมือขึ้นชี้ไปทางฉีเล่ยที่เพิ่งเดินออกไป ปากก็กร่นด่าด้วยความโมโหต่อ

“ไอ้คนจองหองอวดดี! แกมันอวดดีจนเกินไป! ขนาดถูกจับได้คาหนังคาเขา ยังจะดื้อดึงไม่ยอมรับ มิหนําซ้ํายังเล่นละครพ่นคําพูดไร้สาระออกมาไม่หยุด!”

“ใจเย็นๆครับผู้อํานวยการหลู่! อย่าไปลดตัวทะเลาะเบาะแว้งกับคนแบบนั้นเลยครับ เสียเวลาเปล่า”

 

ผู้กํากับตั้งรีบร้องบอก ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่า“ผู้อํานวยการหลู่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการกับหมอนั่นเองอ่อ.. เศษกระดาษพวกนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี ผมจะเก็บกลับไป ด้วย!”

เมื่อได้ยินผู้กํากับตั้งพูดถึงเศษกระดาษ หลู่ฉีเว่ยจึงเพิ่งนึกถึงจุดหมายฉบับนั้นได้ เขาก้มลงมองกองเศษกระดาษอยู่ครูใหญ่ในที่สุดก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางเศษกระดาษพวกนั้นและบอกกับผู้กํากับตั้งว่า

“หึ! ดูสิ ขนาดหลักฐานมันยังฉีกทําลายจนหมด เห็นชัดๆว่ามันจงใจทําลายหลักฐานเพื่อหนีความผิด!”

ผู้กํากับดังก้มลงหยิบเศษกระดาษพวกนั้นใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวังก่อนจะหันไปบอกกับหลู่ฉีเว่ยว่า

“เอาล่ะครับ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับสถานีตําตรวจก่อนจะได้ไปจัดการสอบปากคําหมอนั่นให้เรียบร้อย แล้วผมจะรายงานผลการสอบสวนให้ผู้อํานวยการหล่ทราบต่อไป”

หลังจากส่งตั้งออกจากห้องไปแล้ว หลู่ฉีเว่ยก็หันกลับมาบ่นต่อหน้าทุกคนในห้องไม่หยุด

 

“ไอ้บ้า! กล้าดียังไงถึงได้อ้างชื่อหัวหน้าหลิวมาข่มขู่ฉัน! หมอนี่คงจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฎระดับมืออาชีพสินะ? ถึงได้มีการตรวจสอบก่อนว่าหัวหน้าหลิวนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแต่นับเป็นความโชคร้ายของแกที่มาเจอคนฉลาดอย่างฉันเข้า! ไอ้ โจรถอย!”

 

สถานีตํารวจหลงซินอยู่ห่างจากกรมอนามัยไปเพียงแค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น จึงใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์เพียงแค่ห้านาที

 

หลังจากรถตํารวจเลี้ยวเข้าประตูไป ฉีเล่ยก็ถูกนําตัวเข้าไปไว้ในห้องสอบสวน ส่วนผู้กํากับทั้งนั้นเดินไปที่โต๊ะทํางานของตนเองและเมื่อไปถึงเขาก็ล้วงเอาเศษกระดาษในกระเป๋ามากองไว้บนโต๊ะก่อนจะหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจนายหนึ่งทันที

 

“คุณจัดการเอาเศษกระดาษพวกนี้ไปต่อใหม่ให้เรียบร้อย หลังจากต่อเสร็จแล้ว รีบเอาไปให้รองผู้กํากับเจียงตรวจสอบก่อนล่ะ…”

 

หลังจากนั้น เขาก็ได้หันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจอีกคนว่า “ส่วน คุณเดี่ยวเตรียมตัวเข้าไปในห้องสอบสวนกับผม จะได้ช่วยผมจดรายงานคําให้การของผู้ต้องหาในระหว่างที่ทําการสอบสวน…”

ภายในห้องสอบสวน..

ผู้กํากับตังที่นั่งตรงข้ามฉีเลย เอาแต่นั่งหน้าเคร่งขรึม และข้องมองชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่นานกว่าสิบนาที โดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คําเดียว

นั่นเพราะเวลานี้ ผู้กํากับตั้งกําลังนึกถึงคําพูดของรองผู้กํากับเจียงอยู่นั่นเอง

 

รองผู้กํากับเจียงเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจมานานมากกว่ายี่สิบปี เขารู้จักหน่วยงานราชการภายในเมืองดียิ่งกว่าลายมือของตนเองเสีย อีกหลังจากได้เห็นเศษกระดาษที่นํามาปะติดปะต่อจนเรียบร้อยเขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาทันที

 

“ครั้งนี้พวกเราซวยแน่ๆ! ดูเหมือนจะรับเผือกร้อนมาเต็มๆครับผู้กํากับ!”

แต่ในความหมายของรองผู้อํานวยการเจียง ไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นแพทย์พิเศษจริง หรือว่าแอบอ้าง เจ้าหน้าที่ตํารวจก็ไม่ควรจับกุมตัวมาโดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแบบนี้

อย่าลืมว่าแพทย์พิเศษมีฐานะอย่างไร? พวกเขานับเป็นคนที่ข้าราชการระดับสูงของมฑลล้วนแล้วแต่ให้ความเชื่อถือ เพราะเป็นผู้ดูแลเรื่องสุขภาพของพวกเขา

อีกทั้ง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้าราชการระดับสูงควรปล่อยให้เป็นเรื่องของสํานักงานรักษาความมั่นคงมากกว่าเพราะการที่สถานีตํารวจย่อยส่งคนไปจับกุมโดยพละการแบบนี้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงแค่เล็กน้อยย่อมจะนํามาซึ่งหาย นะของสถานีเลยทีเดียว

หลังจากได้ฟังคําพูดของรองผู้กํากับเจียง ผู้กํากับตั้งถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก นั่นเพราะเขาเป็นคนจับกุมตัวชายหนุ่มคนนี้กลับมาที่สถานีตํารวจด้วยตัวเอง

 

เมื่อได้ฟังคําแนะนําจากรองผู้กํากับเจียง ผู้กํากับดังก็เริ่มได้สติและไม่คิดที่จะสอบสวนฉีเลยอีก

ตรงกันข้าม.. ผู้กํากับตั้งกําลังคิดหาคําพูดที่เหมาะสม เพื่อเชิญฉีเลยออกไปจากสถานีตํารวจของเขาโดยเร็ว และทันทีที่ชายหนุ่มก้าวออกไปจากประตูห้อง เขาก็จะรีบโทรแจ้งสํานักงานรักษาความ มั่นคงให้มาจับตัวไปแทน

ผู้กํากับยังเห็นว่าแผนการนี้ค่อนข้างเข้าท่าที่สุด เพียงแต่.. เขายังนึกหาคําพูดดีๆ และเหตุผลที่เหมาะสม เพื่อไล่ชายหนุ่มออกไปไม่ได้เท่านั้นเอง

“อะแฮ่ม.. อะแฮ่ม..”

ผู้กํากับตั้งกระแอมเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน และพูดกับฉีเลยว่า “ว่ายังไงล่ะพ่อหนุ่มอย่ามัวแต่นั่งนิ่งถ่วงเวลาอยู่เลย ถ้าเธอยอมรับ ความจริงออกมาตรงๆฉันรับปากจะปล่อยเธอกลับไปทันที…”

 

“นี่พ่อหนุ่ม เธอเองก็ยังหนุ่มยังแน่นนะ ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ลองไตร่ตรองดูให้ดีๆ!”

ฉีเลยคุ้นเคยกับเหตุการณ์ และคําพูดเช่นนี้มาก เพราะเขาเคยดูละครในทีวีซึ่งมักจะมีฉากตํารวจเกลี้ยกล่อมผู้ร้ายให้เห็นอยู่บ่อยๆเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะต้องมาเล่นบทผู้ต้องหารับการสอบสวนเสียเอง

ฉีเล่ยตอบกลับไปโดยไม่ลังเล “ผมไม่มีความจําเป็นที่จะต้องไตร่ตรองอะไร?”

ในเมื่อฉีเลยไม่ยอมบอกความจริง ผู้กํากับตั้งจึงยังไม่สามารถหาเหตุผลที่จะปล่อยตัวชายหนุ่มไปได้ จึงได้แต่ถามกลับไปว่า

 

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคําถามของฉันมา!”

จากนั้น ผู้กํากับตังก็หยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา พร้อมกับถามฉีเล่ยว่า “เธอปลอมแปลงตราทับของทางราชการใช่มั้ย? แล้วทําไมถึงต้องแอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษด้วย? ตอบฉันมาตามความจริง

งล่ะ!”

“ผมก็บอกความจริงไปหมดแล้ว.. จดหมายฉบับนี้ เลขานุการของคุณหลิวเป็นคนนํามามอบให้ผม แล้วผมก็ไม่ได้แอบอ้างเป็น แพทย์พิเศษแต่เป็นคุณหลิวที่บอกกับผมด้วยตัวเอง”

 

ฉีเล่ยยังคงยืนกรานคําพูดเดิม ด้วยสีหน้าท่าทางที่มั่นคงหนักแน่

“จะสอบสวนยังไง คําตอบก็เหมือนเดิมอยู่ดี!”

ในขณะที่นี่เลยนึกบ่นพึมพําอยู่ในใจนั้น ผู้กํากังตั้งก็คิดบางสี่งบางอย่างอยู่ในใจด้วยเช่นกัน

“หึ! นี่แกคิดว่าแกเป็นใครกัน? ขนาดฉันเป็นผู้กํากับ ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ใกล้ชิดกับภรรยาท่านผู้ว่าเลย แล้วแกเป็นใคร? ภรรยาท่านผู้ว่าถึงได้ต้องไปสนิทสนมถึงขั้นให้มาทํางานในฐานะ แพทย์พิเศษได้!”

หลังจากนั้น ผู้กํากับดังก็ได้บอกกับฉีเลยอีกครั้ง “เอาล่ะ! ถ้าเธอยอมสารภาพ ฉันรับปากว่าจะแค่ตักเตือน แต่ถ้าคราวหลังยังทําเรื่องแบบนี้อีก ฉันก็จะทําโทษ! ในเมื่อฉันให้โอกาสเธอถึงขนาดนี้แล้วหวังว่าเธอคงจะไม่โง่ทิ้งโอกาสดีๆแบบนี้ไปหรอกนะ”

ฉีเล่ยยักไหล่พร้อมตอบกลับไปว่า “ขอบคุณผู้กํากับถังสําหรับความหวังดีแต่สิ่งที่ต้องพูด ผมก็พูดไปหมดแล้ว และที่สําคัญ ผมไม่มีเรื่องอะไรต้องสารภาพ!”

สีหน้าของผู้กํากับถังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาถามฉีเล่ยด้วยใบหน้าทิ้งตึง “ในเมื่อเธออ้างว่าเป็นแพทย์พิเศษ เธอก็ต้องมีความรู้ทางด้านการแพทย์ งั้นไหนลองพิสูจน์ให้ฉันดูจะได้มั้ย?”

 

ฉีเล่ยยิ้มเย็นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของผู้กํากับตั้ง และพูดขี้นว่า “คุณเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆนี้!”

 

ผู้กํากับตั้งถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกับตวาดใส่หน้าฉีเลยด้วยความโมโห “นี่! เลิกยียวนกวนประสาทฉันได้แล้ว! คนเป็นตํารวจมีใครบ้างจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บ? เลิกพูดจาเล่นลิ้นวกไปวนมาซะ

ที่!”

นี่เลยยืดตัวตรง เขาจ้องมองผู้กํากับตั้งแน่นิ่ง ก่อนจะตอบไปว่า“ถ้าไม่เชื่อ ก็ยื่นมือออกมาให้ผมจับชีพจรดู ผมจะบอกว่าคุณได้รับบาดเจ็บที่ไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ได้ฉันก็อยากจะรู้นักว่าเธอจะมีลูกเล่นอะไรอีก?”

ผู้กํากับสั่งทําเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดเขาก็ยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้าทันที

 

พิภพบรรพกาลซวนหยวน ดินแดนแห่งความลึกลับทั่วสารทิศกลิ่นอายสารพันยุคสมัยผันผวน ตํานานพันหมื่นอนันต์เล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นกลายมาเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ถักทอมาอย่างเนิน นานคู่ดินแดนสามัญชนคนธรรมดาจอมยุทธ์ผู้ฝึกตน นักพรตเต๋ผู้ ละจากกิเลส เทพเซียนล้ําฟ้าเทพมารปีศาจสะท้านโลกันต์ผืนพิภพเปี่ยมล้นไปด้วยเผ่าพันธุ์มากมายกําลังชิงชัยเฟ้นหายอดจักรพรรดิเทียมสวรรค์!

จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี้ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง

อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวสู่ บุคคลที่ร่ํารวยที่สุดในโลกแต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้าม หาวิทยาลัยได้เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอดบังเอิญไปเฉียวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตํารวจระหว่างนั้นเองก็มีมือดีแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ทําให้เกิดเป็นประเด็นข้อถกเถียงกันยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้นซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงของตระกูล จ้าวสู่ไม่ มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อํานาจเงินตราเพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมดไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขาคนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ขับไล่ออกจากตระกูลจ้าวและให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจํานวน 200,000 หยวนเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลได้อีกครั้ง

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจําต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนครบตามที่กําหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้งและสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา!

เขาคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลกของวงการทหารรับจ้าง ฉายาของเขาคือ นักฆ่าอาซูร่า”

ศัตรูได้ยินเพียงแค่ชื่อของเขา ก็ถึงกับหวาดกลัวจนหัวหด!!

เขามีทักษะทางด้านการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชา “เก้าเข็มเปิดนภา” ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ําเลิศอย่างไร้ที่ ติของเขานี้ได้ช่วยชีวิตของผู้คนในสนามต่อสู้ไว้ได้มากมายอย่างนักไม่ถ้วน

และด้วยความบังเอิญ เขาได้กลายมาเป็นลูกเขยของตระกูลที่มั่งคั่งตระกูลหนึ่ง

หลายคนอาจคิดว่าการเป็นลูกเขยในตระกูลที่ร่ํารวยมั่งคั่งเช่นนี้คงจะต้องทนอยู่อย่างอัปยศอดสู และถูกเหยียดหยามสินะ?

แต่มิใช่หลินหนาน!! เขาคือลูกเขยที่พ่อตารักยิ่ง และกลายเป็นลูกเขยผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองนี้!

 

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด

จากนั้น หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้นทีละขั้น และไต่ลําดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset