ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 4 เก้าเข็มปลุกวิญญาณ

ตอนที่  4  เก้าเข็มปลุกวิญญาณ

คำพูดเพียงแค่สั้นๆของฉีเล่ยดูเหมือนจะมีมนต์วิเศษ เพราะหลังจากที่เขาพูดจบ อาวุโสหวู่ก็ลืมตาขึ้นทันที พร้อมกับเสียงสูดลมหายใจเข้าลึก

หลังจากที่เห็นอาวุโสหวู่ลืมตาขึ้นเช่นนั้น หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขารีบเข้าไปคว้าแขนของผู้เป็นพ่อไว้ พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง

“พ่อ .. พ่อฟื้นแล้ว ! พ่อเป็นยังไงบ้าง ?”

รองประธานหวังเองก็ถึงกับจ้องมองอาวุโสหวู่ด้วยสีหน้าตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่คิดว่าฉีเล่ยจะสามารถทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ

“เป็นไปไม่ได้ !  เป็นไปไม่ได้ !  อาวุโสหวู่ตายไปแล้วจริงๆ ! ”

คุณหมอหลิวร้องตะโกนออกมาราวกับคนคลุ้มคลั่ง จากนั้น เขาจึงวิ่งตรงเข้าไปหาฉีเล่ย พร้อมกับคว้าชายเสื้อของเขาไว้ ปากก็ร้องตะโกนถามเสียงดัง

“นี่ แก ..  แกทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นขึ้นมาได้ยังไง ?  บอกฉันมาเร็วเข้า ..  บอกฉันมา ..”

แต่ฉีเล่ยกลับดึงมือของหมอหลิวออก พร้อมกับหันหลังเดินออกจากห้องฉุกเฉินไปทันที

“ผู้มีพระคุณ ! ได้โปรดรอประเดี๋ยว ขอให้ผมได้ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของผมก่อน !”

น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื่นเต้นดังมาจากด้านหลังของฉีเล่ย เขาหันหลังกลับไปมองทันที และพบว่าอาวุโสหวู่ได้ก้าวลงมาจากเตียงคนไข้แล้ว และกำลังจะคุกเข่าลงกับพื้น

ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งปราดเข้าไปพยุงแขนข้างหนึ่งของอาวุโสหวู่ไว้ทันที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“อาวุโสหวู่ .. กรุณาอย่าทำแบบนี้เลยครับ ! การช่วยชีวิตผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว อย่าถือเป็นบุญเป็นคุณเลยจะดีกว่าครับ”

อาวุโสหวู่รู้ดีว่า ตนเองได้พบเจอกับหมอที่มีทักษะทางการแพทย์ล้ำเลิศเข้าแล้ว !

แม้ว่าเมื่อครู่ชายชราจะอยู่ในสภาพที่หมดสติไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงแล้วจิตใต้สำนึกของเขาคล้ายถูกสะกด และกักขังไว้ชั่วคราว แม้เขาจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ แต่เขาก็รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยตลอด คล้ายกับว่าตัวเขาเองเป็นเพียงผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

และเมื่อครั้งที่ฉีเล่ยพูดว่า นับเป็นความโชคดีของเขาที่ได้มาพบกับฉีเล่ยนั้น อาวุโสหวู่ก็รู้ได้ว่า ฉีเล่ยตั้งใจพูดกับจิตใต้สำนึกของตัวเขานั่นเอง !

และจากที่เขาเฝ้ามองการฝังเข็มของฉีเล่ยนั้น เขาสามารถบอกได้คำเดียวว่า วิชาเก้าเข็มปลุกวิญญาณของฉีเล่ยนั้น เป็นวิชาที่ล้ำเลิศมาก และหมอธรรมดาทั่วไปยากนักที่จะเช่นนี้ทำได้ !

อาวุโสหวู่รับรู้ได้ว่า พลังงานในร่างกายของเขานั้น ไม่เคยแข็งแกร่งเหมือนที่เป็นอยู่ในเวลานี้มาหลายปีแล้ว

เวลานี้ ทั้งหวู่เฉินเทียน และรองประธานหวัง ต่างก็ตรงเข้ามาจะช่วยพยุงร่างของอาวุโสหวู่ไว้ แต่เขากลับส่ายหน้า และตอบกลับไปว่า

“ไม่จำเป็น ต้องช่วยพยุงฉัน ฉันยืนเองได้ ! ”

หลังจากหันไปสั่งห้ามคนอื่นๆไม่ให้มายุ่งกับตนเองแล้ว อาวุโสหวู่ก็ได้หันกลับไปมองแผ่นหลังของฉีเล่ย ที่ค่อยๆเดินห่างออกไป สายตาของอาวุโสหวู่ที่มองฉีเล่ยเวลานี้ เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธา ก่อนจะค่อยๆโน้มศรีษะลงเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับหวู่เฉินเทียนว่า

“เฉินเทียน แก ต้องหา โอกาส คบหากับหมอท่านนี้ไว้ ในวันข้างหน้าเขาจะสามารถช่วยแกได้อย่างมากทีเดียว !”

“เอาล่ะ หลังจากนี้ แกก็ไปช่วยจัดเตรียมหาของขวัญล้ำค่าให้ฉันด้วย .. ”  อาวุโสหวู่หันไปบอกกับหวู่เฉินเทียน พร้อมกับตบไหล่เขาเบาๆ

“ครับพ่อ !”

หวู่เฉินเทียนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจกลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นพ่อ เพราะเขาเป็นถึงคนที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดในเมืองหนานหยาง อีกทั้งยังเป็นถึงประธานใหญ่ของกลุ่มบริษัทเฉินเทียนกรุ๊ป มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องการความช่วยเหลือจากชายหนุ่มคนนี้ ?

ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มคนนี้ก็ยังเป็นเพียงแค่คนเก็บขยะ ดูเหมือนพ่อของเขาออกจะยกยอปอปั้นชายหนุ่มมากจนเกินไปกระมัง ?

……..

หลังจากเดินออกมาจากวอร์ดผู้ป่วยในของทางโรงพยาบาลแล้ว ฉีเล่ยก็ถึงกับถอนหายใจยาวออกมาทันที

ในที่สุด การรักษาก็ได้สิ้นสุดลง และได้ผลตามที่เขาคาดหวัง !

หากพลังปราณในร่างของเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้อีกสักหน่อย เมื่อครู่เขาคงจะสามารถใช้พลังปราณในร่างควบคุมเข็มทั้งเก้าได้ดีกว่านี้ และการใช้วิชาเก้าเข็มปลุกวิญญาณเมื่อครู่ ก็จะทำได้ง่ายดายขึ้น แต่ถึงอย่างไร เขาก็สามารถช่วยอาวุโสหวู่ให้ฟื้นคืนสติได้แล้ว ..

“นายทำได้ยังไง ?”

เสียงเย็นชาของเฉินอวี้หลัวดังขึ้นมาจากด้านหลังฉีเล่ย ..

นี่เขาจะบอกความจริงกับหญิงสาวดีหรือไม่ ?

แต่หากเรื่องนี้แพร่สะพรัดออกไป โลกทั้งโลกคงต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น ทั้งตัวเขา เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ ก็คงยากที่จะหาความสงบสุขได้อีก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแน่ ..

หลังจากคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงได้หันหลังกลับไป พร้อมกับยื่นจี้หยกในมือคืนให้หญิงสาวทันที ปากก็บอกออกไปว่า

“เก็บไว้ให้ดีล่ะ !”

และเวลานี้ จี้หยกในมือของเขา ก็ได้กลายเป็นเพียงจี้หยกธรรมดาทั่วไปแล้ว ..

“ในเมื่อนายสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ทำไมตอนนั้นนายถึงไม่ช่วยพ่อของฉันล่ะ ? ทำไม ?”

เฉินอวี้หลัวร้องคำรามออกมาด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นฟาดลงบนใบหน้าของฉีเล่ยอย่างแรง จากนั้น หญิงสาวก็ได้ทรุดลงกับพื้นร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ

หลังจากที่ได้รับมรดกของตระกูลเฉินมาแล้ว จิตใจของฉีเล่ยก็เปลี่ยนเป็นสงบเยือกเย็น และมั่นคงยิ่ง สิ่งเดียวที่จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเขาผันผวน หรือพุ่งพล่านได้นั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่เรื่องของสกุลเฉินเท่านั้น

ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่คุกเข่านั่งลงข้างๆเฉินอวี้หลัว พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกไปโอบกอดร่างของหญิงสาวที่กำลังสั่นสะท้านไว้แน่น

เขาปล่อยให้เฉินอวี้หลัวร้องไห้อยู่เช่นนั้นราวสิบกว่านาที กว่าที่เธอจะค่อยๆสงบลงได้ในที่สุด

“กลับบ้านกันเถอะนะ !”

ฉีเล่ยพยุงเฉินอวี้หลัวให้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับช่วยเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนตามใบหน้าให้กับเธอ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าซีดขาวของหญิงสาว ฉีเล่ยก็ได้แต่แอบถอนหายใจ

การที่เฉินอวี้หลัวร้องไห้รุนแรงเมื่อครู่นี้ ทำให้เสยชี่ หรือปราณชั่วร้ายไหลที่สะสมอยู่ในร่างเป็นเวลานาน ได้ถูกปลดปล่อยออกมากว่าครึ่ง

เสียชี่หรือปราณชั่วร้ายในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงภูติผีปีศาจ แต่หมายพลังพลังชี่ตามหลักการของแพทย์แผนจีน ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์นั้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเสียชี่นี้ทั้งสิ้น อย่างเช่นลม ความเย็น ความชื้น หรือความร้อนเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่รวมเรียกว่าเสียชี่ทั้งสิ้น

หากร่างกายได้รับเสียชี่เข้าไปจำนวนมาก แต่ไม่สามารถปลดล่อยมันออกมาได้ ก็จะทำให้พลังหยางและพลังหยินในร่างกายไม่สมดุล จนเกิดอาการเจ็บป่วยได้

กระทั่งหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยในตำนานเองก็กล่าวไว้เช่นกันว่า หากภายในร่างกายกักเก็บเสียชี่ไว้ แต่ไม่สามารถปลอดปล่อยออกมาได้ ก็จะทำให้คนผู้นั้นถึงแก่ชีวิตได้

เฉินอวี้หลัวเองก็เช่นกัน ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ผ่านมา หลังจากการตายของอาวุโสเฉินนั้น นอกเหนือจากการะบายความโกรธแค้นลงกับฉีเล่ยแล้ว หญิงสาวก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยสามารถทำให้อาวุโสหวู่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ความโกรธแค้นภายในใจของเฉินอวี้หลัวจึงได้พวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

ในระหว่างที่ฉีเล่ยได้โอบกอดร่างของหญิงสาวไว้นั้น เขาก็ได้ช่วยกดจุดตามร่างกายของเธอให้ด้วย และนั่นทำให้เสียชี่ที่สะสมไว้ในร่างกายมาตลอดหลายปี ได้ถูกปลดปล่อยออกไปพร้อมกับเสียงร้องห่มร้องไห้ด้วย

และหลังจากที่เสียชี่ได้ถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมาก ..

“คุณได้โปรดรับรู้ไว้ว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ผมก็คือคนสกุลเฉิน และในวันข้างหน้า หากเวลาเหมาะสม ผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟังเอง”

ฉีเล่ยร้องบอกเฉินอวี้หลัวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะจูงมือหญิงสาวเดินออกจากโรงพยาบาลไป

ผมเป็นคนของสกุลเฉิน !

หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย เฉินอวี้หลัวถึงกับตกตะลึง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของฉีเล่ย ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วจริงๆ และฉีเล่ยในเวลานี้ ก็ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะตวาดใส่หน้าเหมือนเดิมอีก

แต่ภายในใจลึกๆของเฉินอวี้หลัว เธอกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมาก !

เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าบ้าน ฉีเล่ยก็ได้หยุดยืนรออยู่ที่ประตู ให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินเข้าบ้านไปก่อน จากนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเดินตามเข้าไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พร้อมกับร้อยยิ้มจางๆ ..

“ไอ้คนไม่เอาไหน ! นี่แกจงใจจะให้ฉันสองคนแม่ลูกอดข้าวตายหรือยังไง ?”

“ท่านพี่ ท่านดูสิคะ ! ท่านดูว่าไอ้เด็กหนุ่มที่ท่านอุตส่าห์เสียสละชีวิตช่วยมันไว้นั้น มันเป็นคนแล้งน้ำใจแค่ไหน ? ดูมันทำกับพวกเราสองคนแม่ลูกสิ ..”

ทันทีที่เห็นฉีเล่ยเดินเข้ามาในบ้าน เฉินมู่ก็เอาแต่ร้องคร่ำครวญ พร้อมกับตวัดแส้ในมือใส่ร่างของชายหนุ่มทันที เฉินอวี้หลัวเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่ร้องตะโกนห้ามปราม

“แม่คะ ! หยุดตีเขาได้แล้วค่ะ หนูหิวข้าวมากแล้ว ให้เขาไปทำอาหารให้พวกเราสองแม่ลูกกินดีกว่านะคะ !”

ฉีเล่ยเดินไปที่ครัวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง และรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เฉินอวี้หลัวมักจะปล่อยให้แม่ของเธอ ใช้แส้ฟาดใส่ร่างของเขาโดยไม่สนใจใยดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอห้ามปรามผู้เป็นมารดา

เฉินมู่หันไปมองเฉินอวี้หลัวด้วยสีหน้าแววตาประหลาดใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ลูกสาว .. ทำไมตาของลูกถึงได้แดงก่ำแบบนั้นล่ะ ? หรือเป็นเพราะไอ้คนใจร้ายใจดำนั่นมันข่มเหงรังแกลูก ? บอกแม่มา .. ถ้ามันกล้ารังแกลูกแม่ แม่จะตีมันให้ตายคามือเลย !”

หลังจากพูดจบแล้ว เฉินมู่ก็ทำท่าจะวิ่งเข้าไปจัดการกับฉีเล่ยที่เดินเข้าไปในครัว ..

เฉินอวี้หลัวได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมกับคว้าแส้ออกมาจากมือของมารดา แล้วรีบเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเองทันที ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความหนักใจ

เวลานี้จิตใจของเธอสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เธอได้แต่แอบคิดว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ฉีเล่ย แต่บาดแผลที่เกิดจากแส้ตามตัวของเขา ก็ทำให้หญิงสาวมั่นใจว่า เขาคือฉีเล่ยตัวจริง !

เย็นนี้ ดูเหมือนจะเป็นเย็นที่ฉีเล่ยรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด แม้ว่าเขาจะยังคงต้องเข้าครัวทำอาหารเหมือนเช่นเคย ต้องล้างจาน เก็บโต๊ะ และแม่ยายของเขาก็ยังคงกร่นด่าเขาดังเช่นทุกๆวัน แต่จิตใจของเขากลับสงบเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก

จนกระทั่งตกดึก ฉีเล่ยจึงได้กลับไปที่แคร่ไม้เล็กๆตรงระเบียงบ้าน พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนเหมือนเช่นทุกคืน

……….

เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน เฉินอวี้หลัวก็ได้พาฉีเล่ยไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ห้างสรรพสินค้า แต่ในระหว่างที่เดินซื้อของอยู่นั้น แม่ของหญิงสาวก็ได้โทรเข้ามา เฉินอวี้หลัวถึงกับหน้าเสีย จนฉีเล่ยอดที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัยไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ?”

“ลุงมาที่บ้านอีกแล้วน่ะสิ !  แล้วนี่ก็กำลังบีบคั้นข่มเหงแม่อีกตามเคย .. ”  เฉินอวี้หลัวร้องบอกฉีเล่ยพร้อมกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset