ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 40 ต่อคิวในห้องสอบสวน

ตอนที่ 40 ต่อคิวในห้องสอบสวน

หวังเทียนดังขึ้นรถไปด้วยหัวใจที่รุ่นร้อนกระวนกระวาย

เขารู้ดีว่าที่สถานีตํารวจนั้นมีสภาพเช่นไร ต่อให้คนแข็งแรงๆเข้าไป กลับออกมาก็ต้องมีสภาพที่บาดเจ็บไม่น้อย

เขาร้องสั่งคนขับรถให้เร่งความเร็วให้มากขึ้น เวลานี้ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ไม่ใช่ทัศนคติที่ฉีเลยมีต่อเขา แต่เขากําลังเป็นห่วงสภาพของตนเอง หลังจากกลับไปรายงานเรื่องนี้หลิวชิงเฟิงต่างหาก เขาคงจะหวาดกลัวจนอุจจาระราดแน่

 

เมื่อครู่ หวังเทียนทั้งเพิ่งจะขอให้เนี่ยจิงหัวหน้าสํานักงานรักษาความมั่นคง เดินทางไปที่สถานีตํารวจหลงซินด้วยตัวเอง และจุดประสงค์ที่เขาทําแบบนั้นก็เพราะว่า ต้องการให้นี่เลยเห็นถึงความจริงใจ และจริงจังในการแก้ไขปัญหาของเขานั่นเอง

 

ระหว่างนั้น หวังเทียนหังก็นึกหาหนทางที่จะปลอบโยนฉีเลย เพื่อให้ชายหนุ่มหายจากอาการตกอกตกใจ และสงบลงได้

ส่วนทางด้านเนี่ยจิงนั้น หลังจากวางสายไปแล้ว ก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดด้วยความงุนงง..

“น่าแปลก! ถ้าเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ทําไมเลขานุการใหญ่ต้องไปด้วยตัวเอง? มิหนําซ้ํายังสั่งให้ฉันไปที่นั่นด้วย! ดูท่าสถานะของคนคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่?”

หลังจากคิดได้แบบนั้น เนี่ยจิงก็รีบลุกเดินออกมาจากห้องทํางาน พร้อมกับสั่งลูกน้องว่า “เตรียมรถ.. ฉันจะไปสถานีตํารวจหลงซิน!”

 

ในขณะที่เกาว่านฮุยนั้น หลังจากหวังเทียนดังกดตัดสายทิ้งไปแล้ว เขาก็ได้แต่นั่งฟังเสียง “ตุ๊ดๆ” ที่ตั้งอยู่ปลายสายแน่นิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกระดาษ

คําพูดของหวังเทียนทั้งที่บอกให้เขาสวดมนต์ภาวนารอไว้นั้น ย่อมหมายความว่า เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน และนั่นทําให้เกาว่านฮุยแทบหัวใจวาย

 

“นี่หัวหน้าเกา ขนาดเลขาหวังยังอยู่เรื่องนี้ รับรองว่าอนาคตของคุณต้องรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างแน่นอน!”

 

หลู่เฉีเว่ยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าซีดเผือดของเกาว่านฮุย รีบยกแก้วไวน์ในมือขึ้น พร้อมกับพูดแสดงความยินดีออกมา เมื่อรู้ว่าปลายสายนั้นคือใคร

 

“รุ่งเรืองบ้าบออะไรกัน?”

 

เกาว่านฮุยตอบกลับด้วยน้ําเสียงโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ เขากระแทกแก้วไวน์ลงกับโต๊ะเสียงดัง และหันไปร้องเตือนหลู่ฉีเว่ยด้วยใบหน้าทิ้งตึงว่า

“คุณหลู่! เมื่อครู่คุณเป็นตัวตั้งตัวตีขัดขวางการรายงานตัวของแพทย์พิเศษ มิหนําซ้ํายังกล่าวหาเขาปลอมแปลงเอกสาร แล้วยังสั่งให้น้องเขยตัวเองไปทําร้ายร่างกายเขาซ้ํา หึ! ตอนนี้คุณเตรียมตัวหาคําอธิบายให้กับหัวหน้าหลิวได้เลย!”

 

หลังจากพูดจบ เกาว่านฮุยก็เดินพับแขนเสื้อออกจากห้องอาหารไปด้วยใบหน้าทิ้งตึง และได้แต่คิดในใจอย่างเดือดดาล

 

“ตลกสิ้นดี! ฉันอุตส่าห์เลี้ยงขอบคุณหลู่ฉีเว่ย ที่เตือนให้รู้ว่ามีมิจฉาชีพมาอวดอ้างเป็นแพทย์พิเศษ แล้วนี่มันอะไรกัน?!?

 

หลังจากได้เห็นสีหน้าท่าทาง และได้ยินคําเตือนของเกาว่านฮุย หลู่ฉีเว่ยจึงได้สติขึ้นมาทันที และเริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทําให้ไวน์ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้กลายเป็นเหงื่อไหลเปียกโชกไปทั้งตัวในทันที!

 

เพียงแค่คิดว่าตนเองได้ทําอะไรลงไป และสร้างความไม่พอใจให้กับหลิวเฟิงหยางอย่างไรบ้าง หมู่ฉีเว่ยก็ถึงกับแข้งขาอ่อนแรง และแทบทรุดลงไปกองกับพื้นทันที เขาหันมองไปตามแผ่นหลังของเกาว่านฮุยที่เดินออกไปด้วยความโมโห พร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า

 

“นี่หัวหน้าเกา แต่ทั้งหมดที่ผมทําลงไปก็เพราะหวังดีกับ คุณนะ..”

 

แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะเวลานี้ เกาว่านฮุยได้เดินออกไปไกลแล้ว และไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

หลู่ว่านีวิ่งตามออกมาเพื่อที่จะอธิบาย แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึงหน้าประตูภัตตาคาร กลับพบว่าเกาว่านฮุยได้ขับรถออกไปแล้ว

 

และเวลานี้ เกาว่านฮุยก็กําลังขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานีตํารวจหลงซิน!

เนี่ยจิงซึ่งอยู่ในรถของสํานักงานรักษาความมั่นคงเวลานี้ รถได้แล่นเข้าไปภายในสถานีตํารวจหลงซินด้วยความเร็วสูงสุด และเป็นเวลาเดียวกับที่รถของหวังเทียนทั้งได้แล่นเข้าประตูมาเช่นกัน

เนี่ยจิงถึงกับตกใจไม่น้อย เพราะที่ทํางานของหวังเทียนหังห่างจากสถานีตํารวจหลงซินมากกว่าเขาถึงสองเท่า แต่หวังเทียนทั้งกลับมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันกับเขา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หวังเทียนหังมีความร้อนใจในเรื่องนี้มากเพียงใด!

และนั่นทําให้เนี่ยจิงยิ่งอยากจะรู้ว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจจับใครมากันแน่ ถึงได้ทําให้ท่านเลขาใหญ่ร้อนใจได้มากขนาดนี้ จนต้องรีบรุดมาจัดการด้วยตัวเองแบบนี้?

 

ทันทีที่เดินลงจากรถ เนี่ยจิงก็ตรงเข้าไปหาหวังเทียนดังอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร้องตะโกนทักทายเสียงดัง

 

“ท่านเลขาใหญ่ ผมเนี่ยจิงมาปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งของท่านแล้วนะครับ!”

“พี่เนี่ยจิง เลิกล้อผมเล่นได้แล้ว! ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายอะไรมาก เอาเป็นว่าคนที่ถูกตํารวจจับตัวมานั้นสําคัญมากๆ!”

 

หวังเทียนทั้งเดินน้ําอ้าวโดยไม่หยุด เขาเดินกึ่งวิ่งเข้าไปภายในสถานีตํารวจ พร้อมกับตอบเนี่ยจิงไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

 

จากสีหน้าท่าทางของหวังเทียนฟัง ทําให้เนี่ยจิงยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า คนที่เขาจะมาช่วยในวันนี้ ต้องเป็นคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ระหว่างที่เดินตามหลังหวังเทียนดังไปนั้น เนี่ยจิงก็ได้แต่คิดในใจว่า ดูท่าวันนี้เขาคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้

ทันทีที่เดินเข้าไปในอาคารได้ หวังเทียนฟังก็หันมองไปรอบๆ ก่อนจะร้องตะโกนบอกนายตํารวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่

 

“ผมมาจากสํานักงานเลขาประจํามณฑล ไปเรียกผู้กํากับมาพบผมเดี๋ยวนี้!”

 

“ผมขอดูบัตรประจําตัว ที่แสดงว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่สํานักงานเลขาด้วยครับ!” เจ้าหน้าที่ตํารวจชั้นผู้น้อยไม่กล้าประมาท และจําเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด

“นี่ถึงกับต้องขอตรวจสอบบัตรประจําตัวของเลขาหวังเชียวเหรอ?”

เนี่ยจิงที่เดินตามมาข้างหลังร้องตะโกนถามกลับไปทันที พร้อมกับแนะนําตัวเองเสียงดัง “ผมเนี่ยจิง.. คิดว่าพวกคุณคงจะเคยได้ยินชื่อผมแล้วสินะ?”

 

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตํารวจนายนั้นได้ยินชื่อของเนี่ยจิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกอกตกใจทันที และรีบเงยหน้าขึ้นมองเนี่ยจิงด้วยใบหน้าซีดเผือด แล้วเหงื่อเม็ดโตก็เริ่มผุดขึ้นตามใบหน้า

นั่นเพราะเนี่ยจิงเป็นหัวหน้า ที่รับผิดชอบดูแลสํานักงานรักษาความมั่นคงของเมืองหนานหยาง ย่อมเท่ากับเป็นหัวหน้าของเขาด้วย!

เจ้าหน้าที่ตํารวจนายนั้นรีบลุกขึ้นยืนทําความเคารพ พร้อมกับร้องบอกไปด้วยน้ําเสียงสั่นเทิ้ม..

 

“ทะ.. ท่านหัวหน้า กรุณานั่งลงก่อนครับ ผมจะรีบไปตามผู้กํากับมาให้เดี๋ยวนี้ครับ!”

 

หลังจากพูดจบ เจ้าหน้าที่ตํารวจนายนั้นก็รีบวิ่งหายไปทันที

 

ไม่ถึงครึ่งนาที ดังผินก็วิ่งออกมาพร้อมกับรายงานตัวต่อเนี่ยจิงอย่างเป็นทางการ “ผู้กํากับตั้งผนแห่งสถานีตํารวจหลงซิน รายงานตัวต่อหัวหน้าครับผม!”

 

“ไม่ทราบว่าหัวหน้ามาถึงที่นี่ มีอะไรให้รับใช้หรือครับ?”

แม้ปากของตั้งผนจะร้องตะโกนออกไปด้วยน้ําเสียงหนักแน่น แต่ขาทั้งสองข้างของเขาที่ซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงขายาวนั้น กลับกําลังสั่นสะท้าน

 

ปกติแล้ว ยากนักที่ตั้งผนจะมีโอกาสได้พบเจอกับหัวหน้าสํานักงานรักษาความมั่นคงของเมืองหนานหยางแบบนี้ แต่จู่ๆหัวหน้าเนี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า ต้องมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นแน่ๆ!

 

“ตอนนี้แพทย์พิเศษฉีอยู่ที่ไหน?” หวังเทียนทั้งไม่สนใจเรื่องอื่น เขารีบร้องตะโกนถามเรื่องสําคัญออกไปในทันที

 

ตั้งผนถึงกับเหงื่อตก และรีบตอบหวังเทียนทั้งกลับไปทันที “รายงานท่านเลขา ตอนนี้แพทย์พิเศษนี่อยู่ในห้องสอบสวนหมายเลขสองครับ!”

 

ภายในใจของตั้งผนเวลานี้ได้แต่แอบคิดว่า เขาไม่น่าไปรับเผือกร้อนนี้มาจากสํานักงานสุขภาพเลยจริงๆ

“ยังจะยืนนิ่งเฉยทําไมอยู่อีก? รีบๆนําทางไปสิ!”

 

เนี่ยจิงตวาดเสียงดัง พร้อมกับจ้องมองผู้กํากับตั้งด้วยใบหน้าบึงตึง ทําให้เขาถึงกับต้องลากขาสั่นสะท้านทั้งสองข้างเดินนําออกไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องบอกไปว่า

 

“เชิญตามผมมาทางนี้ครับ!”

 

เมื่อทุกคนขึ้นไปชั้นสองก็ได้พบว่า ที่หน้าห้องสอบสวนหมายเลขสองนั้น มีเจ้าหน้าที่ตํารวจยืนออกันอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งสถานีได้มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้จนหมด!

หลังจากที่ได้เห็นภาพทั้งหมดตรงหน้า หวังเทียนฟังก็ถึงกับกลั้นหายใจ และได้แต่พิมพ์ออกมาด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง

“พระเจ้า! นี่ตํารวจทั้ง ส.น. ถึงกับรอคิวสอบสวนหมอฉีที่อยู่ข้างในเหรอนี่?”

 

“แย่แล้ว! ปานนี้หมอฉีจะมีสภาพเละเทะไปถึงไหนแล้ว?”

“นี่! พวกคุณมายืนอออะไรกันอยู่ตรงนี้? ไม่ไปทํางานทําการกันหรือยังไง?” ผู้กํากับทั้งร้องตะโกนออกเสียงดัง

 

“ทุกคนฟังคําสั่ง! นั่งยองๆลงกับพื้นให้หมด!”

เนี่ยจิงร้องตะโกนสั่งเจ้าหน้าที่ตํารวจทั้งหมดด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนจะหันไปสั่งตั้งผนด้วยใบหน้าทิ้งตึง

“คุณไปจัดการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคุกเข่าลงให้หมดเดี๋ยวนี้!”

 

เนี่ยจิงเองก็รู้สึกไม่ดีนักที่ได้เห็นภาพเช่นนี้ปรากฏต่อหน้า และเขาเองก็คิดเช่นเดียวกับหวังเทียนฟังว่า ปานนี้คนที่ถูกสอบสวนอยู่ในห้อง คงจะต้องถูกซ้อมจนน่วมไปแล้วแน่ๆ

หวังเทียนฟังวิ่งตรงไปที่ห้องสอบสวนหมายเลขสองทันที ปากก็ร้องตะโกนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

 

“คุณหมอฉีครับ คุณหมอฉี! คุณเป็นยังไงบ้างครับ?

“เลขาหวังเหรอครับ? ในที่สุดคุณก็มาจนได้!” เสียงฉีเล่ยร้องตะโกนตอบออกมาจากห้องสอบสวนหมายเลขสอง

และทันทีที่ได้ยินเสียงของฉีเลย หวังเทียนฟังก็ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาผลักเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ออกันอยู่หน้าประตูออกไปอย่างแรง ส่วนตัวเองนั้นก็รีบผลักประตูห้องสอบสวนเข้าไปด้านในทันที

แต่ภาพที่เห็นนั้น ก็ทําให้หวังเทียนดังถึงกับยืนตัวแข็งที่อ..

นั่นเพราะภาพที่อยู่ในหัวของเขานั้น ฉีเล่ยคงจะต้องมีสภาพถูกซ้อมจนน่วมไปทั้งตัว ถึงแม้ไม่ตาย ก็คงต้องนําส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะขอแค่ฉีเล่ยยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว!

แต่เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏต่อหน้าเวลานี้ หวังเทียนทั้งกลับรู้สึกราวกับว่า ตนเองนั้นกําลังฝันอยู่หรือไม่?

นั่นเพราะภายในห้องสอบสวนเวลานี้ ฉีเล่ยกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพที่ปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ตํารวจของสถานียืนเรียงกัน เป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้านหน้า

 

ในระหว่างนั้น เสียงพูดของฉีเลยก็ดังมาเข้าหูของหวังเทียนฟัง..

“ธาตุไฟในร่างกายของคุณรุนแรงมาก และโทสะก็จะยิ่งไปเพิ่มให้ธาตุไฟในตัวทวีความรุนแรงมากขึ้น ถ้าคุณยังขึ้นเป็นคนขี้โมโหแบบนี้ ธาตุไฟก็จะค่อยๆทําลายตับของคุณให้เสียหาย

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset