ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 41 ไปกันได้หรือยัง?

ตอนที่ 41 ไปกันได้หรือยัง?

 

หวังเทียนฟังได้แต่ยืนนิ่งด้วยความงงงวย..

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

 

“ทําไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?

 

เนี่ยจิงที่รีบวิ่งตามเข้าไปในห้องสอบสวน เมื่อได้เห็นภาพที่ปรากฏต่อหน้า ก็มีสภาพงุนงงไม่ต่างจากหวังเทียนฟัง เขาเคยพบเจอเรื่องราวในลักษณะนี้มาก็มาก แต่ไม่เคยพบเห็นผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ

 

“นั่งลงสิวะ! นั่งลงให้หมดทุกคณะเลย!”

 

ในขณะที่ผู้กํากับทั้งนั้นก็กําลังสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองให้นั่งลงตามคําสั่งของเนี่ยจิง หลังจากที่ทุกคนได้เห็นเนี่ยจิงปรากฏตัว พวกเขาต่างก็พากันนั่งนิ่ง และไม่มีใครกล้าขัดขืนคําสั่งเลยแม้แต่คนเดียว

 

“เลขาหวังครับ คุณช่วยอธิบายให้เจ้าหน้าที่ตํารวจฟังด้วย คุณรู้มั้ยว่าจดหมายที่คุณให้คนนํามาให้ผมนั้น เกือบจะฆ่าผมแล้ว!”

 

ทันทีที่หวังเทียนดังเปิดประตูเข้ามาในห้อง ฉีเล่ยก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องบอกเขาทันที

 

“นี่ถ้าวันนี้คุณไม่มา ผมคงต้องนอนในคุก!”

 

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหวังเทียนฟังก็สามารถสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ และแอบคิดอยู่ในใจว่า ดีที่สุดแล้วที่นี่เลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร!

 

หลังจากคิดได้ว่า ตนเองมาที่สถานีตํารวจหลงซินด้วยวัตถุประสงค์อะไร ใบหน้าของหวังเทียนดังก็เปลี่ยนเป็นบึงตึงเคร่งเครียด พร้อมกับเดินเข้าไปด้านหน้า และตบโต๊ะเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง

 

ปัง

 

จากนั้น หวังเทียนฟังก็ได้หันไปถามผู้กํากับทั้งเสียงดัง “ทําไมแพทย์พิเศษของกรมอนามัย ถึงได้ถูกนําตัวมาที่สถานีตํารวจได้? ผู้กํากับดัง! เรื่องนี้คุณต้องมีคําอธิบายที่ดีให้กับผม!”

 

ตั้งผินถึงกับขนหัวลุก และเวลานี้เหงื่อเม็ดโตก็ได้ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเขา สีหน้าของผู้กํากับตั้งเวลานี้ บ่งบอกว่ากําลังรู้สึกผิดอย่างมาก และได้แต่อธิบายออกไปด้วยน้ําเสียงสั่นเครือ

 

“คือ.. ทางเรา ได้รับแจ้งจากสํานักงานสุขภาพ ให้นําตัวแพทย์พิเศษมาสอบสวนครับ”

 

“สอบสวนงั้นเหรอ?! ทําไมต้องสอบสวน? แล้วจะสอบ สวนคุณหมอฉีเรื่องอะไร?”

 

หลังจากได้ฟังคําตอบของผู้กํากับดัง หวังเทียนฟังก็ถึงกับโมโหจนควันออกหู และร้องตะโกนถามกลับไปเป็นชุด เห็นได้ชัดว่าเวลานี้หวังเทียนทั้งกําลังเดือดดาลใจอย่างที่สุด!

 

“ในเมื่อคุณหมอฉีก็ถือจดหมายที่ออกโดยสํานักงานประจํามณฑลมาด้วย มิหนําซ้ํายังมีตราสัญลักษณ์ของกรมอนามัยประทับอยู่ในจดหมายด้วย การที่พวกคุณเพิกเฉยต่อเอกสารสําคัญของทางราชการแบบนี้ นี่ไม่เท่ากับว่า เป็นการดูถูกสํานักงานต้นสังกัดที่ออกจดหมายอย่างนั้นเหรอ? ผมเพิ่งรู้ว่าสถานีตํารวจหลงซินทํางานชุ่ยแบบนี้!”

 

หลังจากตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ผู้กํากับดังก็แทบจะเป็นลมหมดสติ และเวลานี้เขาก็หวาดกลัวเป็นอย่างมากและรีบระลําระลักตอบหวังเทียนทั้งกลับไปว่า

 

“มะ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับคุณเลขาหวัง! ผมยอมรับผิดที่ทํางานประมาทเลินเล่อ เลขาหวังอย่าเพิ่งโมโหไปเลยนะครับ ได้โปรดอภัยให้ผมสักครั้งนะครับ!”

 

จากนั้น ผู้กํากับตั้งก็รีบหันไปทางฉีเลย พร้อมกับโน้มศรีษะลงด้วยความนอบน้อม ปากก็ร้องตะโกนออกไปว่า

 

“คุณหมอฉีครับ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย!” ในระหว่างที่พูดนั้นเหงื่อเย็นก็ได้ไหลออกมาเต็มใบหน้าของผู้กํากับตั้ง

 

หวังเทียนฟังจ้องมองตั้งผืนด้วยสีหน้า และแววตาเย็นชา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ผู้กํากับตั้ง ครั้งนี้คุณคงต้องได้รับบทเรียนครั้งใหญ่แน่! เพราะเรื่องนี้เป็นคําสั่งโดยตรงของท่านผู้ว่าไต่คุน!”

 

เนี่ยจิงที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขารู้เพียงแค่ว่าต้องมาช่วยใครบางคนที่สําคัญมาก และเมื่อมาถึงก็ได้รู้แค่ว่าเป็นแพทย์พิเศษคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพิ่งจะรู้ว่า เป็นคําสั่งของท่านผู้ว่าไต่คุนโดยตรง

 

หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์กระจ่างแจ้งแล้ว เนี่ยจิงจึงได้หันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนที่ยืนอยู่ด้านหลังทันที

 

“โทรหาซันหยงเกอ สั่งให้เขามารายงานตัวกับผมภายในสิบนาที!”

 

หลังจากได้ยินคําสั่งของเนี่ยจิง ผู้กํากับตั้งถึงกับเจ็บแปลบที่ก้นกบขึ้นมาอีกครั้งทันที นั่นเพราะซันหยงเกอมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาอีกที ทําให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า การที่เนี่ยจิงสั่งให้ชันหยงเกอมารายงานตัวนั้น คงจะต้องมีคําสั่งให้จับกุมตนเองแน่ๆ

 

ตั้งผนถึงกับร่างกายสั่นเทิ้มหนักกว่าเดิม และได้หันไปอ้อนวอนขอร้องนี่เลย..

 

“นายแพทย์พิเศษฉีครับ.. ผมผิดไปแล้ว! ได้โปรดช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าเนี่ยเข้าใจด้วยเถอะนะครับ! ช่วยขอร้องหัวหน้าเนี่ยแทนผมที่ อย่าให้หัวหน้าซันมาที่นี่เลยนะครับ ถ้าหัวหน้าซันมาผมคงไม่รอดแน่ๆ! ผมสัญญาว่า นับจากวันนี้ไป จะไม่กล้าทําอะไรแบบนี้กับท่านหมอฉีอีกเลย!”

 

ฉีเลยได้แต่บ่นพึมพําอยู่ในใจ “คุณเป็นฝ่ายจับตัวผมมาที่นี่ แต่กลับกลายเป็นว่า ผมต้องกลายเป็นฝ่ายช่วยเหลือคุณอย่างนั้นเหรอ? เฮ้อ….”

 

แต่ฉีเล่ยก็อดสงสารไม่ได้ จึงได้แต่หันไปพูดกับเนี่ยจิงว่า “ผู้กํากับตั้งเพียงแค่ทําตามหน้าที่เท่านั้นครับ หลังจากได้รับแจ้งมาแบบนั้น ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ เขาย่อมไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้แต่หลังจากนําตัวผมมาที่สถานี ก็ไม่ได้ทําร้ายร่างกายผม เพียงแค่สอบสวนไปตามหน้าที่เท่านั้น”

 

“คุณก็เห็นกับตาแล้วนี่ครับ. ผมนั่งอยู่ในห้องสบายๆ มีทั้งน้ําชามีทั้งบุหรี่มาคอยบริการเป็นอย่างดี แล้วก็ไม่ได้ใส่กุญแจมือด้วยเห็นมั้ยครับ?”

 

ความจริงแล้ว เนี่ยจิงต้องการที่จะจัดการกับตั้งผนขั้นเด็ดขาดแต่เมื่ออีกฝ่ายได้พูดออกมาเช่นนั้น เนี่ยจิงจึงจําเป็นต้องให้หน้าและล้มเลิกความคิดที่จะลงโทษตั้งผนขั้นรุนแรง

 

เขาหันไปชี้หน้าตั้งผินพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงเย็นชา “เห็นแก่คุณหมอฉีผมจะไม่ปลดคุณจากตําแหน่ง แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องได้รับบทเรียนบ้าง พรุ่งนี้ไปพบซันหยงเกอ แล้วไปขอรับโทษกับเขาด้วยตัวเอง!”

 

“ครับๆ ขอบคุณครับหัวหน้าเนี่ย ขอบคุณครับเลขาหวังขอบคุณครับท่านหมอฉี!”

 

ตั้งผนจ้องมองนี่เลยด้วยสีหน้า และแววตาสํานึกผิดอย่างมากเขาเป็นฝ่ายเข้าใจเลยผิด และเกือบจะใช้กําลังเข้าทําร้ายร่างกายชายหนุ่ม แต่นี่เลยกลับไม่ถือโทษ มิหนําซ้ํายังยอมช่วยพูดให้กับเขาด้วย

 

ด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อฉีเลย ตั้งผนจึงได้ยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเองเสียงดัง พร้อมกับประกาศต่อหน้าทุกคนว่า

 

“ท่านหมอฉีครับ ผมขอประกาศต่อหน้าหัวหน้าเนี่ยว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป หากท่านหมอมีเรื่องอะไร ได้โปรดเรียกใช้ผมได้ทันที ผมยินดีที่จะรับใช้ท่านหมอทุกอย่าง หากผมไม่รักษาคําพูด ผมจะขอเป็นคนถอดเครื่องแบบตํารวจนี้ทิ้งด้วยตัวเอง!”

 

แต่ฉีเลยกลับไม่ได้สนใจคําพูดของตั้งผนนัก เขาหันไปพูดกับหวัง เทียนหังว่า “เลขาหวัง ในเมื่อความจริงทั้งหมดก็กระจ่างแล้ว ไม่ทราบว่าพวกเราจะไปจากที่นี่กันได้หรือยัง?”

 

หลังจากที่ได้ยินคําถามของนี่เลย หวังเทียนฟังถึงกับดีใจอย่างบอกไม่ถูก ความจริงเขากําลังรู้สึกกังวลใจว่า ฉีเลยอาจจะดึงดันที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป และต้องการให้เรื่องนี้ไปถึงหูของผู้ว่าไต่คุนกับภรรยา

 

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ รับรองได้ว่า ทั้งเขาและทุกๆคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะต้องถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศรีษะอย่างแน่นอน!

 

ก่อนที่จะเดินทางมาถึง หวังเทียนฟังได้วาดภาพความหายนะที่จะต้องเกิดขึ้นกับตนเองไว้แล้ว และได้ทําใจยอมรับกับผลลัพธ์ที่จะตามมาได้แล้ว แต่ในเมื่อเหตุการณ์กลับพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ จะไม่ให้เขาดีอกดีใจได้อย่างไรกันเล่า?

 

หวังเทียนหังก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง และเมื่อเห็นว่ายังไม่เลยเวลาทํางานของสํานักงานสุขภาพ เขาจึงได้บอกกับฉีเลยไปว่า

 

“ครับคุณหมอฉี! เดี๋ยวผมจะไปที่สํานักงานสุขภาพกับคุณหมอฉีด้วย ดูสิว่า ยังจะมีใครกล้ากล่าวหาว่าคุณเป็นมิจฉาชีมาแอบอ้างอีกหรือเปล่า?”

 

หลังจากพูดจบ หวังเทียนดังกับเนี่ยจิงก็ได้เดินประกบฉีเล่ยลงไปชั้นล่างทันที คนหนึ่งอยู่ข้างขวา ส่วนอีกคนอยู่ข้างซ้าย โดยมีผู้กํากับทั้งเดินตามไปข้างหลังอย่างเงียบๆ

 

แต่ทันทีที่ทั้งหมดเดินลงไปถึงชั้นล่างของสถานีตํารวจหลงซินพวกเขาก็เห็นเกาว่านฮุยที่กําลังวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

 

และเมื่อเห็นหวังเทียนหยางเข้า เกาว่านฮุยก็รีบระส่ําระลักพูดออกไป พร้อมกับเหงื่อที่ไหลอาบเต็มใบหน้า

 

“เลขาหวังครับ ได้โปรดฟังผมอธิบายก่อน”

 

หวังเทียนดังไม่แม้แต่จะปรายตามองไปทางเกาว่านฮุย เขาเดินผ่านเกาว่านฮุยไปราวกับว่าเป็นเพียงแค่อากาศธาตุ ในขณะเดียวกันก็หันไปพูดกับฉีเล่ยด้วยสีหน้าท่าทางนอบน้อม

 

“เชิญทางนี้ครับคุณหมอฉี รถของผมจอดอยู่ตรงนั้น!”

 

เนี่ยจิงเองก็เดินไปขึ้นรถของสํานักงานรักษาความมั่นคง และตั้งใจว่าจะขับตามหวังเทียนดังไปที่สํานักงานสุขภาพด้วย ไหนๆเขาก็เสียเวลากับเรื่องนี้ไปแล้ว คงต้องตามไปดูให้เห็นกับตาว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร?

 

ส่วนเกาว่านฮุยก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอกหนักใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปที่รถของตนเอง และขับตามไปด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจอย่างมาก!

 

ผู้กํากับตั้งได้แต่ยืนมองรถสองสามคัน ที่แล่นออกจากสถานีตํา รวจหลงซินไปด้วยความโล่งใจ วันนี้เขาเกือบจะต้องหลุดจากตําแหน่งโดยไม่รู้ตัว มิหนําซ้ําอาจถูกสั่งขังเป็นการทําโทษอีกด้วย

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับเป็นเรื่องที่เขาคงไม่อาจลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิต! นั่นเพราะจะมีสักกี่คนที่เป็นอย่างหมอหนุ่มคนนี้ทั้งหัวหน้าสํานักงานเลขา และหัวหน้าสํานักงานรักษาความมั่นคงถึงกับต้องมารับถึงสถานีตํารวจด้วยตัวเอง!

 

นับเป็นความโชคดีของตั้งผิน ที่เนี่ยจิงเห็นแก่หน้าฉีเลย ไม่อย่างนั้นแล้ว วันนี้ตั้งผนคงต้องตกที่นั่งลําบากอย่างแน่นอน!

 

แต่เมื่อหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในสถานีตํารวจ จู่ๆ ตั้งผินก็เริ่มรู้สึกปวดแปลบบริเวณก้นกบขึ้นมาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะถูกเนี่ยจิงเตะเข้าเมื่อครู่นี้ แต่เป็นเพราะความตกใจกลัว ทําให้เขาลืมเรื่องความเจ็บปวดนี้ไปเสียสนิท!

 

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset