ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 46 เด็กสาวป่วยหนัก

ตอนที่ 46 เด็กสาวป่วยหนัก “ฉันไม่มีเวลาที่จะอยู่ต่อนานกว่านี้แล้ว! หลายคนโทรมาตามให้ฉันรีบกลับปักกิ่ง มีงานเร่งด่วนที่รอให้ฉันกลับไปสะสาง!” ภายในห้องเพรสซิเดนท์สูทของโรงแรมฮัวเยวี่ย หลี่ฉั่วเฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับฉีเล่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามต่อว่า “เธอตัดสินใจแน่นอนแล้วใช่มั๊ย? ไม่คิดที่จะใคร่ครวญดูเสียหน่อยเหรอ ความจริงฉันว่า ตำแหน่งแพทย์พิเศษอาวุโส น่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า!” “ไม่ดีกว่าครับ!” ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา หลังจากที่ได้คุยกับฉีเล่ยเพียงสั้นๆทางโทรศัพท์ หลี่ฮั่วเฉินก็ได้เชิญฉีเล่ยมานั่งคุยที่โรงแรม หลังจากใคร่ครวญข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินอยู่นาน ในที่สุดฉีเล่ยก็ตัดสินใจเลือกที่จะเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแพทย์ เพราะรู้สึกว่า น่าจะเป็นเหมาะกับเขามากที่สุด หลี่ฮั่วเฉินจึงตอบกลับไปทันที “ตกลง! ฉันจะได้ให้เลขาจัดการจองตั๋วเครื่องบินกลับปักกิ่งพรุ่งนี้เลย เพราะมีงานด่วนต้องรีบกลับไปสะสาง ฉันจะเดินทางไปล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน..” หลังจากนั้น อาวุโสหลี่ก็ได้เขียนที่อยู่ไว้ให้กับฉีเล่ย และบอกกับเขาว่า เมื่อไปถึงปักกิ่งให้ไปตามที่อยู่นี้ ฉีเล่ยรับกระดาษแผ่นนั้นมา พร้อมกับบอกลาหลี่ฮั่วเฉิน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ……. หลังจากนั้นราวสองสามวัน ฉีเล่ยก็ได้เตรียมตัวที่จะเดินทางไปปักกิ่ง.. ตามแผนเดิมนั้น เฉินอวี้หลัวและซูชางฉิน จะต้องเดินทางไปปักกิ่งพร้อมกับชายหนุ่ม แต่บังเอิญเกิดเหตุการณ์เร่งด่วนที่ไม่คาดคิดขึ้นเสียงก่อน จู่ๆผู้ป่วยสองรายในแผนกที่เฉินอวี้หลัวดูแลอยู่ กลับมีอาการหนักอย่างกะทันหัน และหญิงสาวก็ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้รับเคส แม้ว่าเฉินอวี้หลัวอยากจะเดินทางไปพร้อมกับสามี แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อคนไข้  ทำให้เธอต้องอยู่ทำการผ่าตัดคนไข้ให้เสร็จสิ้น และต้องอยู่ดูแลจนกว่าคนไข้ทั้งสองจะฟื้นตัว และเฉินอวี้หลัวก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก.. ฉีเล่ยซึ่งนอนอยู่บนเตียง หันไปโอบกอดภรรยาพร้อมกับบอกไปว่า “ผมจะรอจนกว่าคนไข้ของคุณจะฟื้นตัวแล้วค่อยเดินทาง ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก” เฉินอวี้หลัวที่กำลังใช้นิ้วมือเขียนวงกลมเล่นบนแผ่นอกของฉีเล่ย เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม พร้อมตอบกลับไปในทันที “ไม่ได้นะ! ในเมื่อรับปากอาวุโสหลี่ไปแล้ว นายก็ควรต้องรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุด เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจไปว่า นายอวดดี ถือว่าตัวเองเป็นหมอที่มีความสามารถ ก็เลยถือวิสาสะที่จะทำอะไรตามใจชอบก็ได้!” หญิงสาวซุกไซ้ใบหน้าไปที่ลำคอของฉีเล่ยด้วยความรู้สึกสบาย ก่อนจะพูดต่อว่า “นายเดินทางไปก่อนจะดีกว่า จะได้ไปทำความคุ้นเคย แล้วก็ปรับตัวให้เข้ากับที่นั่นให้ได้ เพราะกว่าคนไข้ทั้งสองคนของฉันจะฟื้นตัว คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นเดือนเชียวล่ะ ” “เฮ้อ.. แบบนี้พวกเราสองคนก็ต้องแยกจากกันน่ะสิ!” ฉีเล่ยถึงกับถอนใจ เฉินอวี้หลัวปัดผ้าห่มที่คลุมตัวออก แล้วจึงเปลี่ยนไปนอนทับร่างของฉีเล่ยไว้ พร้อมบอกกับชายหนุ่มไปว่า “นั่นสินะ! ถ้าอย่างนั้นก่อนจะต้องแยกกัน เราสองคนมาสร้างความทรงจำดีๆกันดีกว่า!” ระหว่างที่กระซิบบอกฉีเล่ยนั้น หญิงสาวก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ.. ……. เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ท่าอากาศยานหนานหยาง.. หลังจากที่ข่าวคราวเรื่องฉีเล่ยจะย้ายไปทำงานที่ปักกิ่งแพร่สะพรัดออกไปนั้น หลายคนที่รู้จักกับชายหนุ่ม ต่างก็พากันแห่มาส่งเขาที่สนามบินกันเกือบหมด รวมถึงพ่อลูกสกุลหวู่ หวังเทียนหัง และเนี่ยจิง ทุกคนต่างพากันมาพร้อมหน้า หลังจากร่ำลาทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เดินเข้าไปเช็คอิน ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยมีกวนไห่ผิงลากกระเป๋าเดินทางตามหลังชายหนุ่มไป ระหว่างนั้น ฉีเล่ยก็หันมาพูดกับกวนไห่ผิงว่า “เถ้าแก่กวน คุณเองก็กลับไปได้แล้ว อย่าลืมทำตามที่ผมสอนล่ะ! รับรองได้ว่าอาการของคุณจะไม่กำเริบในระยะเวลาสั้นๆ นี้แน่!” “ครับท่านหมอเฉิน!” กวนไห่ผิงพยักหน้า และตอบฉีเล่ยกลับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ “รอให้ผมจัดการขายของเก่าในร้านที่เหลือให้หมดก่อน แล้วผมจะตามไปหาท่านหมอที่ปักกิ่งนะครับ!” ฉีเล่ยยกมือขึ้นตบไหล่กวนไห่ผิงแทนคำตอบ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเดินทางในมือของเขามา ก่อนจะเดินลากกระเป๋าไปที่จุดตรวจสัมภาระ ซึ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าไปด้านในของสนามบิน “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ไฟลท์ CA666 หนานหยาง-ปักกิ่ง กำลังจะเทคออฟในหกนาที ผู้โดยสารท่านใดยังไม่ได้ขึ้นเครื่อง กรุณาไปที่ประตูหมายเลข 6 โดยเร็วด้วยค่ะ!” หลังจากได้ยินเสียงประกาศของทางสนามบิน ฉีเล่ยจึงรีบลากกระเป๋าวิ่งไปที่ประตูหมายเลข 6 ทันที นั่นเพราะหลังจากที่ผ่านจุดตรวจสัมภาระไปแล้ว ฉีเล่ยก็ไปนั่งอยู่ในเลาจน์ของทางสายการบิน และได้เผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกครั้งที่สามจากสายการบิน ฉีเล่ยจึงรีบวิ่งไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปที่ประตู 6 ทันที ระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังวิ่งไปตามทางเดินนั้น เสียงร้องตะโกน “หลีกไปให้พ้นทาง!” ก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม และเมื่อหันหลังกลับไปมอง ฉีเล่ยก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว จนเกือบจะชนตนเองเข้า “หลีกไปพ้น!” เด็กสาวใช้มือผลักร่างของฉีเล่ยอย่างแรง และยังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าไม่หยุด ฉีเล่ยได้แต่มองตามแผ่นหลังของเด็กสาวไป พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ปากก็พึมพำออกมาเบาๆ “เฮ้อ.. น่าเสียดาย! หน้าตาสะสวยทีเดียว แต่กลับป่วยหนัก!” แต่คำพูดของฉีเล่ยดันไปเข้าหูของเด็กสาวเข้า เธอถึงกับหยุดชะงัก และหันกลับมามองฉีเล่ยตาขวาง พร้อมกับตวาดใส่เขา “คุณว่าใครป่วยหนัก?” “…” ฉีเล่ยถึงกับนิ่งอึ้งพูดไม่ออก และได้แต่คิดในใจว่า ‘ผู้หญิงคนนี้หูดีชะมัด! ฉันแค่พึมพำเบาๆ ก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน!’ ฉีเล่ยจ้องหน้าเด็กสาวพร้อมตอบกลับไปว่า “เอ่อ.. ผมว่าคุณคงจะฟังผิดไปนะครับ!” แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะโกรธมาก เธอเดินดุ่มๆเข้าไปหาฉีเล่ย ดวงตาสดใสราวกับดอกไม้แรกแย้มคู่นั้น จ้องมองฉีเล่ยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉีเล่ยจึงรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นโบกไปมา ปากก็ร้องตะโกนออกไปว่า “คุณครับๆ ผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับคุณนะครับ! ผมต้องรีบไปขึ้นเครื่อง ขืนช้าผมต้องตกเครื่องแน่!” “จริงด้วย!” เด็กสาวทำสีหน้าคล้ายเพิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบหันหลังกลับ แล้ววิ่งกระหืดกระหอบออกไปทันที “จริงๆเลย.. เฮ้อ!” ฉีเล่ยได้แต่ถอนหายใจ และพึมพำออกมา ด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยพอใจนัก.. แต่ในที่สุด ฉีเล่ยก็ไปขึ้นเครื่องได้ทันเวลา ก่อนที่เครื่องจะทำการเทคออฟ ชายหนุ่มเดินไปนั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ตั๋วเดินทาง แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง.. ‘นี่ยายผู้หญิงบ้าคนนั้นก็ไปไฟลท์เดียวกับฉันเหรอนี่? แถมยังนั่งข้างฉันด้วย!’ ฉีเล่ยได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงจนลืมเนื้อลืมตัวไปครู่หนึ่ง และได้แต่แอบคิดว่า ทำไมวันนี้ตนเองถึงได้โชคร้ายขนาดนี้? ฉีเล่ยรู้ตัวได้ทันทีว่า การเดินทางไปปักกิ่งของเขานั้น คงจะไม่สงบสุข และราบรื่นอีกต่อไป! เวลานี้ ดูเหมือนเด็กสาวคนที่นั่งติดหน้าต่าง ก็เริ่มสังเกตเห็นฉีเล่ยเช่นกัน เธอจึงหันมาพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ยังคงโกรธเกรี้ยว “เฮ้อ! นี่วันซวยอะไรของฉัน ถึงต้องมาเจอคุณบนเครื่องอีก?” แต่ฉีเล่ยคร้านที่จะทะเลาะด้วย เขายกมือขึ้นชี้ไปที่ก้นของเด็กสาว พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “น้องสาวครับ นั่นมันที่นั่งของผม!” หลังจากได้ยินคำพูดของฉีเล่ย เด็กสาวก็ลุกขึ้นยืนชี้หน้าเขา พร้อมกับตวาดเสียงดัง “นี่! ใครใช้ให้คุณมาเรียกฉันว่าน้องสาว? คุณอายุมากกว่าฉันหรือยังไง? คุณอายุเท่าไหร่กัน?” แต่เมื่อเห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดของเด็กสาว ฉีเล่ยกลับยิ่งอยากจะเย้าแหย่มากขึ้น จึงได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มยียวน “ผมสิบแปด แล้วคุณล่ะอายุเท่าไหร่?” “สิบแปดงั้นเหรอ?!” เด็กสาวถึงกับชะงักไป แต่หลังจากนั้น เธอก็ส่งสายตาค้อนให้กับชายหนุ่ม พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ห้วน “ถ้างั้นฉันก็สิบหกย่ะ!” หลังจากนั้น เด็กสาวก็สะบัดหน้าหนี และนั่งกลับไปตามเดิม โดยไม่สนใจฉีเล่ยอีก.. ‘เฮ้อ! เด็กสมัยนี้ดุชะมัด!’ ‘ฉันไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกับเด็กสาวอย่างเธอ!’ ฉีเล่ยไม่สนใจอีกว่า ที่นั่งติดหน้าต่างจะเป็นของใคร เขาจัดการยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปเก็บในช่องไว้สัมภาระด้านบน ก่อนจะนั่งลงข้างๆเด็กสาว นี่เป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งที่สองของฉีเล่ย ครั้งแรกเขาเดินทางไปมัลดีฟกับเฉินอวี้หลัว.. ฉีเล่ยชอบนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง จองมองเมฆสีขาวปุยที่กระจายตัวอยู่เต็มแผ่นฟ้า มันทำให้เขารู้สึกคล้ายกับว่า กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆเหล่านั้น และเป็นเพราะชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงได้เลือกที่นั่งข้างหน้าต่าง.. แต่กลับกลายเป็นว่า เวลานี้ ที่นั่งของเขากลับถูกเด็กสาวนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง ยึดไปเสียแล้ว และเขาเองก็เป็นผู้ใหญ่กว่า จึงไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับเด็กอายุสิบหก ให้เสียภาพพจน์ของสุภาพบุรุษ.. แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉีเล่ยมั่นใจมากก็คือ เด็กสาวคนนี้กำลังป่วย แล้วก็ป่วยหนักด้วย และที่สำคัญ อารมณ์โกรธก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่ออาการป่วยของเด็กสาวด้วย! สิบนาทีต่อมา ในที่สุดเสียงเครื่องยนต์ก็คำรามกระหึ่ม เป็นสัญญาณว่า เครื่องกำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนัก ในที่สุด เครื่องบินที่ฉีเล่ยนั่งไป ก็กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสงบราบเรียบ.. ภายนอกหน้าต่าง มีเมฆสีขาวรูปร่างแปลกตาล่องลอยอยู่มากมาย แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าที่สาดส่องลงมานั้น ทำให้หมู่เมฆสีขาวดูราวกับขนมสายไหม และดูงดงามประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย.. ฉีเล่ยโน้มต้วไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อที่จะได้สามารถมองออกไปนอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แต่แล้ว.. เด็กสาวก็ดูเหมือนจะรู้ความต้องการของเขา เธอจงใจโน้มตัวมาข้างหน้าเช่นกัน เพื่อใช้ร่างกายบดบังทัศนียภาพด้านนอกจากสายตาของฉีเล่ย แต่เมื่อชายหนุ่มถอยหลังกลับ เด็กสาวก็ถอยหลังกลับด้วยเช่นกัน.. “……” ฉีเล่ยได้แต่นิ่งอึ้งพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หันไปบอกกับเด็กสาวว่า “นี่น้องสาว หัดรู้จักมีน้ำใจบ้าง!” “อะไรนะ?!” เด็กสาวร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็แกล้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบฉีเล่ยกลับไปว่า “น้ำใจเหรอ? มันเป็นยัง? กินได้มั๊ย?” ฉีเล่ยโกรธจนเส้นเลือดข้างขมับปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด! ‘นี่เธอยังไม่รู้ตัวเลยสินะว่า ตัวเองกำลังป่วยหนักอยู่? แล้วโรคที่เธอเป็น ก็ไม่ควรโกรธบ่อยๆด้วย แต่นี่เธอยังเอาแต่โมโหฉันอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดลงจากเครื่องได้หรือเปล่า?’ ฉีเล่ยเริ่มสงสัยว่า เด็กสาวคนนี้จะสามารถมีชีวิตรอดลงจากเครื่องบินลำนี้ได้หรือไม่? เพราะเวลานี้ ร่างกายของเธอกำลังสั่นสะท้าน พร้อมกับหายใจกระหืดกระหอบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมหน้าอกไว้แน่น..

ตอนที่ 46 เด็กสาวป่วยหนัก

“ฉันไม่มีเวลาที่จะอยู่ต่อนานกว่านี้แล้ว! หลายคนโทรมาตามให้ฉันรีบกลับปักกิ่ง มีงานเร่งด่วนที่รอให้ฉันกลับไปสะสาง!”

ภายในห้องเพรสซิเดนท์สูทของโรงแรมฮัวเยวี่ย หลี่ฉั่วเฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบหนึ่งคำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับฉีเล่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามต่อว่า

“เธอตัดสินใจแน่นอนแล้วใช่มั๊ย? ไม่คิดที่จะใคร่ครวญดูเสียหน่อยเหรอ ความจริงฉันว่า ตำแหน่งแพทย์พิเศษอาวุโส น่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า!”

“ไม่ดีกว่าครับ!” ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา

หลังจากที่ได้คุยกับฉีเล่ยเพียงสั้นๆทางโทรศัพท์ หลี่ฮั่วเฉินก็ได้เชิญฉีเล่ยมานั่งคุยที่โรงแรม

หลังจากใคร่ครวญข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินอยู่นาน ในที่สุดฉีเล่ยก็ตัดสินใจเลือกที่จะเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยแพทย์ เพราะรู้สึกว่า น่าจะเป็นเหมาะกับเขามากที่สุด

หลี่ฮั่วเฉินจึงตอบกลับไปทันที “ตกลง! ฉันจะได้ให้เลขาจัดการจองตั๋วเครื่องบินกลับปักกิ่งพรุ่งนี้เลย เพราะมีงานด่วนต้องรีบกลับไปสะสาง ฉันจะเดินทางไปล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน..”

หลังจากนั้น อาวุโสหลี่ก็ได้เขียนที่อยู่ไว้ให้กับฉีเล่ย และบอกกับเขาว่า เมื่อไปถึงปักกิ่งให้ไปตามที่อยู่นี้

ฉีเล่ยรับกระดาษแผ่นนั้นมา พร้อมกับบอกลาหลี่ฮั่วเฉิน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

…….

หลังจากนั้นราวสองสามวัน ฉีเล่ยก็ได้เตรียมตัวที่จะเดินทางไปปักกิ่ง..

ตามแผนเดิมนั้น เฉินอวี้หลัวและซูชางฉิน จะต้องเดินทางไปปักกิ่งพร้อมกับชายหนุ่ม แต่บังเอิญเกิดเหตุการณ์เร่งด่วนที่ไม่คาดคิดขึ้นเสียงก่อน จู่ๆผู้ป่วยสองรายในแผนกที่เฉินอวี้หลัวดูแลอยู่ กลับมีอาการหนักอย่างกะทันหัน และหญิงสาวก็ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้รับเคส

แม้ว่าเฉินอวี้หลัวอยากจะเดินทางไปพร้อมกับสามี แต่ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อคนไข้  ทำให้เธอต้องอยู่ทำการผ่าตัดคนไข้ให้เสร็จสิ้น และต้องอยู่ดูแลจนกว่าคนไข้ทั้งสองจะฟื้นตัว

และเฉินอวี้หลัวก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก..

ฉีเล่ยซึ่งนอนอยู่บนเตียง หันไปโอบกอดภรรยาพร้อมกับบอกไปว่า “ผมจะรอจนกว่าคนไข้ของคุณจะฟื้นตัวแล้วค่อยเดินทาง ผมไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก”

เฉินอวี้หลัวที่กำลังใช้นิ้วมือเขียนวงกลมเล่นบนแผ่นอกของฉีเล่ย เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม พร้อมตอบกลับไปในทันที

“ไม่ได้นะ! ในเมื่อรับปากอาวุโสหลี่ไปแล้ว นายก็ควรต้องรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุด เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจไปว่า นายอวดดี ถือว่าตัวเองเป็นหมอที่มีความสามารถ ก็เลยถือวิสาสะที่จะทำอะไรตามใจชอบก็ได้!”

หญิงสาวซุกไซ้ใบหน้าไปที่ลำคอของฉีเล่ยด้วยความรู้สึกสบาย ก่อนจะพูดต่อว่า “นายเดินทางไปก่อนจะดีกว่า จะได้ไปทำความคุ้นเคย แล้วก็ปรับตัวให้เข้ากับที่นั่นให้ได้ เพราะกว่าคนไข้ทั้งสองคนของฉันจะฟื้นตัว คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นเดือนเชียวล่ะ ”

“เฮ้อ.. แบบนี้พวกเราสองคนก็ต้องแยกจากกันน่ะสิ!” ฉีเล่ยถึงกับถอนใจ

เฉินอวี้หลัวปัดผ้าห่มที่คลุมตัวออก แล้วจึงเปลี่ยนไปนอนทับร่างของฉีเล่ยไว้ พร้อมบอกกับชายหนุ่มไปว่า

“นั่นสินะ! ถ้าอย่างนั้นก่อนจะต้องแยกกัน เราสองคนมาสร้างความทรงจำดีๆกันดีกว่า!”

ระหว่างที่กระซิบบอกฉีเล่ยนั้น หญิงสาวก็ถึงกับหน้าแดงก่ำ..

…….

เช้าวันรุ่งขึ้น ที่ท่าอากาศยานหนานหยาง..

หลังจากที่ข่าวคราวเรื่องฉีเล่ยจะย้ายไปทำงานที่ปักกิ่งแพร่สะพรัดออกไปนั้น หลายคนที่รู้จักกับชายหนุ่ม ต่างก็พากันแห่มาส่งเขาที่สนามบินกันเกือบหมด รวมถึงพ่อลูกสกุลหวู่ หวังเทียนหัง และเนี่ยจิง ทุกคนต่างพากันมาพร้อมหน้า

หลังจากร่ำลาทุกคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เดินเข้าไปเช็คอิน ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโดยมีกวนไห่ผิงลากกระเป๋าเดินทางตามหลังชายหนุ่มไป

ระหว่างนั้น ฉีเล่ยก็หันมาพูดกับกวนไห่ผิงว่า “เถ้าแก่กวน คุณเองก็กลับไปได้แล้ว อย่าลืมทำตามที่ผมสอนล่ะ! รับรองได้ว่าอาการของคุณจะไม่กำเริบในระยะเวลาสั้นๆ นี้แน่!”

“ครับท่านหมอเฉิน!”

กวนไห่ผิงพยักหน้า และตอบฉีเล่ยกลับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ “รอให้ผมจัดการขายของเก่าในร้านที่เหลือให้หมดก่อน แล้วผมจะตามไปหาท่านหมอที่ปักกิ่งนะครับ!”

ฉีเล่ยยกมือขึ้นตบไหล่กวนไห่ผิงแทนคำตอบ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเดินทางในมือของเขามา ก่อนจะเดินลากกระเป๋าไปที่จุดตรวจสัมภาระ ซึ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าไปด้านในของสนามบิน

“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ไฟลท์ CA666 หนานหยาง-ปักกิ่ง กำลังจะเทคออฟในหกนาที ผู้โดยสารท่านใดยังไม่ได้ขึ้นเครื่อง กรุณาไปที่ประตูหมายเลข 6 โดยเร็วด้วยค่ะ!”

หลังจากได้ยินเสียงประกาศของทางสนามบิน ฉีเล่ยจึงรีบลากกระเป๋าวิ่งไปที่ประตูหมายเลข 6 ทันที

นั่นเพราะหลังจากที่ผ่านจุดตรวจสัมภาระไปแล้ว ฉีเล่ยก็ไปนั่งอยู่ในเลาจน์ของทางสายการบิน และได้เผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกครั้งที่สามจากสายการบิน ฉีเล่ยจึงรีบวิ่งไปตามทางเดิน มุ่งหน้าไปที่ประตู 6 ทันที

ระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังวิ่งไปตามทางเดินนั้น เสียงร้องตะโกน “หลีกไปให้พ้นทาง!” ก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม และเมื่อหันหลังกลับไปมอง ฉีเล่ยก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว จนเกือบจะชนตนเองเข้า

“หลีกไปพ้น!”

เด็กสาวใช้มือผลักร่างของฉีเล่ยอย่างแรง และยังคงวิ่งต่อไปข้างหน้าไม่หยุด ฉีเล่ยได้แต่มองตามแผ่นหลังของเด็กสาวไป พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ปากก็พึมพำออกมาเบาๆ

“เฮ้อ.. น่าเสียดาย! หน้าตาสะสวยทีเดียว แต่กลับป่วยหนัก!”

แต่คำพูดของฉีเล่ยดันไปเข้าหูของเด็กสาวเข้า เธอถึงกับหยุดชะงัก และหันกลับมามองฉีเล่ยตาขวาง พร้อมกับตวาดใส่เขา

“คุณว่าใครป่วยหนัก?”

“…”

ฉีเล่ยถึงกับนิ่งอึ้งพูดไม่ออก และได้แต่คิดในใจว่า ‘ผู้หญิงคนนี้หูดีชะมัด! ฉันแค่พึมพำเบาๆ ก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน!’

ฉีเล่ยจ้องหน้าเด็กสาวพร้อมตอบกลับไปว่า “เอ่อ.. ผมว่าคุณคงจะฟังผิดไปนะครับ!”

แต่ดูเหมือนเด็กสาวจะโกรธมาก เธอเดินดุ่มๆเข้าไปหาฉีเล่ย ดวงตาสดใสราวกับดอกไม้แรกแย้มคู่นั้น จ้องมองฉีเล่ยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ฉีเล่ยจึงรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นโบกไปมา ปากก็ร้องตะโกนออกไปว่า “คุณครับๆ ผมไม่มีเวลามาทะเลาะกับคุณนะครับ! ผมต้องรีบไปขึ้นเครื่อง ขืนช้าผมต้องตกเครื่องแน่!”

“จริงด้วย!”

เด็กสาวทำสีหน้าคล้ายเพิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบหันหลังกลับ แล้ววิ่งกระหืดกระหอบออกไปทันที

“จริงๆเลย.. เฮ้อ!”

ฉีเล่ยได้แต่ถอนหายใจ และพึมพำออกมา ด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยพอใจนัก..

แต่ในที่สุด ฉีเล่ยก็ไปขึ้นเครื่องได้ทันเวลา ก่อนที่เครื่องจะทำการเทคออฟ ชายหนุ่มเดินไปนั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ตั๋วเดินทาง แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง..

‘นี่ยายผู้หญิงบ้าคนนั้นก็ไปไฟลท์เดียวกับฉันเหรอนี่? แถมยังนั่งข้างฉันด้วย!’

ฉีเล่ยได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงจนลืมเนื้อลืมตัวไปครู่หนึ่ง และได้แต่แอบคิดว่า ทำไมวันนี้ตนเองถึงได้โชคร้ายขนาดนี้?

ฉีเล่ยรู้ตัวได้ทันทีว่า การเดินทางไปปักกิ่งของเขานั้น คงจะไม่สงบสุข และราบรื่นอีกต่อไป!

เวลานี้ ดูเหมือนเด็กสาวคนที่นั่งติดหน้าต่าง ก็เริ่มสังเกตเห็นฉีเล่ยเช่นกัน เธอจึงหันมาพูดกับชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ยังคงโกรธเกรี้ยว

“เฮ้อ! นี่วันซวยอะไรของฉัน ถึงต้องมาเจอคุณบนเครื่องอีก?”

แต่ฉีเล่ยคร้านที่จะทะเลาะด้วย เขายกมือขึ้นชี้ไปที่ก้นของเด็กสาว พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“น้องสาวครับ นั่นมันที่นั่งของผม!”

หลังจากได้ยินคำพูดของฉีเล่ย เด็กสาวก็ลุกขึ้นยืนชี้หน้าเขา พร้อมกับตวาดเสียงดัง “นี่! ใครใช้ให้คุณมาเรียกฉันว่าน้องสาว? คุณอายุมากกว่าฉันหรือยังไง? คุณอายุเท่าไหร่กัน?”

แต่เมื่อเห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดของเด็กสาว ฉีเล่ยกลับยิ่งอยากจะเย้าแหย่มากขึ้น จึงได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มยียวน

“ผมสิบแปด แล้วคุณล่ะอายุเท่าไหร่?”

“สิบแปดงั้นเหรอ?!”

เด็กสาวถึงกับชะงักไป แต่หลังจากนั้น เธอก็ส่งสายตาค้อนให้กับชายหนุ่ม พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ห้วน

“ถ้างั้นฉันก็สิบหกย่ะ!”

หลังจากนั้น เด็กสาวก็สะบัดหน้าหนี และนั่งกลับไปตามเดิม โดยไม่สนใจฉีเล่ยอีก..

‘เฮ้อ! เด็กสมัยนี้ดุชะมัด!’

‘ฉันไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกับเด็กสาวอย่างเธอ!’

ฉีเล่ยไม่สนใจอีกว่า ที่นั่งติดหน้าต่างจะเป็นของใคร เขาจัดการยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปเก็บในช่องไว้สัมภาระด้านบน ก่อนจะนั่งลงข้างๆเด็กสาว

นี่เป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งที่สองของฉีเล่ย ครั้งแรกเขาเดินทางไปมัลดีฟกับเฉินอวี้หลัว..

ฉีเล่ยชอบนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง จองมองเมฆสีขาวปุยที่กระจายตัวอยู่เต็มแผ่นฟ้า มันทำให้เขารู้สึกคล้ายกับว่า กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆเหล่านั้น และเป็นเพราะชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงได้เลือกที่นั่งข้างหน้าต่าง..

แต่กลับกลายเป็นว่า เวลานี้ ที่นั่งของเขากลับถูกเด็กสาวนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง ยึดไปเสียแล้ว และเขาเองก็เป็นผู้ใหญ่กว่า จึงไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับเด็กอายุสิบหก ให้เสียภาพพจน์ของสุภาพบุรุษ..

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉีเล่ยมั่นใจมากก็คือ เด็กสาวคนนี้กำลังป่วย แล้วก็ป่วยหนักด้วย และที่สำคัญ อารมณ์โกรธก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่ออาการป่วยของเด็กสาวด้วย!

สิบนาทีต่อมา ในที่สุดเสียงเครื่องยนต์ก็คำรามกระหึ่ม เป็นสัญญาณว่า เครื่องกำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานนัก ในที่สุด เครื่องบินที่ฉีเล่ยนั่งไป ก็กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสงบราบเรียบ..

ภายนอกหน้าต่าง มีเมฆสีขาวรูปร่างแปลกตาล่องลอยอยู่มากมาย แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้าที่สาดส่องลงมานั้น ทำให้หมู่เมฆสีขาวดูราวกับขนมสายไหม และดูงดงามประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย..

ฉีเล่ยโน้มต้วไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อที่จะได้สามารถมองออกไปนอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

แต่แล้ว.. เด็กสาวก็ดูเหมือนจะรู้ความต้องการของเขา เธอจงใจโน้มตัวมาข้างหน้าเช่นกัน เพื่อใช้ร่างกายบดบังทัศนียภาพด้านนอกจากสายตาของฉีเล่ย แต่เมื่อชายหนุ่มถอยหลังกลับ เด็กสาวก็ถอยหลังกลับด้วยเช่นกัน..

“……”

ฉีเล่ยได้แต่นิ่งอึ้งพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หันไปบอกกับเด็กสาวว่า “นี่น้องสาว หัดรู้จักมีน้ำใจบ้าง!”

“อะไรนะ?!”

เด็กสาวร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็แกล้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบฉีเล่ยกลับไปว่า

“น้ำใจเหรอ? มันเป็นยัง? กินได้มั๊ย?”

ฉีเล่ยโกรธจนเส้นเลือดข้างขมับปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!

‘นี่เธอยังไม่รู้ตัวเลยสินะว่า ตัวเองกำลังป่วยหนักอยู่? แล้วโรคที่เธอเป็น ก็ไม่ควรโกรธบ่อยๆด้วย แต่นี่เธอยังเอาแต่โมโหฉันอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดลงจากเครื่องได้หรือเปล่า?’

ฉีเล่ยเริ่มสงสัยว่า เด็กสาวคนนี้จะสามารถมีชีวิตรอดลงจากเครื่องบินลำนี้ได้หรือไม่? เพราะเวลานี้ ร่างกายของเธอกำลังสั่นสะท้าน พร้อมกับหายใจกระหืดกระหอบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมหน้าอกไว้แน่น..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset