ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 47 แพทย์ปลอม

ตอนที่ 47 แพทย์ปลอม ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว เสียงหายใจรุนแรงจนฉีเล่ยได้ยินอย่างชัดเจน ริมฝีปากอวบอิ่มที่อ้าพะงาบๆ ด้วยความเจ็บปวดนั้น ดูคล้ายกับปลาที่กำลังขาดน้ำจนใกล้ตาย พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว จึงรีบเข้าไปสอบถามสถานการณ์ทันที หลังจากมั่นใจว่ามีคนป่วยอยู่บนเครื่อง จึงรีบประกาศออกไปทันที “ตอนนี้ผู้โดยสารเพศหญิงบนเครื่องมีอาการป่วยค่ะ ไม่ทราบภายในไฟลท์นี้มีผู้โดยสารที่เป็นหมออยู่บ้างมั๊ยคะ?” ชายหนุ่มบุคลิกหน้าตาดี สวมใส่สูทอย่างสุภาพเรียบร้อย รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า “ผมเป็นหมอครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!” หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็รีบเดินเข้าไปหาเด็กสาวเพื่อตรวจดูอาการ แต่เมื่อเห็นอาการของเธอเข้า เขาก็พูดขึ้นว่า “อาการของเธอแย่มากครับ! เธอน่าจะมีอาการหอบหืดเฉียบพลัน” จากนั้น นายแพทย์หนุ่มก็หันไปถามพนักงานต้อนรับสาวว่า “ไม่ทราบว่าบนเครื่องเวลานี้มียาแก้อาการหอบหืดอยู่บ้างมั๊ยครับ?” พนักงานต้อนรับบนเครื่องได้แต่ส่ายหน้า และรีบตอบกลับไปทันที “ไม่มีเลยค่ะ! บนเครื่องมีเพียงแค่ยาสำหรับโรคหัวใจ แล้วก็ยาสามัญพื้นๆเท่านั้นค่ะ แต่ไม่มียาแก้หอบหืดเลย!” “ยาพวกนั้นไม่มีประโยชน์กับเธอ! ปกติผู้ที่มีโรคประจำตัวแบบนี้ มักจะพกยาติดตัวมาด้วย ลองค้นตามตัว แล้วก็กระเป๋าของเธอดู” เวลานี้ เด็กสาวเจ็บปวดอย่างมากจนแทบหมดสติ แม้เธอจะมียาติดตัว แต่ก็คงไม่สามารถหยิบมันออกมาได้ นายแพทย์หนุ่มจึงรีบเข้าไปใกล้เพื่อที่จะค้นตามตัวเด็กสาวดู ส่วนฉีเล่ยที่ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเองทันที หลังจากที่เห็นเด็กสาวมีอาการหนักมากขึ้น เขารีบเปิดชั้นสัมภาระด้านบน และรีบหยิบกระเป๋าเดินทางของตนเองลงมาวางไว้ที่ทางเดิน พร้อมกับเปิดอ้าออก และลงไปนั่งยองๆเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ปกติแล้ว ชายหนุ่มมักจะพกเข็มทองหางหงส์ไว้กับตัว แต่เนื่องจากต้องผ่านระบบตรวจกระเป๋ารักษาความปลอดภัย แม้ว่าเข็มที่ใช้สำหรับการฝังเข็มในแพทย์แผนจีน จะไม่นับว่าเป็นอาวุธอันตราย แต่เขาก็ถูกห้ามมิให้พกติดตัว และต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าเดินทางเท่านั้น นายแพทย์หนุ่มที่ต้องการเดินเข้าไปใกล้ตัวเด็กสาว เพื่อที่จะค้นหายาในตัวเธอ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยนั่งขวางทางเดินอยู่อย่างนั้น ก็ได้แต่ร้องตะโกนไล่ด้วยความโมโห “นี่คุณ! หลีกทางหน่อย จะนั่งขวางทางอยู่ทำไมกัน?” เสียงร้องตะโกนของนายแพทย์หนุ่มดังไปทั่วทั้งห้องโดยสาร จากนั้น ก็เริ่มมีผู้โดยสารคนอื่นๆ พากันร้องตะโกนตำหนิฉีเล่ยตามมา “นั่นน่ะสิ! คนกำลังป่วยอยู่ไม่เห็นหรือยังไง?” “จริงด้วย! เด็กสาวที่นั่งข้างคุณกำลังจะแย่ ยังไม่รีบหลีกทางให้หมอเข้าไปดูอีก!” “เห็นแก่ตัวชะมัด! ทำแบบนี้เท่ากับฆ่าเด็กสาวคนนั้นชัดๆ!” “ฉันว่าหมอนั่นจงใจขวางทางมากกว่า เมื่อครู่ ตอนที่เขาขึ้นมา ฉันเห็นเขาทะเลาะกับเด็กสาวคนนั้นด้วย!” ฉีเล่ยทำหูทวนลม ไม่สนใจเสียงกร่นด่าของผู้โดยสารคนอื่นๆ แต่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเดินทางของตนเอง และในที่สุด เขาก็พบกล่องเข็มอยู่ในกองหนังสือ ฉีเล่ยรีบหยิบกล่องใบนั้นออกมาทันที และรีบเปิดหยิบเข็มออกมาสองเล่ม โดยไม่สนใจสายตาที่ไม่พอใจของผู้โดยสารคนอื่นๆ จากนั้น ก็รีบใช้เข็มทั้งสองเล่ม ปักลงไปบนลำคอของเด็กสาวทันที! ผู้โดยสารที่พากันมองดูอยู่ ถึงกับตกอกตกใจ และหนึ่งในนั้นก็รีบร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ใครก็ได้รีบหยุดผู้ชายคนนั้นที! เขากำลังจะฆ่าเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว!” นายแพทย์หนุ่มซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด รีบกระโจนเข้าไปคว้าแขนของฉีเล่ยไว้ทันที ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างพากันกร่นด่าสาปแช่งฉีเล่ยไม่หยุด “ไอ้คนสารเลว! นี่แกคิดที่จะทำอะไร? แกโกรธแค้นอะไรเด็กผู้หญิงคนนั้นนัก ถึงต้องทำกับเธอขนาดนี้?” ฉีเล่ยไม่มีเวลาที่จะอธิบาย หรือต่อล้อต่อเถียงกับใคร เขาหันไปคำรามใส่หน้านายแพทย์หนุ่ม “ปล่อยแขนฉันเดี๋ยวนี้!” ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ขยับแขนข้างนั้นเล็กน้อย เพื่อปลดปล่อยพลังงานบางอย่างออกมา และจู่ๆ นายแพทย์หนุ่มก็รู้สึกวิงเวียนศรีษะคล้ายกับคนเมาเหล้า จากนั้น มือข้างที่จับแขนฉีเล่ยไว้ ก็รู้สึกแปลบคล้ายกับถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้า ร่างกายของนายแพทย์หนุ่มทั้งครึ่งซีก เกิดอาการชาคล้ายเป็นอัมพฤกษ์ตั้งแต่หัวไหล่ลงไปถึงปลายเท้า ทำให้ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ร่างทั้งร่างล้มลงกระแทกกับพื้นในที่สุด และไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เป็นเวลานาน ผู้โดยสารต่างพากันจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นปีศาจอสูรกาย และเวลานี้ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูด หรือถามอะไรออกมาอีกเลย ทุกคนได้แต่นึกสงสารเด็กสาวผู้โชคร้าย ที่มามีเรื่องกับคนที่น่ากลัวเช่นนี้ และในตอนนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง หรือสร้างปัญหาให้กับฉีเล่ยอีก ทำให้เขาสามารถปักเข็มทั้งสองเล่มลงไปที่ลำคอของเด็กสาวได้ การที่ฉีเล่ยทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นเส้นลมปราณที่ใกล้กับหลอดลมของเด็กสาว ช่วยบรรเทาอาการหายใจติดขัดให้กับเธอชั่วคราว เป็นเพราะระบบการหายใจล้มเหลวก่อนหน้านี้ ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่หลังจากที่ฉีเล่ยฝังเข็มทั้งสองเล่มลงไปข้างลำคอ เธอก็สามารถหายใจเอาอากาศเข้าไปได้ สีม่วงคล้ำบนใบหน้าของเด็กสาว จึงค่อยๆจางคลายลง ฉีเล่ยไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ครั้งนี้เขาหยิบเอาเข็มเล่มยาวขึ้นมาหนึ่งเล่ม จากนั้นจึงได้ปักปลายเข็มผ่านเสื้อที่สวมอยู่ ลงไปที่จุดฝังเข็มกึ่งกลางหน้าอกของเด็กสาวทันที! และหลังจากนั้น ใบหน้าของเด็กสาวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสงบลงทันที! และในเวลานี้ ผู้โยสารคนอื่นๆที่โวยวายเสียงดังก่อนหน้า จึงเริ่มเข้าใจว่า ฉีเล่ยกำลังช่วยชีวิตเด็กสาวอยู่ โดยใช้วิธีการฝังเข็มซึ่งเป็นศาสตร์ล้ำลึก พวกเขาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอาย ที่มองชายหนุ่มผิดไป หลังจากที่อาการมึนงง และชาไปครึ่งซีกของนายแพทย์หนุ่มดีขึ้น เขาก็รีบลุกขึ้นยืน พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย “การฝังเข็มจะช่วยรักษาหอบหืดได้จริงๆน่ะเหรอ?” อาการชาและเจ็บตามร่างกายของแพทย์ลดลงเล็กน้อย เมื่อเขายืนขึ้นและเห็นฉากนี้ เขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “การฝังเข็มสามารถรักษาโรคหอบหืดได้หรือไม่” ฉีเล่ยได้แต่ฟังแล้วก็นึกโมโหไม่พอใจ และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หอบหืดบ้าอะไรกัน? ภาวะการหายใจล้มเหลวของเด็กสาวคนนี้ เกิดจากอาการหัวใจวายต่างหาก!” นายแพทย์หนุ่มรีบตอบกลับแก้เก้อทันที “ฉันคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นโรคหัวใจ เพราะผิวพรรณของเธอดูไม่เหมือนคนเป็นโรคหัวใจเลย อ่อ.. แต่ฉันสามารถนวดได้นะ ให้ฉันนวดให้เธอดีมั๊ย?” ฉีเล่ยเริ่มหมดความอดทน เขาตวาดนายแพทย์หนุ่มกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน “เลิกทำเป็นเก่งได้แล้ว คุณไม่ใช่หมอด้วยซ้ำ!” “นี่แกพูดอะไรกัน?” นายแพทย์หนุ่มหน้าแดงก่ำ พร้อมกับร้องตะโกนตอบโต้ฉีเล่ยด้วยความโมโห “อย่ามาพูดพล่อยๆแบบนี้นะ! นี่คุณกล้าสงสัยในตัวผมงั้นเหรอ?” “หึ! ถ้าคุณเป็นหมอจริงๆ คงจะไม่พูดออกมาว่า เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นหอบหืดแน่! แต่ช่างเถอะ! ต่อให้เป็นหมอก็อาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ผมจะไม่พูดถึงเรื่องวินิจฉัยถูกหรือผิด..” “แต่จะถามคุณว่า ถ้าพบคนที่มีอาการหอบหืดกำเริบ ควรจะต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก!” “ก็ต้องกินยา หรือไม่ก็พ่นยาแก้หอบหืดยังไงล่ะ!” “ผิดแล้ว!” ฉีเล่ยทำสีหน้าเหยียดหยัน ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ สิ่งแรกที่คนเป็นหมอจะต้องทำก็คือ ทำให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนเข้าไปโดยเร็วที่สุด! “หากเทียบกับเวลาที่ต้องเสียไปกับการค้นหายา ที่อาจจะไม่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วย ด้านบนนี้มีถุงออกซินเจนอยู่ เบาะนั่งนี่ก็พับลงได้ง่ายๆ..” “คุณเป็นหมอ แต่กลับไม่มีความรู้พื้นฐาน สำหรับใช้ช่วยชีวิตผู้ป่วยในยามฉุกเฉินเลยงั้นเหรอ?” “อย่าบอกนะว่า คุณเพิ่งจะเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก แต่ว่า.. เมื่อครู่พนักงานต้อนรับก็ได้อธิบายการใช้ถุงออกซิเจนให้ผู้โดยสารทราบแล้วนี่ครับ! หรือว่าคุณหูหนวก?” นายแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเล่ยด้วยความโมโห ปากก็อ้าคล้ายต้องการที่จะอธิบาย แต่ฉีเล่ยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด และชิงพูดต่อในทันที “และหากผู้ป่วยเป็นหอบหืดจริง หลังจากนั้นควรต้องรีบย้ายผู้ป่วยไปอยู่ในที่โล่งกว้าง เพราะคนที่มีอาการหอบหืด จำเป็นต้องได้รับอากาศเข้าให้มาก อีกทั้งที่นี่ก็มีผู้โดยสารมุงดูอยู่มากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการประหม่าตกใจได้..” “และที่สำคัญ ในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่มาก จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง..” “นี่แก.. แก..” “แกอะไร?” “นี่เป็นการยืนยันชัดเจนว่าคุณไม่ใช่หมอ! เพราะเพียงแค่การช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินขั้นพื้นฐาน คุณยังไม่รู้เลย..” “ที่สำคัญ.. คุณเน้นแต่เรื่องที่จะค้นหายาในร่างกายของผู้ป่วย ที่คุณพูดออกมาแบบนั้น เพราะต้องการที่จะอาศัยโอกาสที่เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สติ ลวนลามเธอสินะ?” ในที่สุด ฉีเล่ยก็ได้เปิดโปงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนายแพทย์หนุ่ม.. หลังจากที่ถูกฉีเล่ยเปิดโปงความคิดสกปรกของตนเอง นายแพทย์หนุ่มก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลอย่างมาก “แกจะมากล่าวหาฉันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้! แกเองก็คงจะไม่ใช่หมอเหมือนกันสินะ? เมื่อครู่ แกก็ใช้เข็มบ้าๆนั่น แทงไปที่หน้าอกของเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน หรือว่าแกเองก็คิดที่จะลวนลามเธออยู่..” ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแสกับคำพูดที่ไม่ฉลาดของนายแพทย์หนุ่ม พร้อมตอบโต้กลับไปทันที “ผมว่าคุณคงจะความจำเสื่อมแล้วมั๊ง? ผมบอกไปแล้วไงว่า เธอไม่ได้เป็นหอบหืด แต่หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน..” “แล้วถ้าฉันทำแบบนั้นจริงๆ แกจะทำอะไรฉัน?” หลังจากที่ไม่สามารถโต้เถียงฉีเล่ยด้วยเหตุผลได้ นายแพทย์หนุ่มก็ได้แต่ร้องตะโกนใส่หน้าฉีเล่ยด้วยความโมโห พร้อมกับจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง ขาข้างหนึ่งก็ได้ตวัดขึ้นจากพื้น เข้าไปที่กลางหว่างขาของนายแพทย์หนุ่มอย่างรวดเร็ว และรุนแรง! “โอ๊ย!!!” เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของนายแพทย์หนุ่ม ก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับดิ้นขลุกขลักไปมาด้วยความเจ็บปวดที่เป้าเป็นอย่างมาก..

ตอนที่ 47 แพทย์ปลอม

ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจกลัว เสียงหายใจรุนแรงจนฉีเล่ยได้ยินอย่างชัดเจน ริมฝีปากอวบอิ่มที่อ้าพะงาบๆ ด้วยความเจ็บปวดนั้น ดูคล้ายกับปลาที่กำลังขาดน้ำจนใกล้ตาย

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว จึงรีบเข้าไปสอบถามสถานการณ์ทันที หลังจากมั่นใจว่ามีคนป่วยอยู่บนเครื่อง จึงรีบประกาศออกไปทันที

“ตอนนี้ผู้โดยสารเพศหญิงบนเครื่องมีอาการป่วยค่ะ ไม่ทราบภายในไฟลท์นี้มีผู้โดยสารที่เป็นหมออยู่บ้างมั๊ยคะ?”

ชายหนุ่มบุคลิกหน้าตาดี สวมใส่สูทอย่างสุภาพเรียบร้อย รีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า

“ผมเป็นหมอครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็รีบเดินเข้าไปหาเด็กสาวเพื่อตรวจดูอาการ แต่เมื่อเห็นอาการของเธอเข้า เขาก็พูดขึ้นว่า

“อาการของเธอแย่มากครับ! เธอน่าจะมีอาการหอบหืดเฉียบพลัน”

จากนั้น นายแพทย์หนุ่มก็หันไปถามพนักงานต้อนรับสาวว่า “ไม่ทราบว่าบนเครื่องเวลานี้มียาแก้อาการหอบหืดอยู่บ้างมั๊ยครับ?”

พนักงานต้อนรับบนเครื่องได้แต่ส่ายหน้า และรีบตอบกลับไปทันที “ไม่มีเลยค่ะ! บนเครื่องมีเพียงแค่ยาสำหรับโรคหัวใจ แล้วก็ยาสามัญพื้นๆเท่านั้นค่ะ แต่ไม่มียาแก้หอบหืดเลย!”

“ยาพวกนั้นไม่มีประโยชน์กับเธอ! ปกติผู้ที่มีโรคประจำตัวแบบนี้ มักจะพกยาติดตัวมาด้วย ลองค้นตามตัว แล้วก็กระเป๋าของเธอดู”

เวลานี้ เด็กสาวเจ็บปวดอย่างมากจนแทบหมดสติ แม้เธอจะมียาติดตัว แต่ก็คงไม่สามารถหยิบมันออกมาได้ นายแพทย์หนุ่มจึงรีบเข้าไปใกล้เพื่อที่จะค้นตามตัวเด็กสาวดู

ส่วนฉีเล่ยที่ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเองทันที หลังจากที่เห็นเด็กสาวมีอาการหนักมากขึ้น เขารีบเปิดชั้นสัมภาระด้านบน และรีบหยิบกระเป๋าเดินทางของตนเองลงมาวางไว้ที่ทางเดิน พร้อมกับเปิดอ้าออก และลงไปนั่งยองๆเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง

ปกติแล้ว ชายหนุ่มมักจะพกเข็มทองหางหงส์ไว้กับตัว แต่เนื่องจากต้องผ่านระบบตรวจกระเป๋ารักษาความปลอดภัย แม้ว่าเข็มที่ใช้สำหรับการฝังเข็มในแพทย์แผนจีน จะไม่นับว่าเป็นอาวุธอันตราย แต่เขาก็ถูกห้ามมิให้พกติดตัว และต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าเดินทางเท่านั้น

นายแพทย์หนุ่มที่ต้องการเดินเข้าไปใกล้ตัวเด็กสาว เพื่อที่จะค้นหายาในตัวเธอ แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยนั่งขวางทางเดินอยู่อย่างนั้น ก็ได้แต่ร้องตะโกนไล่ด้วยความโมโห

“นี่คุณ! หลีกทางหน่อย จะนั่งขวางทางอยู่ทำไมกัน?”

เสียงร้องตะโกนของนายแพทย์หนุ่มดังไปทั่วทั้งห้องโดยสาร จากนั้น ก็เริ่มมีผู้โดยสารคนอื่นๆ พากันร้องตะโกนตำหนิฉีเล่ยตามมา

“นั่นน่ะสิ! คนกำลังป่วยอยู่ไม่เห็นหรือยังไง?”

“จริงด้วย! เด็กสาวที่นั่งข้างคุณกำลังจะแย่ ยังไม่รีบหลีกทางให้หมอเข้าไปดูอีก!”

“เห็นแก่ตัวชะมัด! ทำแบบนี้เท่ากับฆ่าเด็กสาวคนนั้นชัดๆ!”

“ฉันว่าหมอนั่นจงใจขวางทางมากกว่า เมื่อครู่ ตอนที่เขาขึ้นมา ฉันเห็นเขาทะเลาะกับเด็กสาวคนนั้นด้วย!”

ฉีเล่ยทำหูทวนลม ไม่สนใจเสียงกร่นด่าของผู้โดยสารคนอื่นๆ แต่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเดินทางของตนเอง และในที่สุด เขาก็พบกล่องเข็มอยู่ในกองหนังสือ

ฉีเล่ยรีบหยิบกล่องใบนั้นออกมาทันที และรีบเปิดหยิบเข็มออกมาสองเล่ม โดยไม่สนใจสายตาที่ไม่พอใจของผู้โดยสารคนอื่นๆ จากนั้น ก็รีบใช้เข็มทั้งสองเล่ม ปักลงไปบนลำคอของเด็กสาวทันที!

ผู้โดยสารที่พากันมองดูอยู่ ถึงกับตกอกตกใจ และหนึ่งในนั้นก็รีบร้องตะโกนออกมาเสียงดัง “ใครก็ได้รีบหยุดผู้ชายคนนั้นที! เขากำลังจะฆ่าเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว!”

นายแพทย์หนุ่มซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด รีบกระโจนเข้าไปคว้าแขนของฉีเล่ยไว้ทันที ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างพากันกร่นด่าสาปแช่งฉีเล่ยไม่หยุด

“ไอ้คนสารเลว! นี่แกคิดที่จะทำอะไร? แกโกรธแค้นอะไรเด็กผู้หญิงคนนั้นนัก ถึงต้องทำกับเธอขนาดนี้?”

ฉีเล่ยไม่มีเวลาที่จะอธิบาย หรือต่อล้อต่อเถียงกับใคร เขาหันไปคำรามใส่หน้านายแพทย์หนุ่ม

“ปล่อยแขนฉันเดี๋ยวนี้!”

ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ขยับแขนข้างนั้นเล็กน้อย เพื่อปลดปล่อยพลังงานบางอย่างออกมา และจู่ๆ นายแพทย์หนุ่มก็รู้สึกวิงเวียนศรีษะคล้ายกับคนเมาเหล้า จากนั้น มือข้างที่จับแขนฉีเล่ยไว้ ก็รู้สึกแปลบคล้ายกับถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้า

ร่างกายของนายแพทย์หนุ่มทั้งครึ่งซีก เกิดอาการชาคล้ายเป็นอัมพฤกษ์ตั้งแต่หัวไหล่ลงไปถึงปลายเท้า ทำให้ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ร่างทั้งร่างล้มลงกระแทกกับพื้นในที่สุด และไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เป็นเวลานาน

ผู้โดยสารต่างพากันจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นปีศาจอสูรกาย และเวลานี้ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูด หรือถามอะไรออกมาอีกเลย ทุกคนได้แต่นึกสงสารเด็กสาวผู้โชคร้าย ที่มามีเรื่องกับคนที่น่ากลัวเช่นนี้

และในตอนนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง หรือสร้างปัญหาให้กับฉีเล่ยอีก ทำให้เขาสามารถปักเข็มทั้งสองเล่มลงไปที่ลำคอของเด็กสาวได้ การที่ฉีเล่ยทำเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นเส้นลมปราณที่ใกล้กับหลอดลมของเด็กสาว ช่วยบรรเทาอาการหายใจติดขัดให้กับเธอชั่วคราว

เป็นเพราะระบบการหายใจล้มเหลวก่อนหน้านี้ ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่หลังจากที่ฉีเล่ยฝังเข็มทั้งสองเล่มลงไปข้างลำคอ เธอก็สามารถหายใจเอาอากาศเข้าไปได้ สีม่วงคล้ำบนใบหน้าของเด็กสาว จึงค่อยๆจางคลายลง

ฉีเล่ยไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ครั้งนี้เขาหยิบเอาเข็มเล่มยาวขึ้นมาหนึ่งเล่ม จากนั้นจึงได้ปักปลายเข็มผ่านเสื้อที่สวมอยู่ ลงไปที่จุดฝังเข็มกึ่งกลางหน้าอกของเด็กสาวทันที!

และหลังจากนั้น ใบหน้าของเด็กสาวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสงบลงทันที!

และในเวลานี้ ผู้โยสารคนอื่นๆที่โวยวายเสียงดังก่อนหน้า จึงเริ่มเข้าใจว่า ฉีเล่ยกำลังช่วยชีวิตเด็กสาวอยู่ โดยใช้วิธีการฝังเข็มซึ่งเป็นศาสตร์ล้ำลึก พวกเขาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอาย ที่มองชายหนุ่มผิดไป

หลังจากที่อาการมึนงง และชาไปครึ่งซีกของนายแพทย์หนุ่มดีขึ้น เขาก็รีบลุกขึ้นยืน พร้อมกับจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย

“การฝังเข็มจะช่วยรักษาหอบหืดได้จริงๆน่ะเหรอ?”

อาการชาและเจ็บตามร่างกายของแพทย์ลดลงเล็กน้อย เมื่อเขายืนขึ้นและเห็นฉากนี้ เขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “การฝังเข็มสามารถรักษาโรคหอบหืดได้หรือไม่”

ฉีเล่ยได้แต่ฟังแล้วก็นึกโมโหไม่พอใจ และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หอบหืดบ้าอะไรกัน? ภาวะการหายใจล้มเหลวของเด็กสาวคนนี้ เกิดจากอาการหัวใจวายต่างหาก!”

นายแพทย์หนุ่มรีบตอบกลับแก้เก้อทันที “ฉันคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นโรคหัวใจ เพราะผิวพรรณของเธอดูไม่เหมือนคนเป็นโรคหัวใจเลย อ่อ.. แต่ฉันสามารถนวดได้นะ ให้ฉันนวดให้เธอดีมั๊ย?”

ฉีเล่ยเริ่มหมดความอดทน เขาตวาดนายแพทย์หนุ่มกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน “เลิกทำเป็นเก่งได้แล้ว คุณไม่ใช่หมอด้วยซ้ำ!”

“นี่แกพูดอะไรกัน?”

นายแพทย์หนุ่มหน้าแดงก่ำ พร้อมกับร้องตะโกนตอบโต้ฉีเล่ยด้วยความโมโห “อย่ามาพูดพล่อยๆแบบนี้นะ! นี่คุณกล้าสงสัยในตัวผมงั้นเหรอ?”

“หึ! ถ้าคุณเป็นหมอจริงๆ คงจะไม่พูดออกมาว่า เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นหอบหืดแน่! แต่ช่างเถอะ! ต่อให้เป็นหมอก็อาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ ผมจะไม่พูดถึงเรื่องวินิจฉัยถูกหรือผิด..”

“แต่จะถามคุณว่า ถ้าพบคนที่มีอาการหอบหืดกำเริบ ควรจะต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก!”

“ก็ต้องกินยา หรือไม่ก็พ่นยาแก้หอบหืดยังไงล่ะ!”

“ผิดแล้ว!”

ฉีเล่ยทำสีหน้าเหยียดหยัน ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ สิ่งแรกที่คนเป็นหมอจะต้องทำก็คือ ทำให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนเข้าไปโดยเร็วที่สุด!

“หากเทียบกับเวลาที่ต้องเสียไปกับการค้นหายา ที่อาจจะไม่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วย ด้านบนนี้มีถุงออกซินเจนอยู่ เบาะนั่งนี่ก็พับลงได้ง่ายๆ..”

“คุณเป็นหมอ แต่กลับไม่มีความรู้พื้นฐาน สำหรับใช้ช่วยชีวิตผู้ป่วยในยามฉุกเฉินเลยงั้นเหรอ?”

“อย่าบอกนะว่า คุณเพิ่งจะเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก แต่ว่า.. เมื่อครู่พนักงานต้อนรับก็ได้อธิบายการใช้ถุงออกซิเจนให้ผู้โดยสารทราบแล้วนี่ครับ! หรือว่าคุณหูหนวก?”

นายแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเล่ยด้วยความโมโห ปากก็อ้าคล้ายต้องการที่จะอธิบาย แต่ฉีเล่ยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด และชิงพูดต่อในทันที

“และหากผู้ป่วยเป็นหอบหืดจริง หลังจากนั้นควรต้องรีบย้ายผู้ป่วยไปอยู่ในที่โล่งกว้าง เพราะคนที่มีอาการหอบหืด จำเป็นต้องได้รับอากาศเข้าให้มาก อีกทั้งที่นี่ก็มีผู้โดยสารมุงดูอยู่มากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการประหม่าตกใจได้..”

“และที่สำคัญ ในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่มาก จะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง..”

“นี่แก.. แก..”

“แกอะไร?”

“นี่เป็นการยืนยันชัดเจนว่าคุณไม่ใช่หมอ! เพราะเพียงแค่การช่วยผู้ป่วยฉุกเฉินขั้นพื้นฐาน คุณยังไม่รู้เลย..”

“ที่สำคัญ.. คุณเน้นแต่เรื่องที่จะค้นหายาในร่างกายของผู้ป่วย ที่คุณพูดออกมาแบบนั้น เพราะต้องการที่จะอาศัยโอกาสที่เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สติ ลวนลามเธอสินะ?”

ในที่สุด ฉีเล่ยก็ได้เปิดโปงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนายแพทย์หนุ่ม..

หลังจากที่ถูกฉีเล่ยเปิดโปงความคิดสกปรกของตนเอง นายแพทย์หนุ่มก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลอย่างมาก

“แกจะมากล่าวหาฉันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้! แกเองก็คงจะไม่ใช่หมอเหมือนกันสินะ? เมื่อครู่ แกก็ใช้เข็มบ้าๆนั่น แทงไปที่หน้าอกของเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนกัน หรือว่าแกเองก็คิดที่จะลวนลามเธออยู่..”

ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแสกับคำพูดที่ไม่ฉลาดของนายแพทย์หนุ่ม พร้อมตอบโต้กลับไปทันที

“ผมว่าคุณคงจะความจำเสื่อมแล้วมั๊ง? ผมบอกไปแล้วไงว่า เธอไม่ได้เป็นหอบหืด แต่หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน..”

“แล้วถ้าฉันทำแบบนั้นจริงๆ แกจะทำอะไรฉัน?”

หลังจากที่ไม่สามารถโต้เถียงฉีเล่ยด้วยเหตุผลได้ นายแพทย์หนุ่มก็ได้แต่ร้องตะโกนใส่หน้าฉีเล่ยด้วยความโมโห พร้อมกับจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง ขาข้างหนึ่งก็ได้ตวัดขึ้นจากพื้น เข้าไปที่กลางหว่างขาของนายแพทย์หนุ่มอย่างรวดเร็ว และรุนแรง!

“โอ๊ย!!!”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของนายแพทย์หนุ่ม ก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับดิ้นขลุกขลักไปมาด้วยความเจ็บปวดที่เป้าเป็นอย่างมาก..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset