ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 48 หญิงสาวเข้ายั่วยวน

ตอนที่ 48 หญิงสาวเข้ายั่วยวน หลังจากที่ผู้โดยสารบนเครื่อง ได้เห็นฉีเล่ยใช้ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำลึกช่วยชีวิตของหญิงสาวไว้ได้  อีกทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเยี่ยม สามารถไล่ต้อนคนชั่วช้าไร้ยางอายจนมุมได้ เรียกได้ว่า สามารถช่วยชีวิตหญิงสาว และทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกลวนลามได้อย่างทันท่วงทีด้วย ในที่สุด เหตุการณ์ทั้งหมดก็จบลงด้วยดี สิ้นสุดภาพฉากอันน่าระทึกตื่นเต้นแล้ว ผู้โดยสารต่างก็อดที่จะปรบมือ และยกย่องสรรเสริญหลินหนานไม่ได้ เสียงปรบมือ และเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ ได้ดังเข้าไปในหูของนายแพทย์หนุ่ม สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากฝ่ามือที่กระหน่ำตบลงบนใบหน้าของเขา จนฟันแทบหลุดร่วง นายแพทย์หนุ่มอับอายจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองผู้คน เขาได้แต่เดินกุมเป้ากางเกงด้วยสีหน้าเจ็บปวด และค่อยๆ เดินตัวลีบกลับไปยังที่นั่งของตนเอง สง่าราศีที่เคยมีพลันอันตรธานหายไปจนหมด ลูกเตะที่หนักหน่วงของฉีเล่ยเมื่อครู่นี้ มันเป็นเสียงหน้าแข้งกระทบเข้ากับลูกอัณฑะอย่างชัดเจน! นายแพทย์หนุ่มยามนี้ถึงกับต้องกระเดือกน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ สายตาจ้องมองเรียวขางดงามของฉีเล่ย ด้วยความรู้สึกสะพรึงกลัว ถึงขั้นเหงื่อแตกพลั่กเลยทีเดียว ‘เฮ้อ! บรรพชนสกุลเฉินช่วยฉันไว้อีกครั้งแล้วสินะ! โชคดีที่ยายเด็กตัวแสบนี่ไม่เป็นอะไร..’ หลังจากที่ฉีเล่ยทำการฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่เพราะก่อนหน้านี้เธอต้องพยายามดิ้นรนต่อสู้กับความตาย จึงทำให้ร่างกายของเธออ่อนเพลียมาก กระทั่งจะลืมตามองดูเหตุการณ์ก็ยังแทบไม่ไหว แต่หูของเธอนั้น สามารถได้ยินคำสนทนาระหว่างฉีเล่ย กับนายแพทย์หนุ่มอย่างชัดเจน ทำให้หญิงสาวนึกขึ้นมาได้ว่า เขาคนนั้นคอยแอบมองเธออยู่ตลอดเวลา ทำให้ทัศนคติของหญิงสาวที่มีต่อชายคนนั้น กลับดูเลวร้ายมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้อีกครั้ง หญิงสาวก็รีบยื่นมือข้างหนึ่งออกไป พร้อมกับกล่าวขอบคุณฉีเล่ย และแนะนำตัวเองทันที “ขอบคุณนะคะที่ช่วยชีวิตของฉันไว้! ฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ฉันชื่อว่าชูซินซู่ค่ะ” เวลานี้ ทัศนคติของหญิงสาวที่มีต่อฉีเล่ยนั้น ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ไว้วางใจหญิงสาวคนนี้อยู่ดี แม้เรียวแขนของหญิงสาวจะนวลเนียนดุจหยกขาว แต่ฉีเล่ยก็รู้สึกว่า เขาไม่ควรจับมือหญิงสาวตอบกลับไป แต่เมื่อคิดอีกทีว่า หากเขาไม่ยื่นมือออกไปจับ ก็คงจะเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ฉีเล่ยจึงได้แต่จำใจจับมือของหญิงสาวเขย่าเบาๆ พร้อมกับแนะนำตัวยิ้มๆ “ผม ฉีเหล่ยครับ!” เพี๊ยะ! แต่จู่ๆ ชูซินซู่ก็ตวัดฝ่ามือของตนเองตบหน้าของฉีเล่ยเข้าไปอย่างแรงหนึ่งฉาด เธอกัดฟันแน่นก่อนจะตวาดใส่หน้าชายหนุ่ม “ไร้ยางอายที่สุด! ก่อนหน้านี้คุณพูดว่า หมอนั่นพยายามจะฉวยโอกาสนี้ลวนลามฉัน แต่ตอนนี้คุณกลับทำซะเอง!” ‘ยายเด็กบ้านี่เป็นอะไร?’ คราวนี้ฉีเล่ยถึงกับทำหน้าไม่ถูก และกำลังสับสนว่า ยายเด็กคนนี้กำลังพูดว่าอะไรกันแน่? ‘ลวนลามงั้นเหรอ? ฉันนี่นะลวนลาม? ก็เธอเป็นคนยื่นมือให้ฉันจับเองไม่ใช่หรือไง?’ แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ ก็พลันเปลี่ยนเป็นเขินเอยไปในทันที พร้อมพูดกับฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดเย้ย ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ “แต่ช่างเถอะ! นี่ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงจะไม่ยอม แต่เป็นคุณลวนลาม ฉันจะลองเก็บไปคิดดูก็แล้วกัน!” ‘บ้าไปแล้ว!’ ฉีเล่ยอยากจะสบถออกมาดังๆ แล้วอยากจะวิ่งไปที่ห้องนักบิน จี้เครื่องบินให้ลงจอดทันที เพราะสัญชาติญาณของเขานั้นเตือนว่า หญิงสาวคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในสามโลก! แม้เวลานี้ ทั้งคู่จะรู้จักกันในฐานะของแพทย์กับคนไข้ และฉีเล่ยก็รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่ลึกๆ ที่ต้องมาพบพานคนแบบนี้ แต่ชูซินซู่กลับมีท่าทางสดชื่นแจ่มใส เวลานี้ หญิงสาวได้นั่งเท้าคางพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจ และเริ่มรู้สึกว่า ชายหนุ่มที่ชื่อฉีเล่ยนี้ก็หน้าตาหล่อเหลาไม่เบาทีเดียว และสิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดของเขาก็คือ แม้จะยังหนุ่มแน่น แต่กลับดูสุขุม เคร่งขรึม และสายตากว้างไกลราวกับชายสูงอายุที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เธอเองก็เคยพบเจอชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบถึงสี่สิบปีมาแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับฉีเล่ย ผู้ชายในวัยกลางคนเหล่านั้น กลับดูเป็นเด็กอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง มิหนำซ้ำบางคนยังเอาแต่ใจเหมือนเด็ก ซึ่งแตกต่างจากฉีเล่ยที่ดูสุขุมเยือกเย็น แต่ก็มีหลากหลายอารมณ์สอดแทรก ล้ำลึก และดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมากมาย ภายใต้สายตาหวานหยดย้อย ที่สะท้อนความเร่าร้อนอยู่เบื้องลึกของชูซินซู่ ฉีเล่ยจ้องมองจมูกที่สวยได้รูป และริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนของหญิงสาวแล้ว เขาถึงกับต้องสวดมนต์ และนึกถึงธรรมะ เพื่อช่วยผ่อนคลายจิตใจที่รุ่มร้อนของตนเองให้สงบลง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะใบหน้าของหญิงสาวยังคงแนบชิดไม่ขยับไปไหน จนเวลานี้ ปลายจมูกของเธอ แทบจะแนบติดกับปลายจมูกของเขาแล้ว ฉีเล่ยได้แต่พร่ำบ่นอยู่ในใจเพื่อเตือนตัวเองว่า ‘ฉันมีภรรยาอยู่แล้ว ออกมาข้างนอกแบบนี้ ต้องไม่ทำเรื่องไม่ควรให้ภรรยาต้องผิดหวังเสียใจเด็ดขาด!’ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สายตาเย้ายวน บวกกับท่าทางบิดไปมาอย่างเก้อเขินของหญิงสาวนั้น ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ขึ้นมากทีเดียว แต่ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นฝ่ามือของหญิงสาวเคลื่อนลงไปปลดกระดุมเสื้อออก ‘พุทโธ ธัมโม สังโฆ..’ ฉีเล่ยเฝ้าพร่ำสวดมนต์อยู่ในใจไม่หยุด และอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ‘ยายเด็กบ้านี่ไม่รู้จักอายบ้างหรือยังไง? ไม่รู้จักแคร์สายตาของผู้โดยสารคนอื่นบ้างเลย! นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?’ แต่ก่อนที่ฉีเล่ยจะคิดเลยเถิดไปไกล ชูซินก็ได้หยิบนามบัตรออกมาจากซอกหน้าอกอวบอิ่มใหญ่โตคู่นั้น ฉีเหล่ยถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พร้อมกับยื่นมือไม้ที่สั่นเทาออกไปรับนามบัตรจากหญิงสาว พร้อมกับลดสายตาลงมองที่นามบัตรในมือ ชูซินซู่ – ตำแหน่งรักษาการประธานบริษัท หยุนหนิง กรุ๊ป “นี่พี่ชาย..” ระหว่างที่พูดนั้น จู่ๆ ชูซินซู่ก็เคลื่อนใบหน้างดงามนั้นเข้าไปใกล้ฉีเล่ยมากขึ้น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอยู่ข้างหูชายหนุ่มว่า “หลังจากถึงปักกิ่งแล้ว ถ้าคุณมีปัญหาอะไร ก็มาพบฉันได้ทุกเมื่อ หรือไม่ก็โทรหาฉันได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถ้าต้องการ!” ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะขื่นอยู่ในใจ และรีบเปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง เพื่อปกปิดน้องชายที่กำลังผงาดชูชันอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพราะน้องชายของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดา ทั้งยาวและใหญ่แบบนั้น มีหรือที่จะสามารถปกปิดได้อย่างมิดชิด แม้จะนั่งไขว่ห้าง ก็ยังสามารถมองเห็น ‘ร่องรอย’ ผ่านเนื้อผ้าของกางเกงที่สวมใส่ได้ แต่หลังจากที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของฉีเล่ย ชูซินซู่ก็เริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวรีบติดกระดุมเสื้อทันที และถอยกลับไปนั่งอย่างเรียบร้อย แล้วจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น.. “พี่ชาย คุณมาทำอะไรที่ปักกิ่ง?” “เฮ้อ..” ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และนับว่าโชคดีที่หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ทำให้บรรยากาศเดิมๆกลับมาอีกครั้ง เขาคลี่ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “ผมได้รับการทาบทามให้ไปเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในปักกิ่งครับ” ชูซินซู่ถึงกับทำสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับร้องตอบไปว่า “ไม่ยักรู้ว่า คนมีทักษะด้านการแพทย์สูงส่งแบบคุณ จะมาเป็นอาจารย์สอนด้วย?” ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดในใจว่า นี่ถ้าหญิงสาวรู้ว่าคนที่ทาบทามเขามานั้นเป็นใคร เธอคงต้องหัวใจวายอีกรอบแน่! แต่แน่นอนว่า อาการของชูซินซู่ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุมาจากโรคอีกหนึ่งโรค.. เครื่องบินเริ่มร่อนลงเทียบท่าอากาศยาน.. ในขณะที่ลงจากเครื่อง ชูซินซู่ก็ได้เดินเกาะแขนฉีเล่ยแน่น ราวกับว่าทั้งคู่เป็นคนรักกันมานานหลายปี หากใครเห็นเข้า ก็คงคิดไม่ถึงว่า ความจริงแล้ว ทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกันบนเครื่องบินลำนี้เอง ฉีเล่ยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แขนของเขากำลังเสียดสีอยู่กับหน้าอกอวบอิ่มของชูซินซู่ แม้จะเป็นครั้งคราว แต่ก็ทำเอาแขนขาของเขาอ่อนระทวยหมดเรี่ยวหมดแรงไปทีเดียว ภาพที่ทั้งคู่เดินเกาะกันไปอย่างสนิทสนมนั้น ทำให้นายแพทย์หนุ่มที่เดินตามหลังมา ถึงกับอิจฉาตาร้อน และได้แต่กร่นด่าอยู่ในใจ ‘ถ้าฉันได้เจอไอ้บ้านี่อีกครั้งในปักกิ่งล่ะก็ รับรองได้ว่า ฉันจะทำให้มันได้ลิ้มรสความตายแน่!’ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดบนเครื่องบินขึ้นมา นายแพทย์หนุ่มก็ถึงกับเจ็บปวดน้องชายขึ้นมาอีกครั้ง! เมื่อเดินออกมาจากสนามบิน แม้จะมีรถมารอจอดรับผู้โดยสารอยู่มากมาย แต่รถหรูยี่ห้อ Bentley ก็โดดเด่นและสะดุดตามากกว่ารถคันอื่นๆ ที่จอดเรียงรายอยู่ และรถหรูคันนี้ก็มาจอดรับชูซินซู่นั่นเอง แม้ฉีเล่ยจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถมากเท่าไหร่ แต่ก็พอจะรู้ว่า รถ Bengley ที่มีตราฝังเพรชนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่หกสิบคันในโลกเท่านั้น และเพียงแค่มีรถหรูระดับนี้มารับ เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า ฐานะของเธอนั้นไม่ธรรมดา! เดิมทีชูซินซู่ไม่คิดที่จะแยกย้ายกับฉีเล่ยตรงนี้ แต่ต้องการให้ชายหนุ่มขึ้นรถไปพร้อมกับเธอด้วย แต่ฉีเล่ยปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการให้หญิงสาวรู้ว่าตัวเขาเองพักอยู่ที่ไหน? หลังจากที่ฉีเล่ยยืนกรานปฏิเสธ ชูซินซู่จึงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากต้องคว้าโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มมา พร้อมกับบันทึกเบอร์มือถือ และ Wechat ของตนเองลงไป ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเขาไป หญิงสาวยิ้มหวานให้กับฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่สุดหล่อ อย่าลืมโทรหาฉันล่ะ แล้วถ้าฉันโทรไปก็ต้องรับรู้มั๊ย? ที่สำคัญ ต้องตอบข้อความที่ฉันส่งไปใน Wechat ให้เร็วที่สุดด้วย! เพราะโรคที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่ามัน.. ช่างเถอะ! ไว้ถึงตอนนั้น คุณค่อยช่วยชีวิตฉันอีกก็แล้วกัน!” หลังจากได้ฟังคำพูดของหญิงสาว ฉีเล่ยสามารถสัมผัสได้ว่า คำพูดประโยคหลังๆของเธอนั้น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก! ชูซินซู่น่าจะเป็นคนในสกุลใหญ่ที่มีอำนาจมากทีเดียว ฐานะของเธอก็คงจะไม่ธรรมดาด้วย ใครที่มีชีวิตแบบนี้ ย่อมต้องอยากมีชีวิตอยู่ยืนยาวเป็นธรรมดา แต่โรคที่หญิงสาวเป็นอยู่นั้น ก็ไม่ธรรมดาเลย และใช่ว่าจะสามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ แพทย์แผนปัจจุบันก็ช่วยได้เพียงแค่ควบคุม และชะลออาการเบื้องต้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สำหรับฉีเล่ยนั้น ไม่เคยมีคำว่ารักษาไม่ได้ หรือไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้ อยู่ในห้วงความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะ ด้วยความรู้ และทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของบรรพชนสกุลเฉิน ทำให้เขามั่นใจว่า ไม่มีโรคใดที่เขาจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ เพียงแต่บางโรคอาจต้องใช้เวลาในการรักษานานเท่านั้นเอง..

ตอนที่ 48 หญิงสาวเข้ายั่วยวน

หลังจากที่ผู้โดยสารบนเครื่อง ได้เห็นฉีเล่ยใช้ทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำลึกช่วยชีวิตของหญิงสาวไว้ได้  อีกทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเยี่ยม สามารถไล่ต้อนคนชั่วช้าไร้ยางอายจนมุมได้ เรียกได้ว่า สามารถช่วยชีวิตหญิงสาว และทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกลวนลามได้อย่างทันท่วงทีด้วย

ในที่สุด เหตุการณ์ทั้งหมดก็จบลงด้วยดี สิ้นสุดภาพฉากอันน่าระทึกตื่นเต้นแล้ว ผู้โดยสารต่างก็อดที่จะปรบมือ และยกย่องสรรเสริญหลินหนานไม่ได้

เสียงปรบมือ และเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ ได้ดังเข้าไปในหูของนายแพทย์หนุ่ม สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากฝ่ามือที่กระหน่ำตบลงบนใบหน้าของเขา จนฟันแทบหลุดร่วง นายแพทย์หนุ่มอับอายจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองผู้คน เขาได้แต่เดินกุมเป้ากางเกงด้วยสีหน้าเจ็บปวด และค่อยๆ เดินตัวลีบกลับไปยังที่นั่งของตนเอง สง่าราศีที่เคยมีพลันอันตรธานหายไปจนหมด

ลูกเตะที่หนักหน่วงของฉีเล่ยเมื่อครู่นี้ มันเป็นเสียงหน้าแข้งกระทบเข้ากับลูกอัณฑะอย่างชัดเจน! นายแพทย์หนุ่มยามนี้ถึงกับต้องกระเดือกน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ สายตาจ้องมองเรียวขางดงามของฉีเล่ย ด้วยความรู้สึกสะพรึงกลัว ถึงขั้นเหงื่อแตกพลั่กเลยทีเดียว

‘เฮ้อ! บรรพชนสกุลเฉินช่วยฉันไว้อีกครั้งแล้วสินะ! โชคดีที่ยายเด็กตัวแสบนี่ไม่เป็นอะไร..’

หลังจากที่ฉีเล่ยทำการฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงได้ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่เพราะก่อนหน้านี้เธอต้องพยายามดิ้นรนต่อสู้กับความตาย จึงทำให้ร่างกายของเธออ่อนเพลียมาก กระทั่งจะลืมตามองดูเหตุการณ์ก็ยังแทบไม่ไหว

แต่หูของเธอนั้น สามารถได้ยินคำสนทนาระหว่างฉีเล่ย กับนายแพทย์หนุ่มอย่างชัดเจน ทำให้หญิงสาวนึกขึ้นมาได้ว่า เขาคนนั้นคอยแอบมองเธออยู่ตลอดเวลา ทำให้ทัศนคติของหญิงสาวที่มีต่อชายคนนั้น กลับดูเลวร้ายมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้อีกครั้ง หญิงสาวก็รีบยื่นมือข้างหนึ่งออกไป พร้อมกับกล่าวขอบคุณฉีเล่ย และแนะนำตัวเองทันที

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยชีวิตของฉันไว้! ฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ฉันชื่อว่าชูซินซู่ค่ะ”

เวลานี้ ทัศนคติของหญิงสาวที่มีต่อฉีเล่ยนั้น ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ไว้วางใจหญิงสาวคนนี้อยู่ดี แม้เรียวแขนของหญิงสาวจะนวลเนียนดุจหยกขาว แต่ฉีเล่ยก็รู้สึกว่า เขาไม่ควรจับมือหญิงสาวตอบกลับไป

แต่เมื่อคิดอีกทีว่า หากเขาไม่ยื่นมือออกไปจับ ก็คงจะเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ฉีเล่ยจึงได้แต่จำใจจับมือของหญิงสาวเขย่าเบาๆ พร้อมกับแนะนำตัวยิ้มๆ

“ผม ฉีเหล่ยครับ!”

เพี๊ยะ!

แต่จู่ๆ ชูซินซู่ก็ตวัดฝ่ามือของตนเองตบหน้าของฉีเล่ยเข้าไปอย่างแรงหนึ่งฉาด เธอกัดฟันแน่นก่อนจะตวาดใส่หน้าชายหนุ่ม

“ไร้ยางอายที่สุด! ก่อนหน้านี้คุณพูดว่า หมอนั่นพยายามจะฉวยโอกาสนี้ลวนลามฉัน แต่ตอนนี้คุณกลับทำซะเอง!”

‘ยายเด็กบ้านี่เป็นอะไร?’

คราวนี้ฉีเล่ยถึงกับทำหน้าไม่ถูก และกำลังสับสนว่า ยายเด็กคนนี้กำลังพูดว่าอะไรกันแน่?

‘ลวนลามงั้นเหรอ? ฉันนี่นะลวนลาม? ก็เธอเป็นคนยื่นมือให้ฉันจับเองไม่ใช่หรือไง?’

แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดเมื่อครู่ ก็พลันเปลี่ยนเป็นเขินเอยไปในทันที พร้อมพูดกับฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดเย้ย ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

“แต่ช่างเถอะ! นี่ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงจะไม่ยอม แต่เป็นคุณลวนลาม ฉันจะลองเก็บไปคิดดูก็แล้วกัน!”

‘บ้าไปแล้ว!’

ฉีเล่ยอยากจะสบถออกมาดังๆ แล้วอยากจะวิ่งไปที่ห้องนักบิน จี้เครื่องบินให้ลงจอดทันที เพราะสัญชาติญาณของเขานั้นเตือนว่า หญิงสาวคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในสามโลก!

แม้เวลานี้ ทั้งคู่จะรู้จักกันในฐานะของแพทย์กับคนไข้ และฉีเล่ยก็รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่ลึกๆ ที่ต้องมาพบพานคนแบบนี้ แต่ชูซินซู่กลับมีท่าทางสดชื่นแจ่มใส

เวลานี้ หญิงสาวได้นั่งเท้าคางพร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจ และเริ่มรู้สึกว่า ชายหนุ่มที่ชื่อฉีเล่ยนี้ก็หน้าตาหล่อเหลาไม่เบาทีเดียว และสิ่งที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดของเขาก็คือ แม้จะยังหนุ่มแน่น แต่กลับดูสุขุม เคร่งขรึม และสายตากว้างไกลราวกับชายสูงอายุที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

เธอเองก็เคยพบเจอชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบถึงสี่สิบปีมาแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับฉีเล่ย ผู้ชายในวัยกลางคนเหล่านั้น กลับดูเป็นเด็กอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง มิหนำซ้ำบางคนยังเอาแต่ใจเหมือนเด็ก ซึ่งแตกต่างจากฉีเล่ยที่ดูสุขุมเยือกเย็น แต่ก็มีหลากหลายอารมณ์สอดแทรก ล้ำลึก และดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมากมาย

ภายใต้สายตาหวานหยดย้อย ที่สะท้อนความเร่าร้อนอยู่เบื้องลึกของชูซินซู่ ฉีเล่ยจ้องมองจมูกที่สวยได้รูป และริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวนของหญิงสาวแล้ว เขาถึงกับต้องสวดมนต์ และนึกถึงธรรมะ เพื่อช่วยผ่อนคลายจิตใจที่รุ่มร้อนของตนเองให้สงบลง

แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะใบหน้าของหญิงสาวยังคงแนบชิดไม่ขยับไปไหน จนเวลานี้ ปลายจมูกของเธอ แทบจะแนบติดกับปลายจมูกของเขาแล้ว

ฉีเล่ยได้แต่พร่ำบ่นอยู่ในใจเพื่อเตือนตัวเองว่า ‘ฉันมีภรรยาอยู่แล้ว ออกมาข้างนอกแบบนี้ ต้องไม่ทำเรื่องไม่ควรให้ภรรยาต้องผิดหวังเสียใจเด็ดขาด!’

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สายตาเย้ายวน บวกกับท่าทางบิดไปมาอย่างเก้อเขินของหญิงสาวนั้น ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ขึ้นมากทีเดียว แต่ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เขาก็เห็นฝ่ามือของหญิงสาวเคลื่อนลงไปปลดกระดุมเสื้อออก

‘พุทโธ ธัมโม สังโฆ..’

ฉีเล่ยเฝ้าพร่ำสวดมนต์อยู่ในใจไม่หยุด และอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ‘ยายเด็กบ้านี่ไม่รู้จักอายบ้างหรือยังไง? ไม่รู้จักแคร์สายตาของผู้โดยสารคนอื่นบ้างเลย! นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?’

แต่ก่อนที่ฉีเล่ยจะคิดเลยเถิดไปไกล ชูซินก็ได้หยิบนามบัตรออกมาจากซอกหน้าอกอวบอิ่มใหญ่โตคู่นั้น

ฉีเหล่ยถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พร้อมกับยื่นมือไม้ที่สั่นเทาออกไปรับนามบัตรจากหญิงสาว พร้อมกับลดสายตาลงมองที่นามบัตรในมือ

ชูซินซู่ – ตำแหน่งรักษาการประธานบริษัท หยุนหนิง กรุ๊ป

“นี่พี่ชาย..”

ระหว่างที่พูดนั้น จู่ๆ ชูซินซู่ก็เคลื่อนใบหน้างดงามนั้นเข้าไปใกล้ฉีเล่ยมากขึ้น พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอยู่ข้างหูชายหนุ่มว่า

“หลังจากถึงปักกิ่งแล้ว ถ้าคุณมีปัญหาอะไร ก็มาพบฉันได้ทุกเมื่อ หรือไม่ก็โทรหาฉันได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถ้าต้องการ!”

ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะขื่นอยู่ในใจ และรีบเปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง เพื่อปกปิดน้องชายที่กำลังผงาดชูชันอย่างรวดเร็ว แต่เป็นเพราะน้องชายของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดา ทั้งยาวและใหญ่แบบนั้น มีหรือที่จะสามารถปกปิดได้อย่างมิดชิด แม้จะนั่งไขว่ห้าง ก็ยังสามารถมองเห็น ‘ร่องรอย’ ผ่านเนื้อผ้าของกางเกงที่สวมใส่ได้

แต่หลังจากที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของฉีเล่ย ชูซินซู่ก็เริ่มรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวรีบติดกระดุมเสื้อทันที และถอยกลับไปนั่งอย่างเรียบร้อย แล้วจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น..

“พี่ชาย คุณมาทำอะไรที่ปักกิ่ง?”

“เฮ้อ..”

ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และนับว่าโชคดีที่หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ทำให้บรรยากาศเดิมๆกลับมาอีกครั้ง เขาคลี่ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า

“ผมได้รับการทาบทามให้ไปเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยในปักกิ่งครับ”

ชูซินซู่ถึงกับทำสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับร้องตอบไปว่า “ไม่ยักรู้ว่า คนมีทักษะด้านการแพทย์สูงส่งแบบคุณ จะมาเป็นอาจารย์สอนด้วย?”

ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดในใจว่า นี่ถ้าหญิงสาวรู้ว่าคนที่ทาบทามเขามานั้นเป็นใคร เธอคงต้องหัวใจวายอีกรอบแน่!

แต่แน่นอนว่า อาการของชูซินซู่ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสาเหตุมาจากโรคอีกหนึ่งโรค..

เครื่องบินเริ่มร่อนลงเทียบท่าอากาศยาน..

ในขณะที่ลงจากเครื่อง ชูซินซู่ก็ได้เดินเกาะแขนฉีเล่ยแน่น ราวกับว่าทั้งคู่เป็นคนรักกันมานานหลายปี หากใครเห็นเข้า ก็คงคิดไม่ถึงว่า ความจริงแล้ว ทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกันบนเครื่องบินลำนี้เอง

ฉีเล่ยสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า แขนของเขากำลังเสียดสีอยู่กับหน้าอกอวบอิ่มของชูซินซู่ แม้จะเป็นครั้งคราว แต่ก็ทำเอาแขนขาของเขาอ่อนระทวยหมดเรี่ยวหมดแรงไปทีเดียว

ภาพที่ทั้งคู่เดินเกาะกันไปอย่างสนิทสนมนั้น ทำให้นายแพทย์หนุ่มที่เดินตามหลังมา ถึงกับอิจฉาตาร้อน และได้แต่กร่นด่าอยู่ในใจ

‘ถ้าฉันได้เจอไอ้บ้านี่อีกครั้งในปักกิ่งล่ะก็ รับรองได้ว่า ฉันจะทำให้มันได้ลิ้มรสความตายแน่!’

แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดบนเครื่องบินขึ้นมา นายแพทย์หนุ่มก็ถึงกับเจ็บปวดน้องชายขึ้นมาอีกครั้ง!

เมื่อเดินออกมาจากสนามบิน แม้จะมีรถมารอจอดรับผู้โดยสารอยู่มากมาย แต่รถหรูยี่ห้อ Bentley ก็โดดเด่นและสะดุดตามากกว่ารถคันอื่นๆ ที่จอดเรียงรายอยู่ และรถหรูคันนี้ก็มาจอดรับชูซินซู่นั่นเอง

แม้ฉีเล่ยจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องรถมากเท่าไหร่ แต่ก็พอจะรู้ว่า รถ Bengley ที่มีตราฝังเพรชนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงแค่หกสิบคันในโลกเท่านั้น และเพียงแค่มีรถหรูระดับนี้มารับ เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่า ฐานะของเธอนั้นไม่ธรรมดา!

เดิมทีชูซินซู่ไม่คิดที่จะแยกย้ายกับฉีเล่ยตรงนี้ แต่ต้องการให้ชายหนุ่มขึ้นรถไปพร้อมกับเธอด้วย แต่ฉีเล่ยปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการให้หญิงสาวรู้ว่าตัวเขาเองพักอยู่ที่ไหน?

หลังจากที่ฉีเล่ยยืนกรานปฏิเสธ ชูซินซู่จึงไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากต้องคว้าโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มมา พร้อมกับบันทึกเบอร์มือถือ และ Wechat ของตนเองลงไป ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้กับเขาไป

หญิงสาวยิ้มหวานให้กับฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่สุดหล่อ อย่าลืมโทรหาฉันล่ะ แล้วถ้าฉันโทรไปก็ต้องรับรู้มั๊ย? ที่สำคัญ ต้องตอบข้อความที่ฉันส่งไปใน Wechat ให้เร็วที่สุดด้วย! เพราะโรคที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่ามัน.. ช่างเถอะ! ไว้ถึงตอนนั้น คุณค่อยช่วยชีวิตฉันอีกก็แล้วกัน!”

หลังจากได้ฟังคำพูดของหญิงสาว ฉีเล่ยสามารถสัมผัสได้ว่า คำพูดประโยคหลังๆของเธอนั้น พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก!

ชูซินซู่น่าจะเป็นคนในสกุลใหญ่ที่มีอำนาจมากทีเดียว ฐานะของเธอก็คงจะไม่ธรรมดาด้วย ใครที่มีชีวิตแบบนี้ ย่อมต้องอยากมีชีวิตอยู่ยืนยาวเป็นธรรมดา

แต่โรคที่หญิงสาวเป็นอยู่นั้น ก็ไม่ธรรมดาเลย และใช่ว่าจะสามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ แพทย์แผนปัจจุบันก็ช่วยได้เพียงแค่ควบคุม และชะลออาการเบื้องต้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

แต่สำหรับฉีเล่ยนั้น ไม่เคยมีคำว่ารักษาไม่ได้ หรือไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้ อยู่ในห้วงความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะ ด้วยความรู้ และทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของบรรพชนสกุลเฉิน ทำให้เขามั่นใจว่า ไม่มีโรคใดที่เขาจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ เพียงแต่บางโรคอาจต้องใช้เวลาในการรักษานานเท่านั้นเอง..

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset