ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 49 สาวสวยผู้แสนเย็นชา

ตอนที่49 สาวสวยผู้แสนเย็นชา หลังออกมาจากสนามบินฉีเหล่ยได้โทรหาหลี่ฮั่วเฉินทันที แต่หลี่ฮั่วเฉินซึ่งอยู่ปลายสายกลับแจ้งว่า ตนมีธุระที่ต้องจัดการและไม่สามารถออกไปรับชายหนุ่มได้ แต่ก็บอกกับเขาว่าจะส่งคนไปรับแทน ทั้งยังสั่งฉีเล่ยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาปักกิ่งใช่ไหม? แล้วนี่เธอมีที่พักหรือยัง?” หลังจากเห็นฉีเล่ยนิ่งเงียบไป ชายชราจึงได้พูดต่อทันที “คงจะยังไม่มีสินะ! อย่างไรก็ห้ามเธอไปพักโรงแรม เพราะคงจะไม่สะดวกในหลายๆเรื่อง เดี๋ยวฉันจะให้เสี่ยวหลินไปรับเธอมาที่บ้านของฉัน ที่นี่ค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร มีห้องหับให้พักได้สะดวก” “อ่อ! แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำอะไรล่ะ ฮ่าๆๆ ไว้ใจฉันได้! ไม่ต้องเกรงใจ เพราะฉันเองก็มีเรื่องต้องคุยกับเธออีกมาก” ความจริงฉีเล่ยไม่ได้ต้องการไปรบกวนหลี่ฮั่วเฉิน แต่ยังไม่ทันจะได้ปฏิเสธ ชายชราก็กดวางสายไปเสียก่อน ในเมื่อไม่มีทางเลือก ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องตอบรับคำเชิญของอีกฝ่าย และได้แต่ยืนรอคนที่หลี่ฮั่วเฉินส่งมารับตนที่สนามบินแทน ในเวลาไม่ถึงสิบนาที ชายหนุ่มหน้าตาสุดแสนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบิน พร้อมกับถือแผ่นป้ายที่มีชื่อ ‘ฉีเล่ย’ ไว้ในมือ ฉีเล่ยจึงรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นเสี่ยวหลินที่หลี่ฮั่วเฉินพูดถึงไม่ผิดแน่ เขาจึงรีบเดินลากกระเป๋าเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นฉีเล่ยกำลังเดินตรงเข้ามาหา เขาก็รีบโค้งคำนับ ก่อนจะร้องทักทายด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น “คุณคือคุณฉีเล่ยใช่ไหมครับ?” “ใช่ครับ ผมฉีเล่ย” หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เสี่ยวหลินก็รีบเดินนำฉีเล่ยออกไปขึ้นรถตู้ พร้อมกับแนะนำตัวเอง “ผมชื่อหลินอันนะครับ หรือคุณฉีจะเรียกผมว่าเสี่ยวหลินก็ได้ครับ” หลังจากแนะนำตัวแล้ว หลินอันก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังประหม่าที่ได้พบกับฉีเล่ยอย่างมาก สังเกตได้จากใบหูที่แดงก่ำของเขา ซึ่งเกิดจากความตึงเครียด หลินอันไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรอีกต่อไป เขาจัดการสตาร์ทรถ ขับขึ้นทางด่วนจากสนามบินมุ่งสู่ตัวเมืองทันที ขับไปได้ราวหนึ่งชั่วโมงเศษ บริเวณโดยรอบจากย่านชุมชนคนสัญจรธรรมดาทั่วไป ก็กลับกลายมาเป็นหมู่บ้านหรูหราระดับไฮเอนด์ แต่หลินอันยังคงขับตรงต่อไปจนกระทั่งรถไปหยุดลงที่หน้าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง หลังจากช่วยฉีเล่ยยกกระเป๋าเดินทางออกจากท้ายรถแล้ว หลินอันก็ได้ยกมือขึ้นชี้ไปที่บ้านงเดี่ยวหลังนั้นและบอกกับฉีเล่ยว่า “ถึงบ้านของนายท่านหลี่แล้วครับ เชิญคุณฉีเข้าไปด้านในได้เลยครับ ผม…ผมมาส่งได้แค่นี้ครับ” เมื่อได้ยินหลินอันพูดเช่นนี้ ฉีเล่ยถึงกับหันขวับไปมองหน้าอีกฝ่าย ซึ่งมีสีหน้าท่าทางอึดอัดราวกับมีบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ฉีเล่ยจับจ้องไปที่ใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะกำลังประหมา พร้อมกับถามยิ้มๆ “ทำไมคุณถึงไปส่งผมด้านในไม่ได้ล่ะครับ?” “เอ่อ…เอ่อ…ผม…” “บ้านหลังนี้มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” “ผม…ผมไม่กล้าเข้าไปครับ” “ทำไมถึงไม่กล้าเข้าไปล่ะ?” “นายท่านหลี่.. นายท่านหลี่มีหลานสาวอยู่คนหนึ่งครับ แล้ววันนี้คุณหนูเธอน่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ในบ้าน…” “หลานสาว?” ฉีเล่ยยกนิ้วขึ้นถูกจมูกเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามต่อว่า “เธออยู่ในบ้านแล้วยังไง? หรือเธอเป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง หรือว่าเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอเสียโฉมจนไม่อยากพบเจอใคร?” “ไม่…ไม่ใช่แบบนั้นครับ คุณหนูหลี่เธอสวยมาก เธอสวยมากจริงๆ เพียงแต่นิสัยของเธอ…เอ่อ…” เมื่อเห็นหลินอันพูดติดอ่างไม่เป็นคำ ฉีเล่ยก็ยิ่งรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามต่อว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่กล้าเข้าไปล่ะ?” ระหว่างที่ถูกหลินหนานซัก สีหน้าของหลินอันก็ดูแย่มาก คล้ายกับคนกำลังจะร้องไห้ “เธอ…เธอไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ผม…เลยไม่กล้าเข้าไปครับ” เมื่อเห็นหลินอันที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้แบบนั้นใจหนึ่งฉีเล่ยก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย แต่อีกใจก็ไม่ต้องการที่จะไปคะยั้นคะยอคนรับใช้ผู้ซื่อตรงคนนี้อีก จึงได้แต่ยิ้มและพูดไปว่า “เข้าใจแล้ว งั้นฉันเข้าไปเอง ขอบคุณมากที่มาส่ง” เมื่อได้ยินคำตอบของฉีเล่ย หลินอันก็รีบตอบกลับทันที “ขอบคุณมากครับ ขอบคุณ นี้เป็นกุญแจที่นายท่านหลี่ให้นำมาให้คุณ ขอให้โชคดีนะครับ” หลินอันโค้งคำนับให้ฉีเล่ยหนึ่งที และหลังจากถอยหลังออกไปได้เพียงสองก้าว เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถตู้และรีบขับหนีออกไปทันที ทำไมต้องกลัวขนาดนั้น? ‘หลานสาวของอาวุโสหลี่เป็นเสือหรือยังไง? ทำไมคนรับใช้หน้าซื่อแบบเสี่ยวหลิน ถึงได้ต้องหวาดกลัวอย่างกับเห็นผี?’ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเล่ยก็ได้กำกุญแจในมือแน่น พร้อมกับเดินตรงเข้าไปในบ้านสกุลหลี่ทันที ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้าไป หรือจะให้บอกหลี่ฮั่วเฉินว่า เขาไม่อยากเข้าบ้านเพราะกลัวหลานสาวของเขาอย่างนั้นหรือ? ฟังดูไร้สาระจนเกินไป! อย่างไรก็ตาม ฉีเล่ยไม่ได้เดินดุ่มๆไขประตูเข้าไปทันที แต่ได้พยายามสำรวจผ่านรั้วประตูเหล็กที่ปิดอยู่ สิ่งแรกที่เตะตาฉีเล่ยเลยก็คือ ทัศนียภาพสวยงามเตะตาภายในลานหน้าบ้าน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ สิ่งที่ทำให้ทัศนียภาพหน้าลานบ้านดูสวยงามมากขึ้น ดูเหมือนจะเป็นเพราะหญิงสาวผู้แสนงดงามที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างหากล่ะ! สาวน้อยคนนี้อายุน่าจะราว27-28ปี รูปร่างสวยงามไร้ที่ติ ใบหน้าอิ่มเอิบ ส่วนสูงนับว่าเกินมาตรฐานผู้หญิงทั่วไปเล็กน้อย เวลานี้เธอกำลังรดน้ำในสวนดอกไม้หน้าลานบ้านอยู่ ฉีเล่ยกะดูด้วยสายตา และคาดว่าหญิงสาวน่าจะสูงประมาณ170 เซ็นติเมตร เธอสวมชุดลำลองสีขาวโปร่งสบาย แต่นั่นก็ไม่อาจปกปิดหน้าอกอวบอิ่มทรงเสน่ห์นั้นไว้ได้ และเนินอกคู่นั้นยังเสริมให้หญิงสาวดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก ผมดำขลับของเธอยาวประบ่า เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งที่ดูงดงามดั่งเจ้าหญิง ส่วนอีกครึ่งซีกถูกผมยาวนั้นปกคลุมไว้อยู่ แต่ใบหน้าเพียงครึ่งซีกก็เพียงพอที่จะสยบผู้ชายทุกคนให้ตกอยู่ในภวังค์ได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่หญิงสาวโน้มตัวก้มลง บั้นท้ายของเธอช่างดูอวบอิ่ม โค้งนูนเป็นทรงสวยงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หากจะให้เปรียบเทียบคงจะไม่ต่างจากลูกพีช ฉีเล่ยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ระหว่างขึ้นเครื่องบินกระทั่งลงเครื่องมา เขาจะโชคดีได้พานพบกับสาวงามพร้อมกันถึงสองคน! เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในปักกิ่งจะเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยสาวงามจากทั่วทุกทิศ? ฉีเล่ยรีบสะบัดหน้าไปมาอย่างรวดเร็ว เพื่อขับไล่ความคิดไร้สาระเหล่านั้นออกไปจากหัว จากนั้นจึงค่อยยกมือขึ้นเคาะประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านอย่างเบามือ แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็ทำให้หญิงสาวที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เธอจะหันมามองฉีเล่ย แต่ทว่า เพียงแค่สายตาที่ชำเลืองมาเท่านั้น กลับทำให้ฉีเล่ยรู้สึกเย็นวาบไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ และเย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง ‘เย็นชา!’ ‘เย็นชามากเกินไป!’ ฉีเล่ยคาดไม่ถึงเลยว่า แววตาของสาวน้อยคนหนึ่งจะเย็นชาได้ถึงขนาดนี้ สายตาคู่นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ที่ถูกจ้องมองเสียวสันหลังวาบ แต่ยังทำให้ผู้ที่ถูกมองขนลุกขนชันไปทั่วทุกอณูในร่างกายอีกด้วย เมื่อได้เห็นสายตาสุดแสนจะเย็นชาของสาวน้อยคนนี้ แม้แต่เขาเองก็อแทบยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเช่นกัน หญิงสาวเอ่ยถามเสียงห้วนด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก “คุณเป็นใคร?” หลังจากได้ยินคำถามจากเจ้าหญิงน้ำแข็งคนนี้ ฉีเล่ยได้แต่ฝืนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมชื่อฉีเล่ย” “ฉีเล่ย.. ไม่รู้จัก!” หญิงสาวหน้าตาเย็นชาทวนชื่อฉีเล่ยหนึ่งครั้ง ก่อนจะตอบชายหนุ่มกลับไป ฉีเล่ยคิดว่า หลี่ฮั่วเฉินน่าจะเกริ่นเรื่องของเขาให้หลานสาวฟังมาก่อนบ้าง แต่ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากอธิบายให้ฟัง จู่ๆเด็กสาวก็รีบวิ่งมาดึงประตูรั้วเหล็กปิดใส่หน้าดังปัง และรีบล็อกกุญแจทันที! ‘อะไรจะขนาดนั้น? ดูท่าเธอจะ…’ เสียงดังปังที่เกิดจากการกระแทกประตูเหล็กปิดอย่างแรงนั้น ปลุกฉีเล่ยให้สะดุ้งตื่นกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ‘ต่อให้สวยแค่ไหนก็ควรมีมนุษย์สัมพันธ์บ้างไม่ใช่รึไง? หรือหน้าฉันมันดูเหมือนพวกวิกลจริตนักเหรอ?’ ‘ถึงขั้นปิดประตูใส่หน้ากันแบบนี้ มันเกินไปแล้ว!’ หรือนี่อาจจะเป็นหนึ่งในจุดด้อยของผู้ชาย ฉีเล่ยในเวลานี้รู้สึกราวกับถูกหยามน้ำหน้าอย่างแรง ทำให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะอย่างไร วันนี้เขาก็จะต้องผ่านประตูบานนี้เข้าไปให้ได้! หลังจากคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงหยิบกุญแจออกมาและจัดการเปิดประตูรั้วเหล็กด้วยตัวเองทันที เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยกำลังเปิดประตูรั้วเหล็กเข้ามาเอง สีหน้าของสาวน้อยผู้แสนเย็นชาคนนี้ก็ดูแปลกมาก เธอรีบร้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำไมคุณถึงมีกุญแจบ้านฉันล่ะ?” ฉีเล่ยตอบกลับไปยิ้ม “ก็คุณปู่เธอให้ฉันมายังไงล่ะ” ใบหน้าของสาวสวยยังคงนิ่งเฉยปราศจากอารมณ์ใด พร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม “แล้วทำไมปู่ถึงต้องให้กุญแจคุณด้วย? คุณเป็นใครกันแน่?” ขณะที่เก็บกุญแจ ฉีเล่ยก็ค่อยๆเดินตรงเข้าไปในสวนหน้าบ้านอย่างช้าๆ “ผมชื่อฉีเล่ย เป็นแพทย์ที่บังเอิญพบกับปู่ของคุณที่หนานหยาง เขาก็เลยชวนผมให้มาทำงานที่ปักกิ่ง ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงมีกุญแจบ้านนั้น ก็เพราะว่าคุณปู่ของคุณไว้ใจผมมากยังไงล่ะ” “เพราะฉะนั้น คุณสบายใจได้ว่า ผมไม่ได้มาขโมยของในบ้านหลังนี้แน่ หรือถ้าคุณมองผมเป็นพวกวิกลจริตล่ะก็ คุณไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะผมไม่คิดที่จะทำมิดีมิร้ายกับหลานสาวของอาวุโสหลี่อยู่แล้ว เท่านี้พอใจรึยัง?” เมื่อเห็นฉีเล่ยพูดราวกับไม่มีอะไรแบบนี้ สาวสวยผู้แสนเย็นชาจึงได้ร้องตะโกนข่มขู่ฉีเล่ยกลับไปทันที “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ขืนยังกล้าเดินเข้ามาอีกก้าว ฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ล่ะ!” ฉีเล่ยกลับไม่แยแส และเพียงแค่ยักไหล่ พร้อมกับตอบโต้กลับไปทันที “ก็แล้วแต่คุณ แต่ก่อนจะโทรแจ้งตำรวจ ผมว่าคุณโทรหาปู่ของคุณก่อนดีกว่าไหม?” ท่าทางการแสดงออกของสาวสวยผู้แสนเย็นชาคนนี้ ดูเหมือนจะไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป เธอจ้องฉีเล่ยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะร้องตะโกนใส่หน้าเขาอีกครั้ง “คุณ…หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้นล่ะ! อย่าเพิ่งเข้ามานะ!” ทันทีที่พูดจบ สาวคนนั้นก็โยนบัวรดน้ำในมือทิ้งไป แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่นบ้าน เพื่อโทรเช็คความจริงกับปู่ของเธอ เมื่อได้เห็นบั้นท้ายกลมกลึงราวกับลูกพืชสองลูกเด้งไปมาตามแรงสั่นสะเทือนขณะวิ่งไปยังห้องนั่งเล่น และยังหน้าอกอวบอิ่มนั่นอีก ฉีเล่ยถึงกับอดที่จะจินตนาการไม่ได้ว่า ใครกันจะเป็นชายหนุ่มผู้โชคดีได้แต่งงานกับเธอ? หลังจากเดินวนไปเวียนมาอยู่ตรงลานหน้าบ้านครู่หนึ่ง ฉีเฉ่ยก็เดินตามเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น และพบว่าสาวสวยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับหลี่ฮั่วเฉินอยู่ แต่ดูเหมือนว่า คำตอบของหลี่ฮั่วเฉินจะสร้างไม่พอใจให้กับสาวสวยคนนี้มาก สีหน้าของเธอกลับดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับหันมาจ้องมองฉีเล่ยตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันก็ไม่ปาน แต่เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของสาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ฉีเล่ยกลับยิ่งมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เขายิ้มออกมาพร้อมกับแกล้งพูดเยาะเย้ย “ว่ายังไงล่ะ? บอกแล้วว่าผมไม่ได้พูดโกหก เอาล่ะ แล้วนี่จะให้ผมพักห้องไหน?” สาวน้อยผู้แสนเย็นชาตอบกลับด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ก็หาเองสิ” ฉีเล่ยแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมตอบกลับไปว่า “ก็ได้! แต่ถ้าบังเอิญผมเข้าผิดห้อง แล้วไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น…ผมจะทำยังไงดีนะ?” เด็กสาวตวาดใส่หน้าฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม “ถ้าคุณทำแบบนั้น ฉันก็จะควักลูกตาของคุณออกมาน่ะสิ!” แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว คล้ายกับหมูไม่กลัวน้ำร้อนแบบนั้น เด็กสาวจึงได้ร้องบอกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย “ชั้นสองห้องซ้ายสุดโน่น” เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางสิ้นหวังหมดหนทางของสาวน้อยที่แสนเย็นชาคนนี้ ฉีเล่ยก็อดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ได้ จึงตอบกลับไปว่า “ขอบคุณครับ ดูท่าลูกตาของผมคงไม่โดนควักออกแล้วสินะ?” เด็กสาวจ้องมองฉีเล่ยที่เดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่วางตา จากนั้นจึงได้เดินกระแทกเท้าเสียงดังปึงปังออกไปข้างนอก ฉีเล่ยเหลียวหลังกลับมามองแผ่นหลังของเด็กสาวที่กำลังเดินออกไป สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที! เธอคนนี้…กำลังป่วย!

ตอนที่49 สาวสวยผู้แสนเย็นชา

หลังออกมาจากสนามบินฉีเหล่ยได้โทรหาหลี่ฮั่วเฉินทันที

แต่หลี่ฮั่วเฉินซึ่งอยู่ปลายสายกลับแจ้งว่า ตนมีธุระที่ต้องจัดการและไม่สามารถออกไปรับชายหนุ่มได้ แต่ก็บอกกับเขาว่าจะส่งคนไปรับแทน ทั้งยังสั่งฉีเล่ยว่า

“นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาปักกิ่งใช่ไหม? แล้วนี่เธอมีที่พักหรือยัง?”

หลังจากเห็นฉีเล่ยนิ่งเงียบไป ชายชราจึงได้พูดต่อทันที “คงจะยังไม่มีสินะ! อย่างไรก็ห้ามเธอไปพักโรงแรม เพราะคงจะไม่สะดวกในหลายๆเรื่อง เดี๋ยวฉันจะให้เสี่ยวหลินไปรับเธอมาที่บ้านของฉัน ที่นี่ค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร มีห้องหับให้พักได้สะดวก”

“อ่อ! แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะทำอะไรล่ะ ฮ่าๆๆ ไว้ใจฉันได้! ไม่ต้องเกรงใจ เพราะฉันเองก็มีเรื่องต้องคุยกับเธออีกมาก”

ความจริงฉีเล่ยไม่ได้ต้องการไปรบกวนหลี่ฮั่วเฉิน แต่ยังไม่ทันจะได้ปฏิเสธ ชายชราก็กดวางสายไปเสียก่อน

ในเมื่อไม่มีทางเลือก ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องตอบรับคำเชิญของอีกฝ่าย และได้แต่ยืนรอคนที่หลี่ฮั่วเฉินส่งมารับตนที่สนามบินแทน

ในเวลาไม่ถึงสิบนาที ชายหนุ่มหน้าตาสุดแสนธรรมดาคนหนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบิน พร้อมกับถือแผ่นป้ายที่มีชื่อ ‘ฉีเล่ย’ ไว้ในมือ ฉีเล่ยจึงรู้ได้ทันทีว่า ชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นเสี่ยวหลินที่หลี่ฮั่วเฉินพูดถึงไม่ผิดแน่ เขาจึงรีบเดินลากกระเป๋าเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นฉีเล่ยกำลังเดินตรงเข้ามาหา เขาก็รีบโค้งคำนับ ก่อนจะร้องทักทายด้วยสีหน้าท่าทางกระตือรือร้น

“คุณคือคุณฉีเล่ยใช่ไหมครับ?”

“ใช่ครับ ผมฉีเล่ย”

หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เสี่ยวหลินก็รีบเดินนำฉีเล่ยออกไปขึ้นรถตู้ พร้อมกับแนะนำตัวเอง

“ผมชื่อหลินอันนะครับ หรือคุณฉีจะเรียกผมว่าเสี่ยวหลินก็ได้ครับ”

หลังจากแนะนำตัวแล้ว หลินอันก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังประหม่าที่ได้พบกับฉีเล่ยอย่างมาก สังเกตได้จากใบหูที่แดงก่ำของเขา ซึ่งเกิดจากความตึงเครียด

หลินอันไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรอีกต่อไป เขาจัดการสตาร์ทรถ ขับขึ้นทางด่วนจากสนามบินมุ่งสู่ตัวเมืองทันที

ขับไปได้ราวหนึ่งชั่วโมงเศษ บริเวณโดยรอบจากย่านชุมชนคนสัญจรธรรมดาทั่วไป ก็กลับกลายมาเป็นหมู่บ้านหรูหราระดับไฮเอนด์ แต่หลินอันยังคงขับตรงต่อไปจนกระทั่งรถไปหยุดลงที่หน้าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง

หลังจากช่วยฉีเล่ยยกกระเป๋าเดินทางออกจากท้ายรถแล้ว หลินอันก็ได้ยกมือขึ้นชี้ไปที่บ้านงเดี่ยวหลังนั้นและบอกกับฉีเล่ยว่า

“ถึงบ้านของนายท่านหลี่แล้วครับ เชิญคุณฉีเข้าไปด้านในได้เลยครับ ผม…ผมมาส่งได้แค่นี้ครับ”

เมื่อได้ยินหลินอันพูดเช่นนี้ ฉีเล่ยถึงกับหันขวับไปมองหน้าอีกฝ่าย ซึ่งมีสีหน้าท่าทางอึดอัดราวกับมีบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้

ฉีเล่ยจับจ้องไปที่ใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะกำลังประหมา พร้อมกับถามยิ้มๆ

“ทำไมคุณถึงไปส่งผมด้านในไม่ได้ล่ะครับ?”

“เอ่อ…เอ่อ…ผม…”

“บ้านหลังนี้มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?”

“ผม…ผมไม่กล้าเข้าไปครับ”

“ทำไมถึงไม่กล้าเข้าไปล่ะ?”

“นายท่านหลี่.. นายท่านหลี่มีหลานสาวอยู่คนหนึ่งครับ แล้ววันนี้คุณหนูเธอน่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ในบ้าน…”

“หลานสาว?”

ฉีเล่ยยกนิ้วขึ้นถูกจมูกเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามต่อว่า

“เธออยู่ในบ้านแล้วยังไง? หรือเธอเป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง หรือว่าเป็นโรคอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอเสียโฉมจนไม่อยากพบเจอใคร?”

“ไม่…ไม่ใช่แบบนั้นครับ คุณหนูหลี่เธอสวยมาก เธอสวยมากจริงๆ เพียงแต่นิสัยของเธอ…เอ่อ…”

เมื่อเห็นหลินอันพูดติดอ่างไม่เป็นคำ ฉีเล่ยก็ยิ่งรู้สึกสงสัยจึงเอ่ยถามต่อว่า

“แล้วทำไมคุณถึงไม่กล้าเข้าไปล่ะ?”

ระหว่างที่ถูกหลินหนานซัก สีหน้าของหลินอันก็ดูแย่มาก คล้ายกับคนกำลังจะร้องไห้

“เธอ…เธอไม่ค่อยชอบหน้าผมเท่าไหร่ ผม…เลยไม่กล้าเข้าไปครับ”

เมื่อเห็นหลินอันที่ดูเหมือนกำลังจะร้องไห้แบบนั้นใจหนึ่งฉีเล่ยก็รู้สึกขบขันเล็กน้อย แต่อีกใจก็ไม่ต้องการที่จะไปคะยั้นคะยอคนรับใช้ผู้ซื่อตรงคนนี้อีก จึงได้แต่ยิ้มและพูดไปว่า

“เข้าใจแล้ว งั้นฉันเข้าไปเอง ขอบคุณมากที่มาส่ง”

เมื่อได้ยินคำตอบของฉีเล่ย หลินอันก็รีบตอบกลับทันที

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณ นี้เป็นกุญแจที่นายท่านหลี่ให้นำมาให้คุณ ขอให้โชคดีนะครับ”

หลินอันโค้งคำนับให้ฉีเล่ยหนึ่งที และหลังจากถอยหลังออกไปได้เพียงสองก้าว เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถตู้และรีบขับหนีออกไปทันที

ทำไมต้องกลัวขนาดนั้น?

‘หลานสาวของอาวุโสหลี่เป็นเสือหรือยังไง? ทำไมคนรับใช้หน้าซื่อแบบเสี่ยวหลิน ถึงได้ต้องหวาดกลัวอย่างกับเห็นผี?’

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเล่ยก็ได้กำกุญแจในมือแน่น พร้อมกับเดินตรงเข้าไปในบ้านสกุลหลี่ทันที

ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้าไป หรือจะให้บอกหลี่ฮั่วเฉินว่า เขาไม่อยากเข้าบ้านเพราะกลัวหลานสาวของเขาอย่างนั้นหรือ? ฟังดูไร้สาระจนเกินไป!

อย่างไรก็ตาม ฉีเล่ยไม่ได้เดินดุ่มๆไขประตูเข้าไปทันที แต่ได้พยายามสำรวจผ่านรั้วประตูเหล็กที่ปิดอยู่ สิ่งแรกที่เตะตาฉีเล่ยเลยก็คือ ทัศนียภาพสวยงามเตะตาภายในลานหน้าบ้าน

หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ สิ่งที่ทำให้ทัศนียภาพหน้าลานบ้านดูสวยงามมากขึ้น ดูเหมือนจะเป็นเพราะหญิงสาวผู้แสนงดงามที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างหากล่ะ!

สาวน้อยคนนี้อายุน่าจะราว27-28ปี รูปร่างสวยงามไร้ที่ติ ใบหน้าอิ่มเอิบ ส่วนสูงนับว่าเกินมาตรฐานผู้หญิงทั่วไปเล็กน้อย เวลานี้เธอกำลังรดน้ำในสวนดอกไม้หน้าลานบ้านอยู่ ฉีเล่ยกะดูด้วยสายตา และคาดว่าหญิงสาวน่าจะสูงประมาณ170 เซ็นติเมตร

เธอสวมชุดลำลองสีขาวโปร่งสบาย แต่นั่นก็ไม่อาจปกปิดหน้าอกอวบอิ่มทรงเสน่ห์นั้นไว้ได้ และเนินอกคู่นั้นยังเสริมให้หญิงสาวดูสวยยิ่งขึ้นไปอีก

ผมดำขลับของเธอยาวประบ่า เผยให้เห็นใบหน้าครึ่งที่ดูงดงามดั่งเจ้าหญิง ส่วนอีกครึ่งซีกถูกผมยาวนั้นปกคลุมไว้อยู่ แต่ใบหน้าเพียงครึ่งซีกก็เพียงพอที่จะสยบผู้ชายทุกคนให้ตกอยู่ในภวังค์ได้แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่หญิงสาวโน้มตัวก้มลง บั้นท้ายของเธอช่างดูอวบอิ่ม โค้งนูนเป็นทรงสวยงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หากจะให้เปรียบเทียบคงจะไม่ต่างจากลูกพีช

ฉีเล่ยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ระหว่างขึ้นเครื่องบินกระทั่งลงเครื่องมา เขาจะโชคดีได้พานพบกับสาวงามพร้อมกันถึงสองคน!

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในปักกิ่งจะเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยสาวงามจากทั่วทุกทิศ?

ฉีเล่ยรีบสะบัดหน้าไปมาอย่างรวดเร็ว เพื่อขับไล่ความคิดไร้สาระเหล่านั้นออกไปจากหัว จากนั้นจึงค่อยยกมือขึ้นเคาะประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านอย่างเบามือ

แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่ก็ทำให้หญิงสาวที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ ถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนที่เธอจะหันมามองฉีเล่ย

แต่ทว่า เพียงแค่สายตาที่ชำเลืองมาเท่านั้น กลับทำให้ฉีเล่ยรู้สึกเย็นวาบไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ และเย็นวาบไปทั่วทั้งแผ่นหลัง

‘เย็นชา!’

‘เย็นชามากเกินไป!’

ฉีเล่ยคาดไม่ถึงเลยว่า แววตาของสาวน้อยคนหนึ่งจะเย็นชาได้ถึงขนาดนี้ สายตาคู่นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ที่ถูกจ้องมองเสียวสันหลังวาบ แต่ยังทำให้ผู้ที่ถูกมองขนลุกขนชันไปทั่วทุกอณูในร่างกายอีกด้วย

เมื่อได้เห็นสายตาสุดแสนจะเย็นชาของสาวน้อยคนนี้ แม้แต่เขาเองก็อแทบยากจะวิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุดเช่นกัน

หญิงสาวเอ่ยถามเสียงห้วนด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก

“คุณเป็นใคร?”

หลังจากได้ยินคำถามจากเจ้าหญิงน้ำแข็งคนนี้ ฉีเล่ยได้แต่ฝืนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะตอบกลับไปว่า

“ผมชื่อฉีเล่ย”

“ฉีเล่ย.. ไม่รู้จัก!”

หญิงสาวหน้าตาเย็นชาทวนชื่อฉีเล่ยหนึ่งครั้ง ก่อนจะตอบชายหนุ่มกลับไป

ฉีเล่ยคิดว่า หลี่ฮั่วเฉินน่าจะเกริ่นเรื่องของเขาให้หลานสาวฟังมาก่อนบ้าง แต่ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากอธิบายให้ฟัง จู่ๆเด็กสาวก็รีบวิ่งมาดึงประตูรั้วเหล็กปิดใส่หน้าดังปัง และรีบล็อกกุญแจทันที!

‘อะไรจะขนาดนั้น? ดูท่าเธอจะ…’

เสียงดังปังที่เกิดจากการกระแทกประตูเหล็กปิดอย่างแรงนั้น ปลุกฉีเล่ยให้สะดุ้งตื่นกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

‘ต่อให้สวยแค่ไหนก็ควรมีมนุษย์สัมพันธ์บ้างไม่ใช่รึไง? หรือหน้าฉันมันดูเหมือนพวกวิกลจริตนักเหรอ?’

‘ถึงขั้นปิดประตูใส่หน้ากันแบบนี้ มันเกินไปแล้ว!’

หรือนี่อาจจะเป็นหนึ่งในจุดด้อยของผู้ชาย ฉีเล่ยในเวลานี้รู้สึกราวกับถูกหยามน้ำหน้าอย่างแรง ทำให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะอย่างไร วันนี้เขาก็จะต้องผ่านประตูบานนี้เข้าไปให้ได้!

หลังจากคิดได้เช่นนั้น ฉีเล่ยจึงหยิบกุญแจออกมาและจัดการเปิดประตูรั้วเหล็กด้วยตัวเองทันที

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยกำลังเปิดประตูรั้วเหล็กเข้ามาเอง สีหน้าของสาวน้อยผู้แสนเย็นชาคนนี้ก็ดูแปลกมาก เธอรีบร้องถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ทำไมคุณถึงมีกุญแจบ้านฉันล่ะ?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปยิ้ม

“ก็คุณปู่เธอให้ฉันมายังไงล่ะ”

ใบหน้าของสาวสวยยังคงนิ่งเฉยปราศจากอารมณ์ใด พร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม

“แล้วทำไมปู่ถึงต้องให้กุญแจคุณด้วย? คุณเป็นใครกันแน่?”

ขณะที่เก็บกุญแจ ฉีเล่ยก็ค่อยๆเดินตรงเข้าไปในสวนหน้าบ้านอย่างช้าๆ

“ผมชื่อฉีเล่ย เป็นแพทย์ที่บังเอิญพบกับปู่ของคุณที่หนานหยาง เขาก็เลยชวนผมให้มาทำงานที่ปักกิ่ง ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงมีกุญแจบ้านนั้น ก็เพราะว่าคุณปู่ของคุณไว้ใจผมมากยังไงล่ะ”

“เพราะฉะนั้น คุณสบายใจได้ว่า ผมไม่ได้มาขโมยของในบ้านหลังนี้แน่ หรือถ้าคุณมองผมเป็นพวกวิกลจริตล่ะก็ คุณไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะผมไม่คิดที่จะทำมิดีมิร้ายกับหลานสาวของอาวุโสหลี่อยู่แล้ว เท่านี้พอใจรึยัง?”

เมื่อเห็นฉีเล่ยพูดราวกับไม่มีอะไรแบบนี้ สาวสวยผู้แสนเย็นชาจึงได้ร้องตะโกนข่มขู่ฉีเล่ยกลับไปทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ขืนยังกล้าเดินเข้ามาอีกก้าว ฉันจะโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

ฉีเล่ยกลับไม่แยแส และเพียงแค่ยักไหล่ พร้อมกับตอบโต้กลับไปทันที

“ก็แล้วแต่คุณ แต่ก่อนจะโทรแจ้งตำรวจ ผมว่าคุณโทรหาปู่ของคุณก่อนดีกว่าไหม?”

ท่าทางการแสดงออกของสาวสวยผู้แสนเย็นชาคนนี้ ดูเหมือนจะไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป เธอจ้องฉีเล่ยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะร้องตะโกนใส่หน้าเขาอีกครั้ง

“คุณ…หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้นล่ะ! อย่าเพิ่งเข้ามานะ!”

ทันทีที่พูดจบ สาวคนนั้นก็โยนบัวรดน้ำในมือทิ้งไป แล้วรีบวิ่งไปที่ห้องนั่งเล่นบ้าน เพื่อโทรเช็คความจริงกับปู่ของเธอ

เมื่อได้เห็นบั้นท้ายกลมกลึงราวกับลูกพืชสองลูกเด้งไปมาตามแรงสั่นสะเทือนขณะวิ่งไปยังห้องนั่งเล่น และยังหน้าอกอวบอิ่มนั่นอีก ฉีเล่ยถึงกับอดที่จะจินตนาการไม่ได้ว่า ใครกันจะเป็นชายหนุ่มผู้โชคดีได้แต่งงานกับเธอ?

หลังจากเดินวนไปเวียนมาอยู่ตรงลานหน้าบ้านครู่หนึ่ง ฉีเฉ่ยก็เดินตามเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น และพบว่าสาวสวยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับหลี่ฮั่วเฉินอยู่

แต่ดูเหมือนว่า คำตอบของหลี่ฮั่วเฉินจะสร้างไม่พอใจให้กับสาวสวยคนนี้มาก สีหน้าของเธอกลับดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับหันมาจ้องมองฉีเล่ยตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันก็ไม่ปาน

แต่เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของสาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ฉีเล่ยกลับยิ่งมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เขายิ้มออกมาพร้อมกับแกล้งพูดเยาะเย้ย

“ว่ายังไงล่ะ? บอกแล้วว่าผมไม่ได้พูดโกหก เอาล่ะ แล้วนี่จะให้ผมพักห้องไหน?”

สาวน้อยผู้แสนเย็นชาตอบกลับด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ก็หาเองสิ”

ฉีเล่ยแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมตอบกลับไปว่า

“ก็ได้! แต่ถ้าบังเอิญผมเข้าผิดห้อง แล้วไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น…ผมจะทำยังไงดีนะ?”

เด็กสาวตวาดใส่หน้าฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่ดุดันยิ่งกว่าเดิม

“ถ้าคุณทำแบบนั้น ฉันก็จะควักลูกตาของคุณออกมาน่ะสิ!”

แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว คล้ายกับหมูไม่กลัวน้ำร้อนแบบนั้น เด็กสาวจึงได้ร้องบอกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย

“ชั้นสองห้องซ้ายสุดโน่น”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางสิ้นหวังหมดหนทางของสาวน้อยที่แสนเย็นชาคนนี้ ฉีเล่ยก็อดที่จะกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ได้ จึงตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณครับ ดูท่าลูกตาของผมคงไม่โดนควักออกแล้วสินะ?”

เด็กสาวจ้องมองฉีเล่ยที่เดินเข้าไปในบ้านอย่างไม่วางตา จากนั้นจึงได้เดินกระแทกเท้าเสียงดังปึงปังออกไปข้างนอก

ฉีเล่ยเหลียวหลังกลับมามองแผ่นหลังของเด็กสาวที่กำลังเดินออกไป สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที!

เธอคนนี้…กำลังป่วย!

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset