ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 53 เริ่มได้หรือยัง?

ตอนที่53 เริ่มได้หรือยัง?

“เขามักจะทำตัวสุภาพกับคนอื่น ไม่แม้แต่ล่วงเกินเรื่องส่วนตัว ต่อให้พูดคุยสนิทสนมกันมากแค่ไหนก็ไม่เคยล้ำเส้นเลยสักครั้ง”

“หลังจากที่เราสองคนเริ่มคบหากันมานานกว่าครึ่งปี นั่นก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้จับมือกัน… และเป็นเพราะเขาให้เกียรติฉันมาตลอด ก็เลยทำให้ฉันคิดว่าเขานี่แหละคือผู้ชายที่ฉันรัก และแต่งงานอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า”

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นเหรอครับ?” ฉีเล่ยยังคงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ฉัน…ฉันคงจะโลกสวยเกินไป”

หลี่ถงซียกมือทั้งสองกุมหัว พร้อมกับส่ายหน้าไปมา ใบหน้าเต็มด้วยน้ำตาพร่างพรู

“ฉันบังเอิญไปเห็นเขาขับรถพาสาวสวยคนหนึ่งออกไปจากมหาวิทยาลัยด้วยกัน ผู้หญิงคนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในมหาวิทยาลัย แล้วก็ในสังคม หลังจากที่เห็นแบบนั้น ฉันก็รีบขับรถตามพวกเขาไปทันที จน…จนกระทั่ง…ได้เห็นพวกเขาสองคนกำลังร่วมรักกันอยู่ในรถ…”

เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ ฉีเล่ยก็เข้าใจได้ในทันที

“ตั้งแต่นั้นมาคุณก็เริ่มเกลียดผู้ชายสินะ?”

“ใช่ ฉัน…ฉันคิดว่าผู้ชายทุกคนล้วนแล้วแต่จิตใจสกปรก แล้วก็ชั่วช้าแบบนี้เหมือนกันหมด! ภายนอกก็แค่เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี แกล้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ แต่…แต่ความจริงแล้ว ผู้ชายต่างก็ชั่วช้าฝังลึกลงไปในกมลสันดานทุกคน..

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยบอกผมทีว่า ตอนนี้คุณคิดยังไงกับผมบ้าง?”

ฉีเล่ยยังคงรักษาระยะห่างกับอีกฝ่าย เพื่อไม่ให้หลี่ถงซีต้องตื่นตระหนกตกใจ ก่อนจะค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้เธอมองเห็นได้ชัดขึ้น

“ฉัน…ก็…ก็…พอรับได้ ไม่…ฉันเกลียด… แต่ก็แค่…ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากขนาดนั้น…”

เมื่อครั้งที่พบกับฉีเล่ยตอนแรก หลี่ถงซีรู้สึกว่าชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวชุ่มไปด้วยเหงื่อคนนี้ทำตัวน่ารำคาญอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่ทำหน้าเยาะเย้ยเธอ หรือพูดจาเล่นแง่ใส่เธอ มันยิ่งทำให้เขาดูแย่ลงไปในสายตาของเธอ มิหนำซ้ำยังบุกเข้ามาในบ้านของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย จากที่รังเกียจผู้ชายเป็นทุนเดิม ทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกเกลียดเขามากยิ่งขึ้น

แต่เมื่อหญิงสาวได้ฟังปู่ของเธอเล่าว่า ฉีเล่ยสามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ย่ำแย่ที่ปู่ของเธอกำลังประสบอยู่ ให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นได้ เพราะผู้ป่วยปฏิเสธที่จะไม่รับวิธีการรักษาของเขา และหากไม่ได้ฉีเล่ยช่วยไว้ ป่านนี้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งชีวิตของปู่เธอ อาจต้องพังทลายลงมาในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชายคนนี้ยังยื่นทิชชูบนโต๊ะเครื่องแป้งให้เธอได้ใช้เช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ

‘แล้วก็…แล้วก็…ตอนที่ฉันหนาวเขายังถอดเสื้อคลุมของเขามาห่มให้ฉันด้วย…’

‘อันที่จริง…เขาก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก’

“อืมม…อาการของคุณค่อนข้างน่าเป็นห่วง”

ฉีเล่ยอธิบายให้หญิงสาวฟังต่อว่า

“ตอนนี้คุณยังอายุไม่มาก ยังสามารถแต่งงานมีลูก และสร้างครอบครัวที่อบอุ่นแบบคนปกติได้นะ แต่ถ้ายังขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป โรคของคุณก็จะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณเองก็ปลีกตัวออกจากสังคม และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวตามลำพังมาโดยตลอด จากที่เคยรู้สึกรังเกียจไม่มากนัก ตอนนี้คงจะพัฒนาไปถึงขั้นขยะแขยงแล้วใช่ไหม?”

“ใช่”

หลี่ถงซีตอบเสียงเบา พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย

“ขอบอกตามตรงเลยนะครับ อาการทางจิตที่คุณกำลังเผชิญอยู่นี้ มันซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก ไม่ใช่แค่จิตใต้สำนึกจะปฏิเสธผู้ชาย แต่ยังปฏิเสธความรู้สึกโดยธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย ถ้าปล่อยให้หลุดไปถึงขั้นต่อไป อาจเกิดสภาวะจิตหลอนได้ เมื่อถึงเวลานั้น จิตใต้สำนึกของคุณจะสั่งคุณว่า ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาใกล้ล้วนมีเจตนาไม่ดี และคิดร้ายกับคุณ จึงมีโอกาสสูงมากครับที่คุณจะถึงขั้นทำร้ายร่างกายผู้อื่น”

ฉีเล่ยเอ่ยปากอธิบายให้หญิงสาวฟังอย่างใจเย็น

“แล้วฉันควรทำยังไงดี…”

“ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวผม ผมก็จะสามารถรักษาคุณให้หายได้ คุณเองก็เคยเป็นนักศึกษาแพทย์มาก่อน น่าจะเคยได้ยินเรื่องผลของยาจิตเวชมาบ้าง ผมจะเขียนใบสั่งยาให้คุณกินประคองอาการไปก่อน แต่ถึงยังไง กุญแจสำคัญในการรักษาครั้งนี้ก็คือความเชื่อใจ! ถ้าคุณไม่เชื่อมั่นในตัวผม ต่อให้เอายาที่ดีที่สุดมาให้ มันก็คงจะเปล่าประโยชน์”

คำพูดแต่ละคำที่ฉีเล่ยพูดออกมานั้น บ่งบอกถึงความมั่นอกมั่นใจอย่างมาก จำเป็นต้องใช้วิธีการเหล่านี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถรักษาอาการป่วยทางจิตของหญิงสาวให้หายได้

ฉีเล่ยสัมผัสได้ว่าเวลานี้ หลี่ถงซีได้ดำดิ่งลงไปในบ่อโคลนกว่าครึ่งตัวแล้ว ในฐานะผู้สืบทอดทักษะทางการแพทย์จากบรรพชนสกุลเฉิน เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยหญิงสาวให้พ้นจากสภาพทุกข์ใจนี้

ตราบเท่าที่ผู้ป่วยเต็มใจ และยินดีให้ความร่วมมือ ฉีเล่ยย่อมสามารถรักษาให้หายได้แน่นอน!

“ขอบคุณ” หลี่ถงซีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียงแผ่ว

“อืม นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ฉีเล่ยจึงไม่สามารถเกลียดผู้หญิงคนนี้ลงได้อีก อีกทั้งการที่หญิงสาวยอมปริปากบอกเล่าเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวดให้เขาฟัง และยังเอ่ยปากขอบคุณเขาซึ่งเป็นผู้ชาย เพศที่เธอรังเกียจและขยะแขยงมาโดยตลอด นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า หญิงสาวกำลังให้ความร่วมมือในการรักษากับเขา!

“แล้ว…ฉันจะให้ความร่วมมือกับคุณได้ยังไงบ้าง?” หลี่ถงซีถามขึ้นด้วยความสงสัย

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบหญิงสาวกลับไปว่า

“เนื่องจากอาการของคุณเกิดขึ้นมาค่อนข้างนานมากแล้ว อีกทั้งคุณเองก็มีนิสัยที่ขี้โมโหชอบใช้อารมณ์อยู่เป็นประจำ ส่งผลให้ตับอ่อนล้า ก่อนอื่นผมจะต้องช่วยคลายเส้นลมปราณที่เชื่อมต่อไปยังตับของคุณก่อน”

“หลังจากที่ตับของคุณกลับมาเป็นปกติได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างก็จะค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นตามธรรมชาติ เสมือนระลอกคลื่นที่ซัดต่อเนื่องยังไงล่ะ อาการทางจิตของคุณก็จะค่อยๆบรรเทาลงอย่างช้าๆ”

“แล้วจะคลายเส้นลมปราณที่ว่านั่นได้ยังไง?” หลี่ถงซีถามขึ้นอีกครั้ง

“ด้วยการฝังเข็มครับ”

ขณะที่เอ่ยตอบหญิงสาว ฉีเล่นก็หยิบเอากล่องเข็มทองหางหงส์ออกมา

“ฝังเข็มงั้นเหรอ?”

ดวงตาคู่สวยของหลี่ถงซีพลันเบิกกว้างอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับร้องอุทานออกมา

“ใช่แล้วครับ ฝังเข็มแล้วก็รมยาสมุนไพร ส่วนจุดที่จะฝังก็คือ จุดต้าหยุน เซี่ยงจ้านและซูอวี๋ รวมทั้งหมดสามแห่ง”

“ตอนนี้เลยเหรอ?”

“ถ้าคุณพร้อมแล้วก็เต็มใจ” ฉีเล่ยตอบหญิงสาวพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย

“เอ่อ…งั้น…งั้นคงต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ” หลี่ถงซีตอบเสียงเบา

เมื่อมีใครสักคนบอกกับเธอว่า อาการป่วยของตัวเธอนั้นมีหนทางรักษา หลี่ถงซีเองก็ต้องการที่จะหายจากโรคบ้าๆนี่ให้เร็วที่สุดเช่นกัน

เธอเองก็โดนพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยคอยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่เสมอ และมักเรียกเธอว่า ‘อาจารย์บึ้ง’ ซึ่งมาจากสีหน้าท่าทางอันแสนเย็นชาของเธอนั่นเอง

แววตาของหลี่ถงซีที่จ้องมองฉีเล่ยในเวลานี้ เผยให้เห็นถึงความหวังที่ปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่ง

ฉีเล่ยกวาดสายตามองสำรวจไปรอบห้อง แล้วจึงหันไปบอกกับหญิงสาวว่า

“การฝังเข็มในสถานที่เงียบสงบอย่างในบ้าน เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่มีเสียงดังรบกวน คุณเองก็จะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากที่ผมได้ทำการสกัดจุดคลายความอ่อนล้าให้”

“อืม” หลี่ถงซีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“นั่งลงบนเตียงก่อน” ฉีเล่ยร้องบอกหญิงสาว

หลี่ถงซีเหลือบมองฉีเล่ยอย่างระมัดระวังตัว แต่แล้วก็ยอมลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง ก่อนจะรีบคว้าผ้าห่มขึ้นมาปิดขาอ่อนของตนเองไว้ทันที

“ในห้องมีแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อบ้างไหมครับ?” ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้น

“ชุดปฐมพยาบาลอยู่ในตู้ตรงมุมนั้น”

หลี่ถงซีร้องบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำ เพราะเธอบังเอิญแอบไปเห็นว่า สายตาของชายหนุ่มได้เหลือบมองหน้าตักของเธอเล็กน้อย

ฉีเล่ยรีบเดินไปเปิดตู้ที่อยู่มุมห้อง แล้วหยิบเอาชุดปฐมพยาบาลออกมา เขาทำการฆ่าเชื้อเข็มทองหางหงส์ด้วยแอลกอฮอล์ ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสเรือนเท้าสวยประดุจหยกขาวของเธอ

“หยุดนะ! นี่คุณกำลังทำบ้าอะไร? เอามือสกปรกนั่นออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”

อาการของหลี่ถงซีกำเริบขึ้นอีกครั้งทันที ก่อนจะรีบชักเท้าออก พร้อมกับขยับร่างหนี และมือทั้งสองข้างก็ผลักฉีเล่ยให้ออกไป เธอทำราวกับว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับฆาตกร

หญิงสาวสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง เวลานี้เธอทั้งโกรธแล้วก็หวาดกลัวในคราวเดียว หญิงสาวไม่คิดเลยว่า ชายหนุ่มตรงหน้าที่พูดจาไพเราะสุภาพตรงหน้า จะคิดฉวยโอกาสลวนลามเธอเช่นนี้

ฉีเล่ยยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะตอบหญิงสาวกลับไปว่า

“นี่คุณครับ คุณเองก็เป็นถึงอาจารย์ในมหาลัยแพทย์ ไม่รู้หรือยังไงครับว่าตาตุ่มมันอยู่ที่เท้า? ไม่ให้ผมจับเท้าคุณ ผมจะฝังเข็มยังไงล่ะครับ”

หลี่ถงซีย่อมรู้ดีว่า จุดต้าหยุนที่ฉีเล่ยพูดถึงไปก่อนหน้านั้นอยู่ตรงตาตุ่มที่เท้า ห่างไปทางซ้ายประมาณ0.1มิลลิเมตร ตรงจุดนี้จะเชื่อมต่อโดยตรงกันกล้ามเนื้อมัดนอก

ถึงเธอจะรู้เรื่องนี้ดี แต่เธอก็ไม่กล้าปล่อยให้ผู้ชายตรงหน้าสัมผัสข้อเท้าของตนเอง!

ฉีเล่ยได้แต่ถอนหายใจออกมา เขาจ้องมองหญิงสาวแน่นิ่งครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดออไปว่า

“ได้โปรดไว้ใจและเชื่อใจผมนะครับ! ถ้าคุณยังขัดขืนอยู่แบบนี้จะรักษาได้ยังไง? ผมเป็นผู้ชายที่แต่งงานมีภรรยาแล้ว คุณคงไม่คิดว่าผมจะชั่วช้าจนสามารถนอกใจภรรยาที่ผมรักได้หรอกนะครับ?”

หลี่ถงซีจ้องตาฉีเล่ยเขม็งอยู่ครู่ใหญ่ แววตาของชายคนนี้ดูจริงจัง และมุ่งมั่นอย่างมาก ปราศจากร่องรอยของแรงปรารถนาอื่นเจือปน หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงค่อยๆกระเถิบเข้าไปใกล้ฉีเล่ย และไม่ดื้อรั้นกับเขาอีกเลย

แค่เท้าของหลี่ถงซีก็งดงามเกินบรรยายแล้ว ทั้งยังผิวที่เนียนนุ่มนั่นอีก อย่างที่คนโบราณพูดไว้ไม่มีผิด ผู้หญิงสวยจริงจะต้องงดงามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ซึ่งก็เป็นอย่างคำโบราณว่าไว้จริงๆ เพียงแค่เท้าของหญิงสาวก็งดงามมากแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่ใครสักคนจะเกิดมาสมบูรณ์แบบ และเพียบพร้อมได้ขนาดนี้ ?

“จะเริ่มลงมือได้รึยัง?”

คิ้วคู่สวยขอหลี่ถลงซีขมวดเข้าหากัน หลังจากที่เห็นฉีเล่ยจับเท้าของเธออยู่นาน

นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริงๆ ที่เวลานี้เธอกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว หรือหงุดหงิดกับท่าทางของฉีเล่ยเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ในจิตใจเบื้องลึกกลับรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ที่เพียงแค่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเธอ สามารถทำให้ชายหนุ่มตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้

แต่ถึงอย่างไร การรักนวลสงวนตัวยังควรเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องรักษาไว้ หญิงสาวจึงได้แต่ร้องถามฉีเล่ยพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เอ่อ…” ฉีเล่ยอ้าปากค้างพร้อมกับทำสีหน้าเคอะเขิน

“ผมกำลังหาจุดฝังเข็มอยู่น่ะ”

หลี่ถงซีนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป เธอรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวของชายหนุ่มเท่านั้นเอง แต่หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะพูดออกมาให้เขาเสียหน้า

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset