ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 55 ตาลุงพล่ามไปเรื่อย

 ตอนที่55 ตาลุงพล่ามไปเรื่อย

หลังจากเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี หลี่ถงซีค่อยๆ คลี่ขากางเกงนอนลง เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมใบหน้าแดงก่ำกล่าวว่า

“ขอบคุณ”

แม้ว่านี่จะเป็นกลวิธีรักษาอาการป่วย แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกลำบากใจแปรปรวนขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ถึงปีนี้เธอจะอายุ27แล้วก็ตาม กระนั้นก็ยังไม่เคยปล่อยให้ชายใดเข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับเธอถึงขนาดนี้

พอปลายนิ้วอันอ่อนนุ่มของฉีเล่ยแตะเข้าสัมผัสกับผิวหนังของเธอ ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านราวกับไฟช็อต กระตุกวูบไปหลายทีโดยไม่ได้ตั้งใจ

หลังจากการฝังเข็มครั้งนี้เสร็จสิ้นลง ฉีเล่ยถึงขั้นคิดกับตัวเองทันทีว่า เฉินอวี้หลัวจะต้องรีบเดินทางมาปักกิ่งโดยเร็วแล้ว ตัวเขาในตอนนี้จำเป็นต้องมีภรรยาคอยกำกับดูแลอยู่เคียงข้าง มิฉะนั้นหากปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ เขาอาจจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และทำเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นตลอดทุกเมื่อ

“ด้วยความยินดีครับ”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอ่อนและกล่าวต่อว่า

“จากนี้ไป ผมจะเข้ามาฝังเข็มและรมยาสมุนไพรให้ก่อนหน้าทุกคืน ทำแบบนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์”

สีหน้าของหลี่ถงซีเพิ่งกลับมาเป็นปกติไม่ทันไร ยามนี้ถึงกับหน้าแดงแจ๋ขึ้นอีกครั้ง

“ฝังเข็มกับรมยาสมุนไพรแบบนี้ต่อเนื่องกันหนึ่งอาทิตย์งั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ ถ้าเส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับตับยังถูกปิดกั้นอยู่แบบนี้ จะไม่สามารถขจัดพิษร้ายที่เกิดจากความเครียดสะสมของคุณออกไปได้เต็มประสิทธิภาพ นี่จะยิ่งทำให้อาการป่วยของคุณรักษายากขึ้นไปใหญ่”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“เพราะความโกรธเกลียดรวมไปถึงอารมณ์ด้านลบทั้งหมดในตลอดหลายปีที่สั่งสมมา มันทำให้ตับของคุณทำงานได้แย่มาก ถ้ายังต้องการกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติสุขอยู่ อย่างน้อยก็ควรรักษาจนกว่าจะผ่านขั้นตอนนี้ไปก่อน”

ใบหน้าของหลี่ถงซีกลายเป็นสีแดงก่ำ เธอขบริมฝีปากเบาๆ พยักหน้าหลบสายตาด้วยความเขินอาย

นางฟ้า!

นี่มันนางฟ้าชัดๆ!

แม้จะไม่ค่อยเต็มใจที่จะเข้ารับการรักษา แต่ยังสามารถปลุกเร้าอารมณ์ได้ขนาดนี้ ยังเป็นอะไรได้อีกหากไม่ใช่นางฟ้า?

ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างลับๆ ดูท่าขั้นขั้นตอนการรักษาต่อจากนี้ในอนาคตจะกลายเป็นเรื่องท้าทายสำหรับตัวเขาไปซะแล้ว

……

ฉีเล่ยมีนิสัยที่มักจะชอบออกกำลังกายทุกเช้าตรู่ เช้าวันนี้เองก็เช่นกัน เขาล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเป็นชุดกีฬาและวิ่งลงมาออกไปยังลานหน้าบ้านเพื่อออกกำลังกาย แต่พอมาถึงเขาก็พบหลี่ฮั่วเฉินที่กพลังรำไทเก็กอยู่

“ฉีเล่ย ทำไมเธอถึงตื่นเข้าจัง?”

เมื่อเห็นฉีเล่ยออกมาสูดอากาศแต่เช้าตรู่ หลี่ฮั่วเฉินก็ปั้นหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ในปัจจุบันยังมีหนุ่มสาวสักกี่คนที่ยังตื่นเช้าตรู่หกเจ็ดโมงเช้าแบบนี้?

“มาออกกำลังกายด้วยกันเถอะครับ”

ฉีเล่ยกล่าวชวนพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็เริ่มตั้งท่าจัดกระบวนร่าย ‘สิบสองวิถีแห่งเต๋า’ ข้างๆ หลี่ฮั่วเฉินที่รำไทเก๊กอยู่ รัศมีกลิ่นอายความสงบนิ่งแผ่ซ่านออกมาเป็นธารอ่อนรอบตัวในทันที

‘สิบสองวิถีแห่งเต๋า’ เป็นเคล็ดวิชาซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเฉิน ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากหลังจากฝึกปรือเคล็ดวิชานี้ เสริมสร้างพละกำลังยกระดับให้ถึงขีดจำกัด และต้องอาศัยความสม่ำเสมอเพื่อรักษาสมดุลความแข็งแกร่งแบบนี้เอาไว้

ฉีเล่ยตระหนักดีว่า ถ้าเขาไม่ยอมฝึก ‘สิบสองวิถีแห่งเต๋า’ เพื่อเสริมสร้างรากฐานความแข็งแกร่ง ทั้งฝึกฝนกล้ามเนื้อและกระดูกให้ทนทานยิ่งขึ้น รวมไปถึงพลังฉีจากภายใน ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นลูกเขยสกุลเฉินผู้ไร้น้ำยา และตอนที่หลิวไท่หยางลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไป พวกเขาสองสามีภรรยาคงตายอยู่บนเรือลำนั้นแล้ว

จึงกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า บรรพบุรุษสกุลเฉินถือได้ว่าเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตของพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ แต่น่าเสียงดายเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะต้องการไปไหว้หรือเคารพหลุมศพเพื่อแทนคำขอบคุณแค่ไหน ทว่ากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ป้ายหลุมศพของบรรพบุรุษสกุลเฉินอยู่ที่ไหน

“โอ้? ยากนะที่จะได้เห็นหนุ่มสาวสมัยนี้เป็นแบบเธอ ทั้งๆ ที่มีสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดต่อจากบรรพบุรุษแท้ๆ แต่ดันทิ้งขว้างไม่เห็นค่าเลย”

หลี่ฮั่วเฉินยังคงกวาดมือออกไปเป็นวงกลม ร่ายกระบวนไทเก๊กอย่างใจเย็น และเอ่ยขึ้นต่อว่า

“นอนเร็วตื่นเช้า รำไทเก๊กสักท่า ทำแบบนี้ทุกวันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าไปฟิตเนสหรอกนะ”

ฉีเล่ยที่ฟังอยู่ก็ยิ้มกล่าวขึ้นว่า

“บางทีพวกเขาคงไม่ชอบอะไรที่มันเรียบง่ายแบบนี้”

ฉีเล่ยไม่อยากจะกล่าวหาว่าวิถีชีวิตของคนอื่นว่าไม่ดี ทุกคนย่อมมีวิถีชีวิตของตัวเอง ไม่มีถูกหรือผิด ถ้าสิ่งที่ทำลงไปทำให้คุณรู้สึกดีและไม่เบียดเบียนผู้อื่นก็ทำต่อไปเถอะ

“หื้ม? ฉีเล่ย เธอร่ายกระบวนท่าอะไรอยู่งั้นเหรอ?”

หลี่ฮั่วเฉินที่เห็นฝ่ามือของฉีเล่ยชักขึ้นมาหลบตรงหว่างหู นิ้วชี้ทับซ้อนลงบนนิ้วกลางเป็นท่าไขว้ ร่ายเท้ากวาดลานยืดออก ค่อยๆ ย่อตัวลงราวกับกำลังถ่ายแรงลงไปยังพื้น พอเห็นแบบนั้นเขาก็สงสัยเอ่ยถามขึ้นไม่ได้

“อาวุโสหลี่ นี่เป็นกระบวนท่าของตระกูลผมเอง”

ฉีเล่ยยิ้มตอบ

“มีชื่อไหม? ฝึกง่ายหรือเปล่า?”

หลี่ฮั่วเฉินเอ่ยถามอีกครั้ง

“ชุดกระบวนเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า สิบสองวิถีแห่งเต๋า ผมคิดว่าไม่น่าฝึกกันยากนะครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ‘สิบสองวิถีแห่งเต๋า’ มีข้อดีสารพัด ทั้งช่วยให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืน ต้านรอยเหี่ยวก่อนวัยอันควร

“เทียบเท่าไทเก๊กเลยงั้นเหรอ?”

“แต่ละแขนงล้วนมีข้อดีของตัวมันเองครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

“ทั้งสองกระบวนมีต้นกำเนิดมาจากลัทธิเต๋าเหมือนกัน ดังนั้นจึงมีความคล้ายคลึงอย่างมากในบางท่า”

“โอ้? งั้นใช้ต่อสู้กันอะไรแบบนั้นได้รึเปล่า?”

แววตาของหลี่ฮั่วเฉินเปล่งประกายขึ้นทันทีด้วยความตื่นเต้น

ฉีเล่ยรีบส่ายหัว

“ต้องไม่ได้อยู่แล้วครับ นี่เป็นท่าร่างกระบวนที่ใช้สำหรับการบริหารกล้ามเนื้อ เน้นใช้รักษาสุภาพมากกว่าต่อสู้ อาวุโสหลี่ไม่ควรฝึกอะไรแบบนี้เพื่อใช้ต่อสู้นะครับ สมัยนี้แล้วมัวแต่ร่ายกระบวนท่ามีหวังโดนเก้า มม.ไปกินก่อน”

ได้ยินหลี่ฮั่วเฉินพูดออกไปแบบนั้น ทำให้ฉีเล่ยอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า นี่เขาอยากลองต่อสู้จริงอยู่รึไง? ไอ้ได้มันก็ได้อยู่หรอกนะ…แต่ก็กลัวว่า ถ้าฉันจะยั้งมือไม่ทัน ต่อสู้คุณตายขึ้นมาจะทำยังไง? ต่อให้สุภาพแข็งแรงแค่ไหน แต่นี่กำลังต่อสู้กับผู้ใช้พลังฉีได้นะ นี่ฉันก็เพิ่งมาปักกิ่งครั้งแรก ยังไม่อยากมีข่าวว่า ฆ่าคุณตายคาบ้านพักแบบนี้

“ฮ่าฮ่า…ฉันล้อเล่นน่า ล้อเล่น เอาล่ะ ฉันรำไทเก๊กเสร็จพอดี”

หลี่ฮั่วเฉินคลี่ยิ้มกว้างเจือท่าทีเก้อเขินอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถอยออกมาเปิดที่ที่ว่างโล่งให้ฉีเล่ยออกกำลังกายต่อได้สะดวก จากนั้นก็กล่าวขึ้นต่อว่า

“วันนี้ฉันพักผ่อนอยู่บ้านนี่แหละ พวกเธอสองคนออกไปซื้อเสื้อผ้ากันเองเลย ไม่ต้องห่วงฉัน”

“ไม่ได้นะคุณปู่! จะปล่อยให้หนูอยู่กับผู้ชายสองต่อสองได้ยังไง?”

หลี่ถงซีตะโกนลงมาจากระเบียงชั้นสอง อันที่จริงเธอยืนอยู่บนระเบียงสักพักใหญ่แล้ว และเฝ้ามองทั้งสองร่ายรำอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด

หลี่ฮั่วเฉินได้ยินแบบนั้น เขาก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางคิดในใจกับตัวเองว่า ‘สงสัยหลานคนนี้คงไม่ยอมเลยจริงๆ’

“ก็ได้ ก็ได้ ปู่ออกไปกับฉีเล่ยก็ได้ แต่คนแก่อย่างปู่จะไปเลือกชุดได้ดีเท่าหนุ่มๆ สาวๆ ได้ยังไงกัน…”

“เหอะ งั้นหนูไปกับเขาเองก็ได้! เห็นแก่หน้าปู่หรอกนะ!”

ได้ยินคำตอบนี้หลุดออกจากปากหลานสาวตัวเองเข้า หลี่ฮั่วเฉินถึงกับสะดุ้งโหย่ง เงยหน้ามองหลี่ถงซีด้วยความตะลึงราวกับเห็นผี

“หลานพูดจริงใช่ไหม?!”

หลี่ฮั่วเฉินละคายใจอย่างมากว่า ตัวเองได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า? ทันใดนั้นพลันหันควับเหลือบไปมองฉีเล่ยอยู่แวบหนึ่ง หลานสาวคนนี้เต็มใจออกไปเดินซื้อของกับผู้ชายจริงๆ?

……..

ระหว่างรับประทานอาหารเช้า หลี่ฮั่วเฉินก็หันไปมองฉีเล่ยสลับกับหลี่ถงซีไปมาดูมีความสุขเกินบรรยาย

ตัวเขาในตอนนี้มีความสุขอย่างมากชนิดที่ว่า ต้องฮัมเพลงออกมาดูอารมณ์ดียิ่งกว่าอะไร ยกนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ยิ้มกว้างไม่หุบเลย

“เพียง~กระซิบบอก~ บอกฉันสักคำ~ เธอไม่รัก ไม่อยากจดจำ จำจดความสัมพันธ์~…”

ฉีเล่ยรู้ดีว่าตาลุงคนนี้กำลังคิดแผนอะไรอยู่ในหัวตั้งแต่เข้าตรู่ จึงค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า

“อาวุโสหลี่ ผมขอเตือนคุณอีกครั้งนะครับว่า ผม แต่ง งาน แล้ว! ดังนั้นคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาเด็ดขาดเลยนะครับ!”

หลี่ฮั่วเฉินยิ้มเล็กยิ้มน้อยไม่มีหุบ ก่อนจะเอนตัวไปกระซิบข้างหูของฉีเล่ยเช่นกันว่า

“แต่งได้ก็หย่าได้ เรื่องในอนาคตไม่มีใครรู้หรอกน่า ลองดูก่อน…มันจะเสียหายอะไรกันจริงไหม?”

“….”

ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออก

เอ่อ…ทำไมลุงแกถึงอยากได้ฉันเป็นหลานเขยนักนะ?

ฉันเนื้อหอมขนาดนั้นเลย?

หลี่ถงซีที่นั่งอยู่ข้างๆ ทั้งคู่ก็นั่งตักข้าวเข้าปากอย่างเงียบงันไม่พูดไม่จา เธอพยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป

พอเห็นว่าฉีเล่ยถึงกับชะงัก หาถ่อยคำมาหักล้างไม่ได้ หลี่ฮั่วเฉินก็เอี่ยวกลับไปนั่งดังเดิมและฮัมเพลงต่อไปอย่างมีความสุข

ฉีเล่ยถึงกับไม่พูดไม่จา นั่งอมทุกข์อยู่แบบนั้น

อย่างไรก็ตาม หลี่ถงซีอดสงสารไม่ได้ จึงเหลือบสายตามองปู่ของเธอเล็กน้อย

“คุณปู่จะกินข้าวหรือจะร้องเพลงค่ะ? ถ้าไม่กินจะได้ให้พี่เลี้ยงเก็บจานไปเลย”

น้ำเสียงของเธอยังคงฟังดูไม่แยแสใครทั้งสิ้น ราวกับความสัมพันธ์ห่างเหินนับพันลี้ สีหน้าการแสดงออกปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ทัศนคติท่าทีแบบนี้มันไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้าที่ได้รับการรักษาจากฉีเล่ยเลย

ทว่าหลี่ฮั่วเฉินกลับไม่สนใจสักนิด เขาหันมายิ้มกล่าวขึ้นว่า

“ฮ่าฮ่า กินข้าวสิ กินข้าว หลานรัก ฉีเล่ยถือเป็นแขกของบ้านเรานะ แถมยังเพิ่งเคยมาปักกิ่งครั้งแรก ยังไงก็ช่วยออกข้างนอกเป็นเพื่อนเขาหน่อย”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset