ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 59 ฉี่แตก

ตอนที่59 ฉี่แตก

“ไร้สาระ!”

ซูเสี่ยวหยานตะโกนสวนขึ้นลั่นด้วยความโกรธจัด แน่นอนว่าเธอไม่เชื่อที่ฉีเล่ยพูดแน่นอน แต่ทันใดนั้นร่างกายก็พลันสัมผัสได้ถึงความเปียกแฉะบริเวณกางเกง…

เธอก้มลงไปมองตรงกางเกง…

หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของฉีเล่ย บรรดาฝูงชนโดยรอบก็หันขวับจับจ้องไปที่กางเกงของซูเสี่ยวหยานเป็นตาเดียว

ทันใดนั้นภาพฉากอันน่าตื่นตะลึงก็ปรากฏขึ้น…

วันนี้ซูเสี่ยวหยานสวมกางเกงสแล็คขายาวสีขาวรัดรูป เนื้อผ้าดูนุ่มใส่สบาย แต่จู่ๆ…ตรงเป้ากางเกงกลับปรากฏวงเปียกชื้นปริศนาขึ้น แถมยังมีหยดน้ำไหลลงมาจากขากางเกง กลายมาเป็นแอ่งน้ำน้อยๆใต้เท้าของเธอ…

ดูเหมือนว่าเธอจะฉี่แตกจริงๆ…

“เห้ย! ดูนั่น! ดูนั่น! เธอฉี่แตกจริงๆว่ะ!”

“พระเจ้าช่วย! รีบถ่ายเก็บไว้เร็ว! รีบถ่ายเก็บไว้เร็ว!”

“อะไรวะเนี่ย…”

….

“กรี๊ดดด!!”

ซูเสี่ยวหยานกรีดร้องเสียงดังลั่น รีบเอากระเป๋าสะพายปิดป้องบริเวณเป้ากางเกงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ฝูงชนโดยรอบเกิดความโกลาหลยกใหญ่ บางคนรีบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายกันไม่หยุด

ในที่สุดเธอบากหน้ารับความอับอายนี้ไม่ไหว จึงรีบวิ่งฝ่ากลางฝูงชนหนีออกไปทันที

“นี่แกทำอะไรกับเธอ?”

เมื่อเห็นซูเสี่ยวหยานวิ่งหนีออกไปทั้งแบบนั้น หานหมิงต้าก็หันขวับจับจ้องฉีเล่ยตาเขม็งก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างเย็นชา

“ผมไม่เข้าใจนะครับว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร?”

ฉีเล่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมปั้นสีหน้าหยอกเย้า ราวกับกำลังแสดงให้เห็นว่า ตนไม่ได้เป็นอันตรายต่อคนสัตว์สิ่งของใดๆ

“ได้! ได้! คราวนี้แกจบไม่สวยแน่!”

หานหมิงต้ากรนเสียงเย็นใส่ฉีเล่ยดูเกรี้ยวกวาดอย่างยิ่ง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้างโดยเร็ว แฟนสาวของเขาวิ่งหนีออกไปชนิดไม่มีรอ ดังนั้นจึงต้องรีบวิ่งตามก่อนที่จะคลาดกัน

ดวงตาคู่สวยของหลี่ถงซีจับจ้องไปที่ฉีเล่ยทันที เธอรู้ว่าฉีเล่ยจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่นอน

ซูเสี่ยวหยานไม่ได้เป็นโรคอะไรร้ายแรงอย่างพวก เบาจืด ที่ไม่สามารถควบคุมระบบทางเดินปัสสาวะได้ ดังนั้นเธอจะฉี่แตกออกมาแบบนี้ได้ยังไงกัน?

ฉีเล่ยยิ้มและหันไปมองตอบหลี่ถงซีพร้อมกล่าวว่า

“ผมบังเอิญแตะโดนเส้นลมปราณ ที่เชื่อมตรงไปยังกระเพาะปัสสาวะพอดี”

ในความเห็นของหลี่ถงซี ฉีเล่ยจะต้องแอบทำอะไรสักอย่างกับหญิงสาวแน่นอน และมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดไม่มีผิด ตอนที่ฉีเล่ยพยายามเข้าใกล้ซูเสี่ยวหยานเพื่อกระซิบข้างหูของเธอ เขาอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันสังเกต ใช้ดัชนีแทงกดเข้าไปยังจุดซานเจาบริเวณเอวของอีกฝ่ายโดยไม่ทันรู้ตัว

จุดซานเจาอยู่บริเวณเอวข้างซ้าย ออกไปประมาณ1.5มิลลิเมตร  ใต้กระดูกสันหลังตรงเงี่ยงกระดูกส่วนแรก (spinous) ซึ่งเป็นจุดที่ส่งผลกับกระเพาะปัสสาวะโดยตรง โดยทั่วไปการฝังเข็มในจุดดังกล่าว เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบปัสสาวะ ทั้งปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก และปัสสาวะน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

ฉีเล่ยมีความรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องอนาโตมี่1และเรื่องจุดฝังเข็มทั่วร่างกายมนุษย์ หากผสมผสานระหว่างความรู้ทั้งสองเข้าด้วยกัน การจะทำให้คนๆหนึ่งฉี่แตกขึ้นมาไม่ใช่เรื่องยาก

“ทุเรศ”

หลี่ถงซีกล่าวเจือน้ำเสียงดูถูก

“….”

ฉีเล่ยโกรธมากเมื่อได้ยิน

ผู้หญิงคนนี้นี่โง่เกินเยียวยา ไม่เพียงแต่จะไม่เห็นค่าที่ฉันทำลงไป แถมยังด่ากันอีกว่า ทุเรศ? ถ้าไม่ทำเรื่องทุเรศแบบนี้ มีเหรอที่เธอจะรอดกลับไป?

เออได้! ครั้งหน้าถ้าเกิดเรื่องอะไรแบบนี้อีก เดี๋ยวจะยืนดูอยู่เฉยๆนั่นแหละ! ไม่เข้าไปช่วยแล้ว! ถ้ามีปัญญาแก้ปัญหาเอง งั้นก็ลองทำให้ดูหน่อย! แล้วฉันจะคอย…

“ขอบใจ”

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังสบถด่าอยู่ภายในใจอย่างเมามัน แต่จู่ๆหลี่ถงซีก็เอ่ยปากกล่าวขอบคุณทันทีพร้อมรอยยิ้มประดับบาง

“ช่างเถอะ”

ฉีเล่ยโบกมือปัดเจือสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นเขาก็โกรธเธอไม่ลงแล้ว

ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงแฮะ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ป่วยแบบนี้ ฉีเล่ยเหลือบมองหลี่ถงซีเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อว่า

“ยิ้มอีกสิ คุณสวยมากเลยนะตอนยิ้มน่ะ”

“….”

ใบหน้าของหลี่ถงซีกลับมาบึ้งตึงอีกครั้งทันที

…………….

ทั้งสองเดินซื้อของช้อปปิ้งกันไปอีกสักพัก ฉีเล่ยได้ชุดเสื้อผ้ามาอีกหลากหลายแบบสำหรับใส่ในโอกาสต่างๆ ก่อนจะพากันขึ้นรถของหลี่ถงซีกลับบ้านไป

หลี่ฮั่วเฉินดูท่าจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เมื่อเห็นทั้งคู่กลับถึงบ้านเร็วขนาดนี้ ขณะที่กำลังจะหาข้ออ้างไล่สองคนนั้นให้ออกไปเที่ยวต่อข้างนอก จู่ๆก็มีสายเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ของฉีเล่ย

“ฮัลโหล จำเสียงฉันได้รึเปล่าสุดหล่อ?”

“ชูซินซู่?”

“ฮ่าฮ่า… ฉันรู้น่าว่านายยังไม่ลืมฉันไปง่ายๆหรอก ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายอีกแล้ว มาหาฉันทีได้ไหม?”

“….เห็นผมเป็นเด็กไร้เดียงสาอยู่รึเปล่าครับ? คนป่วยที่ไหนน้ำเสียงดูสดใสขนาดนี้ครับเนี่ย?”

ปลายสาย ชูซินซู่เปลี่ยนน้ำเสียงทันที กระแอมไปเล็กน้อยและกล่าวขึ้นว่า

“แค่ก แค่ก…ฉัน…ฉันหายใจไม่ค่อยสะดวกเลย แค่ก แค่ก…ช่วยฉันด้วย…”

“….”

ฉีเล่ยถึงกับกุมขมับ

“ฮ่าฮ่า!”

ชูซินซูอดขำตัวเองไม่ได้ จึงหลุดหัวเราะออกมาคำโต

“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันไม่แกล้งนายแล้ว ก็คราวก่อนนายช่วยชีวิตฉันบนเครื่องบิน เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ตอบแทนอะไรกลับไปเลย”

ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า

“ไม่จำเป็นต้องตอบแทนหรอกครับ แค่เห็นคุณสบายดีผมก็โอเคแล้ว”

“ไม่สิ นี่เป็นถึงชีวิตของสาวสวยอย่างฉันเชียวนะ! สุดหล่อ มาเจอฉันวันนี้ดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่ล่าตามหาตัวเธอให้ทั่วปักกิ่งเลยล่ะ พอถึงเวลานั้น…ทุกอย่างคงไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วนะรู้ไหม? ฉันจะเอา…เธอให้ตัวแห้งตายเลยล่ะ! หุหุ…กลัวรึเปล่า?”

“….”

เออ! กลัว! กลัวเมียกระทืบตายนี่แหละ!

ชูซินซูส่งโลเคชั่นบ้านของเธอให้หับฉีเล่ยทันที หลังจากวางสายไป ดวงตาคู่กลมโตสวยของหญิงสาวพลันกลิ้งกลอกไปมาอย่างสนุกสนาน

พอคิดว่าฉีเล่ยกำลังจะมาหา เธอก็รีบนึกด้วยความตื่นเต้นทันทีว่า จะหาอะไรเป็นรางวัลตอบแทนให้เขาที่ช่วยชีวิตเธอดี หรือจะมอบสมบัติเก่าแกจากตระกูลของเธอให้?

แต่ในระหว่างครุ่นคิดอยู่นั่นเอง จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอชูซินซูเหลือบไปเห็นว่าใครที่โทรสายเข้ามา แววตาขี้เล่นสนุกสนานก่อนหน้าของเธอ ก็พลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ทันทีที่กดรับ ปลายสายโทรศัพท์ก็เปล่งเสียงดังขึ้นว่า

“ประธานชู บริษัทAเหมือนว่าจะต้องการแสดงความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับแผนกำหนดการที่ประชุมเมื่อวานนี้ ตอนนี้ประธานของฝ่ายนั้นมาถึงบริษัทเราแล้วครับ พวกเขาต้องการเจรจากับคุณแบบเห็นหน้าเท่านั้นครับ”

ชูซินซูเหลือบมองนาฬิกาเรือนสวยของตัวเองเล็กน้อย พลางกรีดร้องลั่นอยู่ภายในใจ ‘นี่มันโชคร้ายจริงๆ!’ จะดันมามีธุระเร่งด่วนอะไรตอนนี้? แต่เพราะนี่เป็นธุระที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอจึงตอบกลับไปว่า

“เข้าใจแล้ว ขอเวลา15นาที เดี๋ยวฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ บอกให้พวกเขารอก่อน ไม่นานนักหรอก”

ทันทีที่พูดจบชูซินซูก็รีบลุกขึ้นจากเตียง และเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็รีบเดินเปิดประตูออกไปทันที แต่จู่ๆเธอก็เพิ่งนึกได้ว่า แล้วถ้าฉีเล่ยมาถึงที่นี่ก่อนเธอกลับมาล่ะ?

ฉันควรโทรไปบอกเขาก่อน…

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่หนี่ง ชูซินซูก็แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความทรงเสน่ห์ออกมา

“ไม่บอกดีกว่า แกล้งเขาสักครั้งจะเป็นไรไป อยากจะเห็นจังว่า พอถึงตอนนั้นหมอนั่นจะทำยังไง?”

 ณ บ้านของหลี่ฮั่วเฉิน

“จะไปตอนนี้เลยเหรอ?”

“ใช่ครับ ไปแป๊ปเดียวเดี๋ยวก็กลับ”

“อยากไปที่นั่นจริงๆเหรอ?”

“ครับ”

“ถึงอีกฝ่ายจะบอกว่าอยากตอบแทนก็เถอะ แต่ชวนไปบ้านแบบนี้มัน… ฉันว่ามันแปลกๆนะ?”

ฉีเล่ยถึงกับตะลึงงัน หยุดยืนอยู่หน้ากระจกทั้งที่หวียังคาอยู่บนหัวแบบนั้น ก่อนจะค่อยๆเหลียวมองไปทางหลี่ฮั่วเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ และกล่าวขึ้นว่า

“อาวุโสหลี่ ถามจริงจังเลยนะครับ พอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นสาวสวย คุณก็รีบมาห้ามผม เพราะกลัวว่าเธอคนนั้นจะพรากผมไปจากหลานสาวคุณ?”

หลี่ฮั่นเฉินในขณะนี้ไม่ต่างอะไรกับคนแก่ทำผิด ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเป็นเด็กน้อย

“แล้วทำไมเธอต้องไปด้วยล่ะ?”

ฉีเล่ยกล่าวอธิบายขึ้นว่า

“อาการของผู้ป่วยรายนี้ค่อนข้างพิเศษน่ะครับ เธอเป็นโรคหัวใจที่เกี่ยวเนื่องกับปอด หากอารมณ์ไม่คงที่อาจส่งผลต่อร่างกายโดยตรง ผมก็เลยไปดูอาการหน่อยดีกว่าครับ”

หลังจากพูดจบเขาก็วางหวีไว้บนโต๊ะ และหันมากล่าวย้ำกับหลี่ฮั่วเฉินด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“ผมขอย้ำให้ฟังอีกครั้งนะครับ ผมแต่งงานแล้ว! แล้วผมเองก็รักภรรยาของผมแค่คนเดียว! ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวหรือผู้ป่วยคนนี้ ก็ไม่มีทางแย่งหัวใจของผมไปจากภรรยาได้!”

หลี่ฮั่วเฉินถึงกับสำลักพูดไม่ออกไปชั่วขณะ พลางคิดกับตัวเองไปว่า

‘คิดว่าฉันจะยอมแพ้กับเรื่องเสี่ยวซีง่ายๆงั้นเหรอ? ไม่มีทาง! ก็เห็นๆกันอยู่ว่า เธอประทับใจในตัวนายแค่ไหน เป็นเพราะเธอเกลียดผู้ชาย ทำให้ต้องอยู่ตัวคนเดียวเพียงลำพังเรื่อยมา แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว! หลานสาวคนนี้ดูมีความสุขอย่างมากเมื่ออยู่กับนาย เพียงแค่นี้ ต่อให้ป่วยเป็นโรคทางจิตอะไร มันจะยังสำคัญอยู่ไหม?’

อันที่จริงแล้ว ฉีเล่ยเองก็ตระหนักดีว่า นี่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการรักษาอาการทางจิตเวช โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะตกหลุมรักพวกจิตแพทย์ หรือไม่ก็นักจิตวิทยา เป็นเพราะพวกเขาสามารถช่วยให้บรรดาผู้ป่วยเหล่านั้น หลุดพ้นออกจากเงามืดได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะทำให้ผู้ป่วยตกหลุมรักได้ง่าย

นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่จิตแพทย์ และนักจิตวิทยาหลายคนต้องเผชิญ

แต่ฉีเล่ยเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน คงทำได้แค่ขอโทษเฉินอวี้หลิวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในใจ เพราะจะให้เขาเพิกเฉยต่ออาการป่วยทางจิตของหลี่ถงซี ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน

ยากจริงแหะ

การจะเป็นหมอที่ดีเป็นเรื่องยากจริงๆ

แถมตัวเองดันเกิดมาหน้าตาดีอีก…

ฉีเล่ยถึงกับส่ายหัวเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะจัดข้าวของ และเดินออกจากบ้านไป

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset