ตอนที่ 6 เข็มทองหาง หงส์
เพื่อป้องกันไม่ให้ฉีเล่ยปฏิเสธ อาวุโสหวู่จึงรีบเปิดกล่องหนังในมือให้เขาดูทันที ..
“นี่มันเข็มทองหางหงส์ !”
ทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องหนัง ฉีเล่ยถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง พร้อมกับยื่นมือออกไปสัมผัสเข็มทองตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง
ว่ากันว่า .. ผู้ที่ได้ครอบครองเข็มทองหางหงส์จำนวน 108 เล่มนี้ คือผู้ที่กุมชีวิต และความตายของผู้คนไว้ในมือ !
“กระบี่ล้ำเลิศควรตกเป็นของสุดยอดมือกระบี่ฉันท์ใด เข็มทองหางหงส์ที่ล้ำค่า ก็ควรต้องอยู่ในมือของหมอที่เก่งกาจเช่นกัน ! ”
“ผู้มีพระคุณ ได้โปรดอย่าปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้ของผมเลยนะครับ ! ”
หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าตกตะลึงอย่างมากของฉีเล่ย อาวุโสหวู่จึงได้แต่พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
อาวุโสหวู่ต้องยอมใช้เงินก้อนโต ไปแลกกับเข็มทองชุดนี้มาจากเพื่อนเก่าแก่ของตนเอง และเมื่อได้เห็นสีหน้าพออกพอใจของฉีเล่ยเวลานี้ ทำให้เขาอดที่จะมีความสุขขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
ฉีเล่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนโค้งคำนับให้กับชายชรา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ขอบคุณอาวุโสหวู่สำหรับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ !”
หากเป็นของขวัญอย่างอื่น ไม่แน่ว่าฉีเล่ยอาจจะยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมรับก็เป็นได้ แต่ในเมื่อเป็นเข็มทองหางหงส์ที่หาได้ยากเช่นนี้ ใครบ้างเล่าที่จะปฏิเสธได้ลงคอ ..
และหากมีเข็มทองคำล้ำค่าเช่นนี้อยู่ในมือ ในวันข้างหน้า เขาก็ไม่ต้องกังวลใจ หรือห่วงอนาคตข้างหน้าของตนเองอีก
“คุณหมอฉี ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนที่พ่อของผมจะฟื้นขึ้นมา คุณได้พูดถึงเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องหอมภายในบ้าน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้คุณหมอฉีหมายความว่ายังไง ? ”
ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังดื่มด่ำอยู่กับการชื่นชมเข็มทองคำในมือ เสียงร้องถามของหวู่เฉินเทียนก็ได้ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์
อาวุโสหวู่เห็นเช่นนั้น จึงได้แต่หันไปจ้องมองหวู่เฉินเทียนด้วยแววตาไม่พอใจ !
“อ่อ .. เรื่องนั้นน่ะเหรอครับ ? คือที่บ้านของคุณมีเครื่องหอมชนิดหนึ่ง แม้ว่าเครื่องหอมชนิดนี้จะช่วยกระตุ้นให้จิตใจ และร่างกายสดชื่นก็ตาม แต่หากใช้ไปเป็นระยะเวลานานหลายปี กลิ่นหอมของมันก็จะเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของคนผู้นั้นได้ และที่อาวุโสหวู่หมดสติไปแบบนั้น ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ .. ”
หลังจากที่ฉีเล่ยพูดจบ เขาก็หยิบปากกา และกระดาษบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเขียนใบสั่งยา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว เขาก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอาวุโสหวู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“อาวุโสหวู่ นี่เป็นตัวยาสำหรับนำมาทำเครื่องหอมใหม่ ! ”
“ลายมืองดงามมากจริงๆ ! ”
ทันทีที่รับใบสั่งยามาจากฉีเล่ย อาวุโสหวู่ก็ได้แต่จ้องมองลายมือบนกระดาษแผ่นนั้น พร้อมกับพึมพำออกมาด้วยแววตาที่เป็นประกายระยิบระยับ
ตัวอักษรของฉีเล่ยนั้น ประหนึ่งขอเงิน และการตวัดอักษระก็ไหลลื่นดั่งสายน้ำ ลายเส้นแต่ละขีดมีน้ำหนักสม่ำเสมอ หนักแน่น และดูมีพลัง ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามประหนึ่งเทพปรากฏ
หากจะพูดง่ายๆก็คือว่า ใบสั่งยาที่มีลายมือของฉีเล่ยเวลานี้ เปรียบได้กับผลงานศิลปะการเขียนอักษรชิ้นเอกเลยทีเดียว !
“ผู้มีพระคุณ ผมมีภาพอักษรที่เพิ่งได้มาเมื่อสองสามวันก่อน ผู้มีพระคุณได้โปรดเอามือออกจากโต๊ะก่อน ผมจะได้คลี่ภาพอักษรที่ได้มาให้ดู .. ”
อาวุโสหวู่ร้องบอกฉีเล่ย พร้อมกับหันไปล้วงเอาม้วนภาพอักษร ซึ่งอยู่ในตู้ด้านหลังของตนเองออกมา ก่อนจะค่อยๆ คลี่ลงบนโต๊ะด้านหน้าอย่างระมัดระวัง
“นี่เป็นภาพอักษรเก่าแก่ที่หวังซีจีเป็นผู้เขียนด้วยพู่กัน นับเป็นสมบัติเก่าแก่ที่หาได้ยากนักในยุคปัจจุบัน ! ”
อาวุโสหวู่อธิบายให้ฉีเล่ยฟังด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ พร้อมกับหยิบเอาแว่นขยายที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาส่องดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณตราประทับ และชื่อที่ปรากฏอยู่บนภาพอักษรนั้น
แม้ว่าฉีเล่ยจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องภาพอักษรพู่กันมากนัก แต่เขาก็ตั้งใจอ่านมันอย่างจริงจัง แต่แล้วจู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะพูดออกไปว่า
“อาวุโสหวู่ เมื่อครู่คุณบอกว่านี่เป็นภาพอักษรลายมือของหวังซีจีเหรอครับ ?”
อาวุโสพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว ! เป็นตัวอักษร ที ่เขียน ขึ้นในยุคแรกๆของหวังจีซี มีอะไรงั้นรึ ? ”
ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาช้าๆ ก่อนจะรำพึงรำพันออกมาว่า “ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ ..”
หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของฉีเล่ย หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างไม่พอใจนัก นั่นเพราะภาพอักษรม้วนนี้ เขาได้นำไปให้อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรตรวจดูถึงสี่ห้าคน และทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ภาพอักษรนี้เป็นลายมือของหวังจีซีจริงๆ
“ผู้มีพระคุณ ไม่ทราบว่าคุณสังเกตเห็นอะไรผิดปกติงั้นรึ ? ” อาวุโสหวู่ร้องถามฉีเล่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมเองไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการประดิษฐ์อักษรนัก แต่จากมุมมองของคนเป็นหมอ ผมมองออกว่า ผู้ที่เขียนอักษรนี้จะต้องเป็นชายชราที่มีอาการป่วยเรื้อรังที่รักษาไม่หาย แต่หากอาวุโสยืนกรานว่า นี่เป็นอักษรที่เขียนโดยหวังจีซี มันออกจะขัดกับความรู้ทางการแพทย์ของผมมากทีเดียว .. ”
“น่าขำ ! คุณหมอฉีอย่าได้พูดอะไรไร้สาระแบบนี้ ! ” หวู่เฉินเทียนที่ยืนฟังด้วยความไม่พอใจอยู่นาน ในที่สุดก็อดทีแย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ห้วนมากไม่ได้
อาวุโสหวู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็จ้องมองภาพอักษรตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เฉินเทียน ที่ผู้มีพระคุณพูดมาก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ! อย่าลืมว่า คนโบราณเขียนอักษรด้วยพู่กัน ในการที่จะประดิษฐ์อักษรลงไปบนแผ่นกระดาษแต่ละครั้ง ย่อมจะ ต้องถ่ายทอดพลังปราณในร่างของ ตนผ่านปลายพู่กันด้วย เพราะฉะนั้น ตัวอักษรแต่ละตัว จึง บ่งบอก เอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลด้วย .. ”
อาวุโสหวู่ยืดตัวขึ้นพร้อมกับพูดต่อว่า “ในอดีต นักเขียนอักษรแห่งราชวงศ์ชิงผู้หนึ่งได้เผลอหลับไปหลังจากเมามาย และได้เขียนอักษรลงบนผ้าผืนหนึ่ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็ได้แต่ร้องห่มร้องไห้ว่าตนเองจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานนัก แต่เมื่อบุตรชายของเขามาพบเห็นเข้า ก็ได้แต่ปลอบประโลมว่า เป็นเพราะอักษรเหล่านั้นเขียนในยามเมามายเท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ปราชญ์ประดิษฐ์อักษรภาพผู้นั้นก็ได้เสียชีวิตลงดังที่เขาพูดจริงๆ ..”
“คิดไม่ถึงว่าผู้มีพระคุณจะเก่งเหมือนนักเขียนอักษรผู้นั้น ที่สามารถอ่านพลังชี่ในตัวอักษรได้ ! ”
อาวุโสหวู่พูดขึ้นด้วยสีหน้า และน้ำเสียงประหลาดใจ ก่อนจะโยนแว่นขยายกลับไปไว้ที่เดิมทันที
“แต่พ่อครับ ที่หมอฉีพูดอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้ ! พ่อเองก็รู้ว่า ผมส่งภาพอักษรนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจถึงสี่ห้าครั้ง และทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นของจริง ! ”
หวู่เฉินเทียนยังคงโต้เถียงด้วยความไม่พอใจ และถึงกับหันไปมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ผมเองก็ยอมรับว่าไม่มีความรู้เรื่องอักษรภาพจริงๆ เพียงแค่ออกความเห็นในมุมมองคนเป็นหมอเท่านั้น ! เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว ผมไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย .. ”
แม้ว่าฉีเล่ยจะมั่นอกมั่นใจในสายตาของตัวเองอย่างมาก แต่ก็ได้เสนอทางออกที่เป็นกลาง และไม่ได้ตัดสินออกไปอย่างชัดเจน
“คุณหวู่ครับ ทำไมคุณไม่ลองสอบถามตามร้านขายอักษรภาพโบราณต่างๆดูล่ะครับ ? ไม่แน่ว่าอาจจะพบชิ้นงานที่คล้ายคลึงกันนี้อีกก็ได้ ..”
หากหวังซีจีได้เขียนอักษรภาพนี้จริง เป็นไปได้ว่าอักษรภาพฉบับนี้ อาจจะเป็นอักษรภาพที่ถูกคัดลอกมาอีกที หากหวู่เฉินเทียนลองไปสืบหาดู ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้พบอักษรภาพของจริงก็เป็นได้ ถึงตอนนี้ ความจริงทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยเอง
อีกหนึ่งเหตุผลที่ฉีเล่ยไม่ต้องการพูดออกไปตรงๆก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่มีพลังชี่อยู่ทั้งสิ้น แม้ภาพอักษรนี้จะดูเก่าแก่ก็จริง แต่เขากลับสัมผัสถึงชี่เก่าแก่โบราณไม่ได้เลย
หวู่เฉินเทียนไม่เชื่อ จึงได้โทรหาคนในวงการขายภาพอักษรที่เขารู้จักอีกสองสามคน หลังจากที่เสนอราคาให้สูงมาก ในที่สุดก็มีคนโทรกลับมาหาเขาจริงๆ และนั่นทำให้หวู่เฉินเทียนถึงกับมีสีหน้าตกอกตกใจเป็นอย่างมาก
นั่นเพราะ คนผู้นั้นบอกกับเขาว่า ตนเองมีภาพอักษรนี้ของหวังจีซีอยู่จริงๆ !
หลังจากที่ความจริงถูกเปิดเผยออกมา หวู่เฉินเทียนก็ถึงกับทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เฉินเทียน ก็แค่ภาพอักษรภาพหนึ่งเท่านั้น !” อาวุโสหวู่ได้แต่หันไปพูดปลอบใจผู้เป็นลูกชาย
“แต่อาวุโสต่ง .. ”
หวู่เฉินเทียนที่กำลังจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา แต่เมื่อหันไปเห็นฉีเล่ย เขาก็รีบหยุดพูดในทันที
ฉีเล่ยเองก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนไม่น้อย จึงได้พูดออกไปว่า “อาวุโสหวู่ คือผม ..”
“ผู้มีพระคุณ อย่าได้เก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย ! ผมต้องขอบคุณสายตาที่แหลมคมของคุณมากกว่า ในเมื่อภาพก็ถูกมอบไปแล้ว ตอนนี้คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว .. ” อาวุโสหวู่รีบบอกกับฉีเล่ยทันที
หวู่เฉินเทียนต้องยอมรับว่า คำพูดของพ่อเขานั้นถูกต้อง เวลานี้ทุกอย่างได้สายไปแล้ว หากอาวุโสต่งรู้ว่าภาพอักษรที่เขาส่งให้นั้นเป็นของปลอม ตัวเขาเองจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้แน่
“ผู้มีพระคุณ เมื่อเวลานั้นมาถึง ผมอาจจะต้องรบกวนของความช่วยเหลือคุณอีกครั้ง ! ”
อาวุโสหวู่ลุกขึ้นยืน พร้อมกับโน้มศรีษะลงต่อหน้าฉีเล่ย พร้อมกับเอ่ยขอร้องเขาด้วยสีหน้าแววตาอ้อนวอน
ฉีเล่ยรีบพยักหน้ารับปากทันที พร้อมตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “ผมยินดีที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ !”
ทุกเรื่องในโลกนี้ล้วนเกิดจากกรรมซึ่งคือการกระทำ ทำเหตุเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น หากจำเป็นต้องช่วย ฉีเล่ยก็พร้อมที่จะช่วย ..
อีกทั้งฉีเล่ยเองก็รู้สึกนับถือในตัวอาวุโสหวู่เช่นกัน อีกทั้งเขาเองก็ยอมรับเข็มทองหางหงส์มาแล้ว และเข็มทองชุดนี้ก็มีมูลค่ามากกว่าภาพของหวังจีซีนับสิบเท่า
หลังจากความจริงในเรื่องนี้ปรากฏขึ้น บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เวลานี้ บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นตึงเครียด ฉีเล่ยจึงได้หอบเข็มทองหางหงส์ พร้อมขอตัวกลับออกมา
หวู่เฉินเทียนจ้องมองแผ่นหลังของฉีเล่ยที่ค่อยๆห่างออกไป ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า “พ่อครับ .. พ่อคิดว่าหมอฉีจะช่วยพวกเราได้จริงๆเหรอครับ ?”
“ผู้มีพระคุณเป็นหมอที่ล้ำเลิศมาก ! พ่อเชื่อว่า เขาจะต้องสร้างความประหลาดใจให้แกเห็นไม่น้อยทีเดียว ไม่เชื่อแกคอยดูต่อไป หมอฉีคนนี้จะเป็นคนที่ช่วยนำพาสกุลหวู่ของเรา ให้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ได้แน่ !”
หลังจากพูดจบแล้ว อาวุโสหวู่ก็ได้เดินเอามือไขว้หลังออกไปจากห้องทันที ..