ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 61 ชูเฟิงอี้

ตอนที่61 ชูเฟิงอี้

ทั้งสองเดินเข้ามาตามแผ่นหินอ่อนที่จัดเรียงเป็นทางเดินยาว ผ่ากลางสวนตรงไปยังคฤหาสน์ด้านในสุด ฉีเล่ยกวาดสายตามองไปรอบๆทั้งซ้ายและขวา ชื่นชมทิวทัศน์จากสองข้างทาง

หากคฤหาสน์แห่งนี้เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวจริง นี่ทำให้เขาเข้าใจได้ถึงความจริงข้อหนึ่งคือ คนร่ำรวยใช้ชีวิตราวกับอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ปาน แม้ว่าคฤหาสน์แห่งนี้จะเปรียบดั่งสวนสาธารณะกลางเมืองหลายแห่ง เรื่องความรมรื่นจากพฤกษาต้นไม้อาจอยู่ในระดับใกล้เคียง แต่หากเป็นเรื่องชนิดพืชพันธุ์ ที่แห่งนี้ชนะสวนสาธารณะเหล่านั้นขาดลอย

จากประตูรั้วเหล็กมาจนถึงตัวคฤหาสน์ ค่อนข้างมีระยะห่างพอสมควร ระหว่างทางปรากฏเหล่าบอดี้การ์ดสวมใส่สูทดำเหมือนด้านหน้า เฝ้าระวังอยู่เป็นระยะ บ้างก็กำลังเดินตรวจตราไปมา เดินมาได้ครึ่งทาง พ่อบ้านฟางพลางตบไหล่ฉีเล่ยไปหนึ่งทีและกล่าวว่า

“ตั้งแต่ที่นายท่านทราบถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของคุณฉีที่ช่วยคุณหนูไว้ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะพบคุณอยู่ตลอด ดังนั้นแล้วผมขอขอบคุณจากใจจริงก่อนเป็นอันดับแรก”

“นายท่าน?”

ฉีเล่ยชะงักฝีเท้าไปชั่วครู่ เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่า นายท่านที่พ่อบ้านฟางกำลังพูดถึงคือเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ หรือเป็น ‘คุณปู่’ ของชูซินซู

พอเห็นสีหน้าการแสดงออกอันฉงนใจของฉีเล่ย พ่อบ้านฟางก็กล่าวอธิบายอย่างยิ้มแย้มต่อทันที

“นายท่านคือคุณปู่ของคุณหนู แต่เป็นเพราะอายุของท่านที่มากแล้ว จึงทิ้งกิจการทุกอย่างของตระกูลให้กับคุณหนูรับช่วงต่อ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ แต่ภายในใจของเขาแทบไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เนื่องจากความประทับใจแรกพบของเขาที่มีต่อชูซินซูนั้นไม่ค่อยดีนัก เธอก็แค่ผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง แต่ใครจะไปคิดว่าเบื้องหลังของเธอจะชวนสะพรึงได้ขนาดนี้

รับสืบทอดธุรกิจจากคุณปู่ซึ่งเป็นเจ้าของคฤหาสน์หรูแบบนี้ คงไม่ใช่อะไรที่เล็กน้อยเลย และไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถควบคุมบริหารได้ไหว

พ่อบ้านฟางยังคงเดินนำทางต่อไป จนท้ายที่สุดทั้งสองก็เดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ด้านใน และเดินขึ้นบันไดหินอ่อน

คฤหาสน์แห่งนี้ถูกออกแบบวางรากฐานไว้อย่างไร้ที่ติตั้งแต่ก่อสร้างแล้ว ทั้งตำแหน่งแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ราวกับถูกคำนวณหมดแล้วว่า แสงควรตกกระทบตรงไหน ภายในบ้านถึงจะสวยและถูกหลักฮวงจุ้ยมากที่สุด ไม่เว้นแม้แต่ชนิดต้นไม้ที่นำมาจัดวางภายในตัวคฤหาสน์ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เดินเข้ามา ไม่มีแม้แต่อณูเศษฝุ่นสักนิดภายในสถานที่แห่งนี้

บรรดาคนใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับการอบรมมารยาทมาเป็นอย่างดีเยี่ยม

พ่อบ้านฟางพาฉีเล่ยมานั่งพักผ่อนในห้องโถงใหญ่ และรีบเชิญให้นั่งบนโซฟาตัวหรูพร้อมกล่าวว่า

“คุณฉี นั่งรอตรงนี้สักครู่นะครับ นายท่านนั่งเล่นอยู่ที่สวนหลังคฤหาสน์ เดี๋ยวผมจะรีบไปรายงานท่านว่าคุณมาถึงที่นี่แล้ว”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบตกลงไป

“ขอบคุณครับ”

ขณะเดียวกันเขาก็พลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา สวนหน้าคฤหาสน์ยังใหญ่ไม่พอรึไง ถึงยังมีสวนหลังบ้านอีก? สรุปแล้วที่ดินรวมทั้งหมดของคฤหาสน์แห่งนี้มันกี่ไร่กันเนี่ย?

หลังจากพ่อบ้านฟางเดินจากไป ไม่นานก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำชาและขนมทานเล่นให้ ฉีเล่ยหยิบขนมชิ้นนั้นขึ้นมากินพลางจิบน้ำชาตาม สายตากวาดมองชื่นชมสิ่งตกแต่งรอบห้องโถงอย่างสบายอารมณ์

เหนือศีรษะของเขามีโคมไฟแชนเดอเรียคริสตัลขนาดใหญ่ โดยรอบผนังห้องมีภาพวาดสีน้ำมันแขวนประดับทั่ว ฉีเล่ยไม่ค่อยเข้าถึงเรื่องศิลปะมากมายขนาดนั้น แต่แค่มองผ่านๆก็รู้ได้เลยว่า พวกมันเป็นของเก่ามีมูลค่ามหาศาล

หลังจากนั่งรอไปสักพักหนึ่ง ฉีเล่ยก็เพิ่งเอะใจคิดได้ ชูซินซูบอกว่าให้เขามาเจอเธอไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไปๆมาๆถึงมาพบคุณปู่ของเธอแทนได้?

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังปั้นหน้างุนงงอยู่นั้นเอง จู่ๆก็มีเสียงดังฟังชัดดังลั่นออกมาจากด้านหลังเขา

“คุณเป็นใคร?”

ฉีเล่ยเหลียวหลังตามเสียงนั้นกลับไปทันที ก่อนจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังโซฟาที่นั่งอยู่

สวย…สวยมาก!

ปฏิกิริยาแรกของฉีเล่ยถึงกับใช้คำว่า ‘สวย’ เพื่อบรรยายรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคนนี้

ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้าจากภาพวาดจีนโบราณ สีหน้าดูเยือกเย็น ผิวขาวนวลประดุจหยก นัยน์ตาใสบริสุทธ์เสมือนหยดน้ำค้างกลางหาวของฤดูใบไม้ร่วง ถ้าไม่ชิงเอ่ยปากเปล่งเสียงขึ้นมาก่อน ฉีเล่ยไม่มีทางรู้แน่ๆว่า อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย

ไม่สิ ไม่สิ…ขนาดผู้หญิงแท้ๆยังสู้ความงดงามของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้แม้สักนิด!

เพราะความสวยและน่ารักของเธอ…เห้ย!…ของเขาคนนี้ ทำเอาฉีเล่ยตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

“นี่คุณเป็นใคร?”

ชายหนุ่มหน้าสวยเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

ดูจากท่าทางการแสดงออกของเขาคนนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจกับปฏิกิริยาแบบนี้ของฉีเล่ยเล็กน้อย

หลังจากได้สติขึ้นมา ฉีเล่ยรีบคลี่ยิ้มอ่อนกล่าวตอบไปว่า

“ผมชื่อ ฉีเล่ยครับ”

“ฉีเล่ย?”

ชายหนุ่มหน้าสวยนิ่งไปชั่วครู่พยายามครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบไปว่า

“ใคร? ฉันไม่รู้จัก”

ฉีเล่ยไม่รู้จะตอบยังไงเช่นกัน จึงกล่าวถามไปแทนว่า

“แล้วคุณเป็นใครเหรอครับ?”

ชายหนุ่มหน้าสวยเผยท่าทีหยิ่งผยองขึ้นทันใด

“ชูซินฮัง”

“ชูซินฮัง? ใครเหรอครับ? ผมไม่รู้จัก”

ฉีเล่ยแกล้งปั้นน้ำเสียงให้เหมือนอีกฝ่าย และล้อเลียนกลับไปทีหนึ่ง

ชายหนุ่มหน้าสวยถึงกับผงะ ไม่คิดเลยว่า ฉีเล่ยจะกล้าพูดจากวนบาทาขนาดนี้ในครั้งแรกที่เจอกัน

จู่ๆใบหน้าสวยของเขาก็พลันแดงระเรื่อขึ้นทันทีด้วยความโกรธ ก่นเสียงเย็นถามสวนกลับไปว่า

“นี่นาย! นายรู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร!?”

ฉีเล่ยที่เห็นความน่ารักของอีกฝ่าย ก็อดแกล้งต่อไม่ได้ จึงยิ้มตอบไปว่า

“ไม่รู้อ่ะครับ ถ้ารู้จะถามไหม?”

อันที่จริง แค่ฉีเล่ยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายก็พอจะรู้อะไรขึ้นบ้างแล้ว

สกุลชู ชื่อกลางมีคำว่า‘ซิน’ ผนวกรวมกับท่าทางการแสดงออกอันหยิ่งผยองของเขาอีก  คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องชายของชูซินซู ถ้าไม่ใช่ ยังจะเป็นใครได้อีกล่ะ?

ชูซินฮังปั้นสีหน้ามืดทมิฬลงทันใด

“ไม่ว่านายจะเป็นใคร หรือมาที่นี่เพื่อขออะไร ฉันขอบอกไว้เลยว่า นายจะไม่ได้อะไรกลับไปทั้งสิ้น!”

ฉีเล่ยดูมีความสุขอย่างมากในตอนนี้ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาน่าจะเรียนอยู่มัธยมปลายได้มั้ง? ตอนปั้นหน้าดุไม่รู้ว่าทำไมแทนที่เขาจะรู้สึกกลัว กลับรู้สึกว่าทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้กัน?

แต่ยังไม่ทันจะได้หยอกล้อกับอีกฝ่ายต่อ ก็พลันมีเสียงดังลั่นจากประตูโถงด้านหนึ่งว่า

“อวดดี! แกเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำไมถึงได้พูดจาโอหังขนาดนี้!”

ฉีเล่ยกวาดสายตามองตามต้นเสียงดังกล่าวทันที ก่อนจะเห็นชายชราคนหนึ่งที่ใบหน้ายังอ่อนเยาว์อยู่มาก

ชายชราคนนี้ดูยังไงก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อบ้านฟาง แต่ใบหน้ากลับดูไม่ค่อยมีริ้วรอยเหี่ยวย่นเท่าไหร่ สวมชุดถังจวง (เสื้อคอจีน) ผ้าไหมสีขาว ค่อยๆย่างเท้าเดินตรงเข้ามาอย่างมั่นคง แม้จะแบบนั้นแต่กลับทั้งกระฉับกระเฉงและรวดเร็ว

“คุณปู่”

เมื่อชูซินฮังเห็นชายแก่คนนี้ จากเสือน้อยผู้หยิ่งยโสกลับกลายมาเป็นแมวน้อยเนื้อตัวสั่นเทาในพริบตา และยืนตรงอยู่ข้างโซฟาด้วยความเคารพ

ชูเฟิงอี้จ้องหลายชายของเขาตาเขม็งและดุไปคำว่า

“หึ ไม่รู้จักมารยาท”

ขณะที่กล่าว ชูเฟิงอี้ก็เดินตรงไปหาฉีเล่ย เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็รีบลุกขึ้นทักทายด้วยความสุภาพทันที

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ อาวุโสชู ผมชื่อฉีเล่ย วันนี้มารบกวนแล้วครับ”

ชายแก่ปั้นหน้ายิ้มแย้มดีใจอย่างมากที่ได้พบฉีเล่ย เขารีบกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันทีว่า

“พ่อหนุ่ม อายุอานามพอๆกับซินซูเลยนะเนี่ย เรียกฉันว่าปู่ก็ได้นะ ถ้าคุณหมอฉีไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป?”

ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อได้ยิน แรกพบเจออีกฝ่ายก็เข้าตีสนิทใกล้ชิดถึงขนาดนี้ ราวกับว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเขา

สิ่งหนึ่งที่ควรทราบก่อนเลยก็คือ อย่างตระกูลหวู่ กว่าที่ฉีเล่ยจะได้รับความไว้วางใจจนสนิทชิดเชื้อ เขาต้องช่วยชีวิตสองพ่อลูกนั่นเสียก่อน

แต่นี่ฉีเล่ยเพียงเข้าปฐมพยาบาลเบื้องต้นเพื่อระงับอาการกำเริบของชูซินซูบนเครื่องบินเท่านั้น เขามั่นใจอย่างมากว่า ต่อให้เปลี่ยนจากเขาเป็นหมอท่านอื่น หญิงสาวก็ไม่น่าจะตายเช่นกัน

อย่างไรก็ตามแต่ ฉีเล่ยก็ไม่กล้าปฏิเสธอีกฝ่าย

“ครับคุณปู่ชู”

ชูเฟิงอี้ลูบเคราตัวเองเล็กน้อยและยิ้มตอบว่า

“ดี ดีมาก”

ชูเฟิงอี้นั่งตรงข้ามกับฉีเล่ย จับจ้องสายตามองไปทางเขาเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า

“ฉีเล่ย การที่เธอช่วยชีวิตหลานสาวของฉัน เท่ากับว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลชูของเรา เพราะตอนนี้เองหลานสาวของฉันขึ้นมาเป็นเสาหลักประจำตระกูลชูของเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอตอนนี้คงแย่แน่ ดังนั้นพวกเราถือว่าเป็นหนี้บุญคุณเธอแล้ว”

“เห้ออ…ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ตระกูลชูและตระกูลต่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน ตอนนี้ยิ่งรุนแรงกว่าครั้งเมื่อก่อนมาก แถมโชคดันไม่เข้าข้าง ตอนนี้ซินชูก็มาป่วยเป็นโรคปริศนา ทีแรกพวกเราก็ดีใจอยู่หรอกเมื่อรู้ข่าวว่า ผู้นำตระกูลต่งก็ป่วยเช่นกัน แต่ผ่านไปไม่กี่วัน มันกลับหายดีเป็นปลิดทิ้งซะได้! ในขณะที่ทางเรายัง… อนิจจา…”

ชายแก่เข้าเรื่องในทันที ฉีเล่ยเองก็กำลังรับฟังอย่างตั้งใจจนกระทั้งได้ยินคำว่า ตระกูลต่ง!

ตระกูลต่ง?

ผู้นำตระกูลต่ง? ตงซีหยุนรึเปล่านะ? ไม่..ไม่หรอกน่า คงไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้นจริงไหม?

แต่…รู้สึกว่าต่งซีหยุนเองก็อยู่ในปักกิ่งเหมือนกัน และถ้าจะให้บอกว่า ตระกูลไหนบ้างที่ใหญ่พอจะเป็นศัตรูทางธุรกิจกับตระกูลชูได้ก็คงมีแต่…

คงไม่ใช่เรื่องแน่นอนถ้าฉีเล่ยจะเอ่ยถามอะไรออกไปตอนนี้ และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเช่นกัน ดังนั้นลืมๆมันไปซะ ลืมๆมันไป…

ชูเฟิงอี้กล่าวต่อว่า

“ในที่สุดหลายวันที่ฉันตั้งหน้าตั้งตารอ เธอก็มาแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ซินซูดันไม่อยู่ซะได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะบังคับให้หลานสาวคุกเข่าขอบคุณเธอตรงนี้”

ฉีเล่ยอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะสบถกับตัวเองในใจว่า

‘ห่ะ? เธอไม่ได้อยู่ที่นี่? ทั้งๆที่ไม่อยู่แล้วจะเรียกฉันมาหาพระแสงอะไร?’

ทันทีที่ชูซินฮังได้ยินปู่ตัวเองพูดคำว่า ‘คุกเข่า’ ต่อหน้าชายคนนี้ ก็ถึงกับสงบสติอารมณ์ไม่ได้ จึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า

“คุณปู่ นี่ปู่อายุเท่าไหร่แล้ว จะให้พี่สาวมาทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นต่อหน้าหมอนี่ได้ยังไง? รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!”

ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ชูซินฮังก็หันขวับจ้องมองฉีเล่ยตาเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร เขารู้สึกไม่ชอบไอ้หมอนี่เลย และก็ไม่อยากให้มันมามีสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกับพี่สาวตัวเองด้วย

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset