ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 63 เชื่อฟังผม แล้วรินชาให้ซะ

ตอนที่63 เชื่อฟังผม แล้วรินชาให้ซะ

ฉีเล่ยพยักหน้าและกล่าวว่า

“ผมเข้าใจดีครับ คุณเป็นห่วงเรื่องอนาคตของหลานสาว กลัวว่าจะถูกผู้ชายหลอก แต่ยังไงก็ช่วยอย่าเห็นแก่ตัวจนเกินเหตุด้วยครับ ผมก็ควรมีชีวิตของผม ถูกต้องไหมครับ?”

ขณะเอ่ยกล่าว ฉีเล่ยก็ลุกขึ้นจากโซฟาและพูดต่อ

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ นี่ก็ดึกแล้ว ผมไม่อยากรบกวน อ่อ…แล้วถ้าจะสั่งให้พวกบอดี้การ์ดจับตัวผมไว้ ก็อย่าได้หวัง ถ้าผมจะฆ่าทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”

เหอะ ฉันอุตส่าห์ช่วยชีวิตหลานสาวของเขา แต่ตอนนี้เรื่องทั้งหมดกลับโกลาหลไปหมด แม้แต่คำขอบคุณฉันก็ยังไม่อยากได้แล้วด้วยซ้ำ ไม่ว่ายังไงต้องกลับบ้านให้ได้ก่อน

ก็ลองห้ามฉันดูได้ ถ้ามั่นใจในฝีมือของตัวเองขนาดนั้น…

พูดแล้วก็ตลกดีแฮะ ตกลงคุณเป็นหนี้ชีวิตผม หรือผมเป็นหนี้ชีวิตคุณกันแน่? เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า?

การที่ชูเฟิงอี้พยายามทดสอบฉีเล่ยแบบนี้ ย่อมสร้างความไม่พอใจให้แก่ตัวเขาอย่างมาก สิ่งเดียวในตอนนี้ที่ฉีเล่ยต้องการที่สุดก็คือ การออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้โดยเร็ว

ภายในใจของฉีเล่ยเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

เขาช่วยเหลือชีวิตคนอื่นด้วยใจจริง แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทน กลับกลายเป็นแบบนี้ แล้วจะไม่ให้หงุดหงิดได้ยังไง?

ยังดีทีชูเฟิงอี้พอรู้สึกนึกอยู่บ้าง และเอ่ยปากขอโทษออกมา ในเมื่อรู้ตัวว่าทำผิดก็ถือว่ายังพอคุยกันได้ ทำให้อารมณ์โกรธของฉีเล่ยเบาบางลงไปได้มาก

ต่อให้พวกคุณเป็นตระกูลอดีตขุนนางจีนแล้วยังไง? คิดจะทำอะไรก็ทำได้งั้นเหรอ?

นี่ดูจะเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยนะ และที่สำคัญ ลำพังตัวพวกคุณเองก็ไม่มีปัญญากักขังผมไม่ให้ไปไหนได้แน่

อ่อ…นอกเสียจากพ่อบ้านฟางคนนั้น เขาเป็นคนเดียวที่สามารถรับมือฉีเล่ยได้ ถึงแม้พ่อบ้านฟางจะยังแข็งแกร่งไม่ถึงครึ่งของกวนไห่ผิง แต่นั่นอาจสร้างปัญหาให้ฉีเล่ยได้บ้าง โชคยังดีที่อีกฝ่ายอายุมากแล้ว ถ้าตอนนี้เขายังหนุ่มยังแน่น บอกได้เลยว่า เขานี่แหละที่จะเป็นตัวปัญหาใหญ่

แล้วยังเหลือใครที่จะหยุดฉีเล่ยได้อีกล่ะ? อาศัยพวกบอดี้การ์ดเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก ฉีเล่ยสามารถเดินจากคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างง่ายดาย

โดยสรุปสุดท้าย สิ่งที่ชูเฟิงอี้ขู่ไว้กลับไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะหยุดเขาได้จริงๆ

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในมุมมองของชูเฟิงอี้ ไม่ว่าในทีแรกฉีเล่ยจะพยายามช่วยเหลือหลานสาวของเธออย่างสุดกำลัง ไม่ว่าจะเกิดจากเจตนาดีหรือไม่ แต่ในท้ายที่สุด หลานสาวของเขาก็ได้รับการช่วยชีวิตไว้แล้ว คงเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะไม่ตอบแทนความดีความชอบในส่วนนี้

ดังนั้น จะปล่อยให้ฉีเล่ยกลับไปมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด เขาจึงรีบลุกขึ้นเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายให้อยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกันก่อน

นับเป็นโชคดีของฉีเล่ยเช่นกันที่ชูเฟิงอี้ได้ออกตัวบอกว่า พวกเขาเป็นตระกูลขุนนางเก่า เพราะหากเทียบกับต่งชีหยุน ตัวฉีเล่ยเองด้อยกว่าทุกด้าน และถ้าตระกูลชูสามารถเป็นศัตรูกับตระกูลต่งได้ นั่นย่อมหมายความว่า ทั้งสองตระกูลนี้มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกัน คงเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้ตาแก่สองคนนี้ตีกันเอง

ถ้าลองพิจารณาให้ถี่ถ้วน ฉีเล่ยเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง เขาไม่ควรไปรุกรานหรือสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับตระกูลชู

และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชูเฟิงอี้เองก็เอ่ยปากขอโทษขนาดนี้แล้ว ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าก็ดูจริงใจอย่างมาก ดังนั้นฉีเล่ยจะกล้าปฏิเสธคำเชิญรับประทานมือเย็นของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

ชูเฟิงอี้พาฉีเล่ยไปที่ห้องรับประทานอาหาร และสั่งให้พ่อครัวทำอาหารคอร์สที่หรูที่สุดมาบริการแก่ฉีเล่ย

แต่ฉีเล่ยเพิ่งนั่งได้ไม่นาน ชายชราก็คิดว่า นี่ยังไม่สมเกียรติพอพร้อมนึกขึ้นมาได้ว่า ตนเองมีเหล้าเหมาไถที่หมักนานถึง20ปี เก็บไว้อยู่ในห้องไวน์ส่วนตัว เมื่อนึกได้แบบนั้นก็รีบลุกเดินออกไปทันที

เมื่อชายชราเดินจากออกไป ฉีเล่ยจึงถูกทิ้งให้อยู่บนโต๊ะตามลำพังในห้องรับประทานอาหาร

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังจิบชา ชูซินฮังที่โดนไล่ออกไปก่อนหน้า ก็วิ่งตรงเข้ามาหาอีกครั้ง

ทันทีที่เห็นฉีเล่ยนั่งสุขสบายบนเก้าอี้พลางจิบชาราคาแพงของบ้านตน ในแววตาคู่นั้นของชูซินฮังแทบจะลุกเป็นไฟ เขาพุ่งเข้าไปคว้าจอกชาในมือฉีเล่ยทันที และสบถด่าขึ้นว่า

“คิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ?! ทำไมยังกล้านั่งเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีก! คิดจริงๆเหรอว่าตระกูลชูของฉันจะให้ของขวัญอะไรแก? แล้วอีกอย่างนะ พี่สาวของฉันก็ไม่ตาต่ำถึงขนาดจะเอาแกเป็นเขยบ้านนี้!”

มีหรือที่คนหัวรั้นอย่างเขาจะยอมโดนลากออกไปง่ายๆ? พอถูกปู่ตัวเองไล่ออกไป เขาก็แอบกลับเข้ามาใหม่ และยืนดักฟังอยู่หลังเสาภายในห้องโถง ทั้งยังได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนอย่างชัดเจน

หลังจากได้ยินว่า ฉีเล่ยปฏิเสธข้อเสนอจากปู่ของเขา ชูซินฮังก็รีบออกจากห้องโถงไปด้วยความหงุดหงิดทันที และต้องการกลับมาหาทางแก้แค้นไอ้หมอนี่ โดยที่ไม่ได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองต่อจากนั้น

ในสายตาของชูซินฮัง ฉีเล่ยก็แค่ผู้ชายหน้าหล่อคนหนึ่งเท่านั้น

ในสายตาของชูซินฮัง ทักษะด้านการแพทย์ของฉีเล่ย ก็แค่มือสมัครเล่นทั่วไป ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงด้วยซ้ำ

ในสายตาของชูซินฮัง ฉีเล่ยคนนี้ไร้น้ำยาสิ้นดี

ดังนั้น การที่ได้เห็นไอ้คนไร้น้ำยาอย่างฉีเล่ย วิ่งมาเกาะแข้งเกาะขาสกุลชู ชูซินฮังจึงจำเป็นต้องออกโรงขับไล่อีกฝ่ายให้ไสหัวไปให้จงได้

ก่อนหน้านี้ฉีเล่ยมองชูซิงฮังในแง่ดีไม่น้อย ที่ถึงขนาดออกตัวเข้ามาปกป้องพี่สาวของตนเอง หากเขาเป็นอีกฝ่าย ก็คงทำเช่นเดียวกัน ใครจะอยากให้พี่สาวตัวเองได้ครองคู่กับผู้ชายไร้คุณสมบัติกันล่ะ

แต่ในเวลานี้ เขากลับคิดแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ทั้งๆที่ฉีเล่ยบอกไปแล้วว่า ตัวเขาแต่งงานแล้ว เรื่องระหว่างชูซินซูกับเขาเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แต่แทนที่เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้จะยอมรามือ พร้อมเดินมาขอโทษที่เข้าใจผิด กลับยังจะมาก่อกวนสร้างปัญหาแก่เขาไม่รู้จบ

นี่เหรอ…สันดานคนรวย?

ในโลกใบนี้ ต่อให้พวกเขาจะมีเงินมากมายมหาศาลแค่ไหน หรือมีทุกอย่างที่ปรารถนา แต่ถึงแบบนั้น ก็ไม่ควรคุกคามสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นตามใจชอบ อย่างเช่นเหตุการณ์ในขณะนี้

ระหว่างจับจ้องชูซินฮังที่ยืนอยู่ต่อหน้า เงาสาดสะท้อนจากนัยน์ตาคู่นั้นของฉีเล่ย พลันเผยให้เห็นถึงความผิดหวังโดยสมบูรณ์

เดิมทีไอ้ฉันก็คิดว่า การได้ย้ายออกจากเมืองเล็กๆอย่างหนานหยาง คงจะมีโอกาสได้สัมผัสโลกกว้างที่ผู้คนมีพื้นฐานจิตใจสูงส่งกว่านี้ แต่ที่ไหนได้ สรุปสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าสันดานของมนุษย์จะเหมือนกันไปหมดสินะ โดยเฉพาะกับพวกคนมีเงินมีอำนาจ คนพวกนี้มักจะสันดานต่ำตมเป็นพิเศษ

ก็แค่หนุ่มน้อยที่ร่ำรวยคนหนึ่ง ขนาดพวกบอดี้การ์ดที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูรั้วคฤหาสน์ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับหนุ่มน้อยตรงหน้า?

ในครั้งนี้ ฉีเล่ยไม่คิดจะบ่ายเบี่ยงอีกต่อไปแล้ว

หลังจากสถานการณ์ทุกอย่างได้พัฒนามาถึงขั้นนี้ ฉีเล่ยเองก็อยากเห็นเช่นกันว่า พวกตระกูลชั้นสูงที่เรียกตัวเองว่า มหาเศรษฐีหรือผู้ทรงอิทธิพลเหล่านี้ จะมีความสามารถสักแค่ไหนเชียว!

เขาปรายตามองถ้วยชาในมือที่ชูซินฮังแย่งไปเมื่อครู่ ฉีเล่ยแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า

“รินชาให้ผมด้วยสิ”

ชูซินฮังคาดไม่ถึงเลยว่า ฉีเล่ยจะกล้าสั่งให้ตัวเองรินชาให้แบบนี้ แค่คิดก็อดที่จะโมโหไม่ได้แล้ว เขาตะคอกเสียงดังลั่นว่า

“นี่แก!”

ฉีเล่ยเหลือบมองด้วยหางตาอีกแวบหนึ่ง

“อะไร? หูหนวกตั้งแต่อายุยังน้อยเลยรึไงครับ? ผมสั่งให้รินชา แค่นี้ทำไม่ได้เหรอครับ?”

ชูซินฮังแสยะยิ้มด้วยความโกรธ

“นี่นาย! นายกล้าสั่งฉันจริงๆเหรอ?!”

ฉีเล่ยกล่าวต่ออย่างไม่แยแส

“ผมเป็นถึงผู้มีบุญคุณของตระกูลชูเชียวนะครับ กับอีแค่รินชายังทำให้ไม่ได้ หรือคนตระกูลชูจะเป็นพวกลืมบุญคุณกันง่ายขนาดนี้?”

ชูซินฮังยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเล่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทันที

“นี่แก…แก…”

ฉีเล่ยกล่าวต่อน้ำเสียงเรียบนิ่ง โดยไม่แยแสสนใจอาการหัวร้อนของชูซินฮังเลยสักนิด

“หุบปากแล้วรินชาให้ผมซะ”

พอเห็นว่าชูซินฮังยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหว ฉีเล่ยจึงยิ้มกล่าวต่อว่า

“ไม่เป็นไร หลังจากกลับไป ผมคงต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นหน่อยแล้ว ธาตุแท้ของคนตระกูลชูก็แค่พวกอกตัญญู ลืมบุญคุณคนอื่น”

“….ได้! ฉันจะรินชาให้เอง! จะให้นายดื่มจนตายกันไปข้างเลยล่ะ!”

ชูซินฮังโมโหแทบเป็นบ้า แต่ก็ยังกระแทกถ้วยชาลงบนโต๊ะดังปัง และเดินไปที่ห้องครัวเพื่อหยิบใบชามาเพิ่มให้

“จำไว้ ตอนนี้ผมเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลชู”

ฉีเล่ยตะโกนไล่หลังไป น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

“หัดปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณดีๆหน่อย แล้วอย่าเอากาน้ำมาฟาดกันล่ะ”

ชูซินฮังเดินเข้าไปหยิบใบชา เนื้อตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นเมื่อได้ยิน มือข้างหนึ่งที่กำลังหยิบกาน้ำชาใบอยู่ถึงกับชะงักไปชั่วขณะ

ไอ้หมอนี่มันอ่านความคิดคนอื่นได้รึไง?

“มันเกินไปแล้ว! ฉันจะคอยดู! แกยังจะอวดดีแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน! รอพี่สาวฉันกลับมาก่อนเถอะ เตรียมโดนเธอจัดการได้เลย!”

ชูซินฮังแอบพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ขณะใส่ซองชาลงไปในกา จากนั้นจึงค่อยๆรินน้ำชาใส่ถ้วยใบหนึ่ง และนำไปเสิร์ฟด้วยความโมโห

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset