ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 68 ฉันอนุญาต

ตอนที่68 ฉันอนุญาต

จากประสบการณ์การฝังเข็มก่อนหน้า ทำให้ครั้งนี้ดูคุ้นเคยไม่ประหม่าแล้ว

หลี่ถงซีเปลี่ยนเป็นชุดนอนสวมใส่สบายและฉีเล่ยเองก็จับจุดฝังเข็มลงทั่วร่างเธอได้อย่างชำนาญมือ ทั้งจุดไท่จง ซงตู ซางเมิง ฉีเมิง ทั้งหมดล้วนเป็นจุดด่านประตูพลังชีวิตทั้งสิ้น

บรรยากาศคราวนี้ไม่น่าอึดอัดแบบครั้งแรก แต่สำหรับจุดฝังเข็มสุดท้ายที่ใกล้กลับบริเวณส่วนซ่อนเร้นและเนินอกของหลี่ถงซี เธอยังคงอดเก้อเขินไม่ได้อยู่ดี ใบหน้าแปรเปลี่ยนแดงระเรื่อโดยไม่ตั้งใจ

เพื่อทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัดนี้ หลี่ถงซีจึงพยายามเลี่ยงโดยการหยิบยกหัวข้อขึ้นมาสนทนาทันควัน

“คุณปู่บอกฉันว่า คุณจะไปเป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีนในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง?”

“ใช่ครับ วันนี้เขาพาผมไปพบกับหัวหน้าภาคหลินแล้ว”

ฉีเล่ยกล่าวตอบขณะลงเข็มอย่างระมัดระวัง

“งั้นพวกเราก็ถือเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว”

“เพื่อนร่วมงาน? นี่คุณสอนสาขาแพทย์แผนจีนด้วยเหรอ?”

“ไม่ ฉันสอนสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน”

ฉีเล่ยพยักหน้าพลางชี้นิ้วไปที่เนินอกตูมดุจกระต่ายขาวคู่ใหญ่ของหลี่ถงซีและกล่าวขึ้นว่า

“เรียบร้อย สวมชุดได้แล้ว”

“หื้ม? เสร็จแล้วเหรอ?”

หลี่ถงซีร้องอุทานคำหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตระหนักได้ว่าการฝังเข็มรอบใหญ่ที่กินเวลานานกว่าครึ่งวัน ยามนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ก่อนหน้านี้เธอยังต้องเปิดเนื้อหนังส่วนต่างๆให้ฉีเล่ยฝังเข็มอยู่เลย

หรือเป็นเพราะระหว่างกระบวนการรักษา เธอจมอยู่กับความคิดตอนที่พูดคุยกับคูณปู่ระหว่างมื้ออาหารเย็น เขาบอกว่า ฉีเล่ยจะไปเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเดียวกับเรา แต่เป็นสาขาแพทย์แผนจีน หลี่ถงซีจึงนำเรื่องนี้มาคุยกับฉีเลย่อีกที จนทำให้ลืมตัว รู้สึกตัวอีกทีก็ฝังเข็มเสร็จเรียบร้อย

เมื่อฉีเล่ยเก็บเข็มแต่ละเล่มลงกระเป๋า เธอก็พลันหน้าแดงก่ำรีบติดกระดุมปิดป้องบริเวณเนินอกขาวอวบอิ่มทันที จัดชุดนอนให้เข้าที่เรียบร้อยและลุกจากเตียงกล่าวว่า

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพานายไปรายงานตัวเอง”

“ราตรีสวัสดิ์”

ฉีเล่ยเงยหน้าคลี่ยิ้มบางให้ ก่อนจะเดินจากออกไปพร้อมกับสำรับเข็ม

คล้อยหลังเดินจากประตูออกไป ฉีเล่ยพลันขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ตามหลักแล้ว อาการป่วยของหลี่ถงซีไม่ควรจะดีขึ้นเร็วขนาดนี้ ดูจากพฤติกรรมการแสดงออกของเธอต่อหน้าเขากลับกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นผิดหูผิดตาจากตอนแรก เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายในตอนนี้ดูไม่เหมือนคนไข้ที่ป่วยทางจิตเท่าไหร่ และที่น่าทึ่งคือวิธีจัดการกับอารมณ์ที่ดีจนไม่น่าเชื่อ พอเห็นว่าบรรยากาศระหว่างฝังเข็มเริ่มอึดอัด ก็เป็นเธอที่รีบหาหัวข้อชวนคุย อย่ามองว่านี่เป็นเรื่องปกติ ต้องอย่าลืมว่า เธอคือผู้ป่วยทางจิต

มันไม่ควรเป็นแบบนี้

ในฐานะแพทย์ผู้รักษา ฉีเล่ยจำเป็นต้องเฝ้าสังเกตและรอบคอบเป็นพิเศษ ตอนที่หลี่ถงซีอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่นๆอย่าง หานหมิงต้า หรือนักศึกษาที่เข้ามาบ้านของหลี่ฮั่วเฉินวันก่อนเพื่อปรึกษาเรื่องโปรเจค ปฏิกิริยาการแสดงออกของเธอต่อผู้ชายเหล่านั้นยังคงเย็นชา และพยายามตีตัวห่างเหินเหมือนเคย

แล้วทำไมเธอถึงใกล้ชิดกับเขาได้โดยไม่แสดงอากัปกิริยาพวกนั้นเลย?

เรื่องที่ว่าคนไข้ตกหลุมรักหมออะไรแบบนั้น มันกำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาเองจริงๆงั้นเหรอ?

แต่ถ้าลองคิดตามดีๆมันก็เข้าเค้าอยู่…

ประการแรกคือหลี่ถงซีป่วยเป็นโรคกลัวผู้ชาย และเกลียดผู้ชายทุกคนที่เห็นหรือเข้ามาใกล้ เพื่อที่จะรักษาเยี่ยวยาอาการป่วยนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ให้เธอค่อยๆปรับสภาพจิตใจ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถติดต่อกับพูดคุยกับผู้ชายได้ตามปกติ

แต่ดูเหมือนว่า ตัวฉีเล่ยกลับเป็นตัวแปรที่แตกต่างจากผู้ชายทั่วไป

ผู้ป่วยทางจิตโดยส่วนใหญ่มักจะเก็บกักความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายในใจ เมื่อแพทย์ที่รักษาสามารถปลดปล่อยความรู้สึกคลั่งค้างเหล่านั้นออกมาได้ จึงเป็นการง่ายที่คนไข้จะตกหลุมรักหรือมีความรู้สึกที่ดีต่อแพทย์ผู้รักษา

กล่าวตามตรงเลยก็คือ การรักษาอาการป่วยทางจิตของเธอ กลับเป็นตัวแพทย์เองที่ต้องแบกรับราคานั้นไว้เอง

และราคาที่ว่าก็หมายถึง การที่เธอตกหลุมรักตัวเขาเอง

“เหอะ…”

ฉีเล่ยสบถออกมาคำหนึ่งด้วยความหน่ายใจ

ทำไมทุกอย่างถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้?

เขาก็แค่ต้องการเดินทางมาที่ปักกิ่งเพื่อเป็นอาจารย์ เป็นต้นแบบให้นักศึกษาและพวกอาจารย์ทั้งหลายได้เคารพนับถือเท่านั้น แต่ตอนนี่ดูจะแตกต่างออกไป?

เมื่อกลับมาถึงห้อง ฉีเล่ยก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง หยิบมือถือโทรหาเฉินอวี้หลัว

เฉินอวี้หลัวบอกว่า เธอเพิ่งผ่านเคสผ่าตัดศัลยกรรมกระดูกครั้งใหญ่มา และทุกอย่างประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่ถึงแบบนั้นเธอยังต้องติดตามอาการของคนไข้หลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนหมอระหว่างกระบวนการรักษาไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้ป่วยเลือกที่จะเชื่อใจเธอไปแล้ว จึงไม่มีทางแน่นอนที่เธอจะลาออกเพื่อบินมาปักกิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของคนไข้ได้

ฉีเล่ยเองก็เป็นแพทย์เช่นกันจึงเข้าใจหัวอกของภรรรยาดีว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้กำลังคิดหรือกังวลอะไรอยู่ บางครั้งความไว้วางใจของผู้ป่วยที่มีต่อเรา มันก็ไม่ได้เป็นเพียงแรงบันดาลใจหรือแรงกระตุ้นเท่านั้น แต่สิ่งนี้ก็สามารถสร้างแรงกดดันได้อย่างมหาศาลให้กับตัวแพทย์ผู้รักษาเอง เปรียบเสมือนดาบสองคมภายในตัว ถ้าตัวคุณที่เป็นแพทย์และยังพอมีมโนธรรมอยู่ในจิตใจ ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา คงโทษความผิดทั้งหมดให้ตัวเองจนกลายมาเป็นตราบาปภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฉีเล่ยกล่าวตอบปลายสายไปว่า

“ทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี ฝากบอกคุณแม่ด้วยนะว่าไม่ต้องกังวลฝั่งนี้ ส่วนคุณก็พยายามดูแลในส่วนนั้นให้ดีที่สุด แล้วผมจะรอคุณที่ปักกิ่ง”

“อืม”

เฉินอวี้หลิวเอ่ยตอบขึ้นว่า

“อย่าทำงานหักโหมล่ะ พักผ่อนบ้างนะ แล้วถ้าเหนื่อยมาก…เดี๋ยวฉันจะรีบไปหาและทำหน้าที่ภรรยาที่ดีของคุณเอง”

ฉีเล่ยกล่าวติดตลกไปว่า

“ในเมืองหลวงมีแต่อะไรก็ไม่รู้ ถ้ายังไม่รีบมา มีหวังสามีคนนี้โดนผู้หญิงอื่นฉุดไปทำมิดีมิร้ายแน่เลย”

“อุ๊บ!”

เฉินอวี้หลิวกลั้นขำแทบไม่อยู่

“ถ้าถึงขนาดที่มีผู้หญิงอื่นต้องการจะแย่งสามีของฉันไป แสดงว่าสามีของฉันคงเลอค่ามาก…มากซะจน…ฉันไม่คู่ควร…”

ฉีเล่ยสวนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

“หยุดพูดแบบนั้นได้แล้ว! นี่คิดจะผลักไสกันเหรอ?”

เฉินอวี้หลิวกล่าวเสียงอ่อนปนเศร้าสร้อยว่า

“ฉันเคยทำเรื่องเลวร้ายกับนายมาตั้งมาก แต่นายก็ยังอยู่เคียงข้างฉันด้วยความจริงใจเสมอมา นี่มันไม่ถูกต้องเลย ฉัน…ฉันสมควรต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อขึ้น ถ้า…ถ้านายอยากจะมีก็ได้นะ…สักคนสองคน หรือ..สามหรือสี่…ถ้านายมีความสุขฉันก็โอเค ฉัน…ฉันอนุญาต”

“นี่หมายความว่ายังไง? ชดใช้งั้นเหรอ?”

“อืม”

เฉินอวี้หลิวกล่าวต่อว่า

“จำครั้งสุดท้ายที่เราไปเที่ยวกันได้ไหม? นายบอกจะพาฉันไปซ่านย่า บอกฉันว่าจะพาไปมัลดีฟ ไม่ว่านายอยากไปที่ไหนหรือ…กับใครฉันก็ไม่ว่านะ แต่…แต่…ให้ฉันไปด้วยคนได้ไหม? อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว…แต่ฉันก็เป็นภรรยาคนหนึ่งที่อยากได้ความรักจากสามี…แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี…”

ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“ผมรักแค่คุณคนเดียว ที่รัก…”

“หื้ม?”

“ผมคิดถึงคุณ”

“ฉันเองก็คิดถึงนายเหมือนกัน”

“แต่ฉัน…ฉันได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ควรทำกับนายลงไปแล้ว ฉันเป็นภรรยาที่ไม่ได้เรื่องเลย”

เฉินอวี้หลัวกล่าวต่อว่า

“ฉันก็แค่ผู้หญิงโง่คนหนึ่ง ไม่สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่นายได้เลยสักอย่างตลอดแปดปีมานี้ ดังนั้นนายไปหาสิ่งที่ดีและมีความสุขให้กับตัวเองเถอะ ถ้ามี…ถ้ามีผู้หญิงที่ดีกว่าและรักตัวนายจริงๆ ฉัน…ฉันก็ไม่ห้ามหรอกนะ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบทันที แม้น้ำเสียงฟังดูนุ่มลึกสงบนิ่งแต่กลับเยือกเย็นเกินพรรณนา

“นี่คุณ…กำลังบอกเลิกผมใช่ไหม?”

เฉินอวี้หลัวตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังดังนั้น

“ไม่! ไม่ใช่นะ! ฉันแค่หมายถึง…ฉันแค่หมายถึง…ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามนายได้ ฉันอยู่ไม่ได้หรอกถ้าปราศจากนาย ที่รัก…ไม่ว่าในอนาคตจะมีผู้หญิงอื่นสักกี่คน แต่อย่าทิ้งฉันเลยจะได้ไหม?”

น้ำเสียงปลายสายโทรศัพท์กำลังร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก ราวกับลูกแมวจรที่โดนปล่อยทิ้งไว้กลางสายฝน

“แล้วทำไมผมต้องทิ้งคุณด้วย? ไม่ว่าอีกสักกี่สิบปี คุณก็ยังเป็นภรรยาเพียงคนเดียวที่ผมรัก อย่าพูดแบบนี้อีกเข้าใจไหม? ถ้าคุณแม่ได้ยินเข้าจะทำยังไง? พูดอย่างกับว่าผมกำลังนอกใจอยู่จริงๆ?”

แต่ทันใดนั้นเสียงปลายสายโทรศัพท์ก็พลันเปลี่ยนไปกะทันหัน ปรากฏว่าเป็นสุ้มเสียงของซูชางฉิน

“ฉีเล่ย แม่ได้ยินทุกอย่างหมดแล้วนะ แม่เป็นคนบอกเธอเอง ไม่ต้องห่วงทางนี้ ทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขไปเถอะ ขนาดฮ่องเต้ในสมัยก่อนยังมีสนมเอก สนมรอง แถมยังมีนางบำเรออีกนับไม่ถ้วน แล้วทำไมนายจะทำไม่ได้กันล่ะ? ก็ถือเป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้ายังมีได้ก็แสดงว่านายยังแข็งแรง…”

 ตู๊ด ตู๊ด…

ฉีเล่ยกดตัดสายทิ้งทันที

เขาทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว

เป็นอะไรกันไปหมด!

บ้ากันไปแล้วรึไง!

สองแม่ลูกคู่นี้ต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถ้าไม่เสียสติจนคิดฟุ้งซ่านขนาดนี้ คงหาคำอธิบายอื่นที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ในตอนนี้ไม่ได้อีกแล้ว

ฉีเล่ยวางมือถือไว้ข้างเตียงและนอนพลิกตัวไปมา กระสับกระส่ายคิดไม่ตกเช่นนี้ตลอดทั้งคืน

ส่งผลให้เขานอนหลับไม่สนิทเท่าที่ควร ทั้งยังฝันถึงเฉินอวี้หลิว หลี่ถงซี แถมยังมีชูซินชูอีกด้วย…

จนคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวเข้ามาในฝันของฉีเล่ยก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก บรรพบุรุษตระกูลเฉิน เป็นคนเดียวกับที่ถ่ายทอดทักษะการแพทย์ปาฏิหาริย์ให้แก่เขา

ชายชราลูบเครายาวพลางกล่าวกับฉีเล่ยว่า

“เป็นยังไงล่ะ? ข้าบอกแก่เจ้าตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า คล้อยหลังที่ตัวเจ้าได้รับสืบทอดทมมรดกต่อจากข้า ชีวิตของเจ้าจะเปรียบดั่งขึ้นสวรรค์! ข้าไม่ได้โกหกเจ้าเลยเห็นหรือไม่? เจ้าในตอนนี้มีความสุขเหลือล้น!”

ฉีเล่ยยืนอึ้งพูดไม่ออก

“…”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset