ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 70 เหอจื่อ

ตอนที่70 เหอจื่อ

“ถ้าไม่สามารถแบกรับผลความล้มเหลวที่จะตามมาได้ ก็อย่าเอาตัวเข้าไปในเกมชีวิต เพราะถ้าเข้ามาแล้ว ก็อย่าโลกสวยคิดว่าศัตรูจะกลับกลายมาเป็นมิตรหรือยอมไว้ชีวิตคุณ ในทางตรงข้าม ถ้าศัตรูจนตรอกก็ควรจัดการให้เด็ดขาด เมื่อใดที่รู้สึกสงสาร ตัวคุณจะโดนลอบฟันข้างหลังทันที”

หลี่ถงซี่พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว เหมือนเธอจะถูกคำพูดของเขากระตุ้นเข้าอย่างจัง

ระหว่างทางเดินไปยังอาคารแพทย์แผนจีน หลี่ถงซีและฉีเล่ยพลางสนทนากันเป็นภาพฉากที่ดูสนิทสนม และนี่เป็นอะไรที่แปลกตาคนอื่นอย่างยิ่ง ตลอดทางยาวทั้งคู่จึงกลายมาเป็นจุดสนใจของบรรดานักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาจำนวนไม่น้อย บ้างถึงกับกระซิบกระซาบกันไม่หยุดหย่อน บางคำพูดฟังดูแล้วไม่รื่นหูเอาซะเลย

“เอ๊ะ? นั่นไม่ใช่‘อาจารย์ปิง’หรอกเหรอ? นี่ไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”

“นั่น…นั่นมันอาจารย์ปิงจริงๆ เธอกำลังเดินอยู่กับผู้ชาย?”

“แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? ดูแล้วอย่างกับนักศึกษาใส่สูทเลย…”

“….”

ฉีเล่ยลอบฟังเสียงกระซิบกระซาบกันตามทาง พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านครึ่งค่อนมหาวิทยาลัยและในที่สุดก็มาถึงอาคารแพทย์แผนจีน

ตรงหน้าเป็นตึกอาคารแพทย์ศาสตร์สาขาการแพทย์แผนจีน ทั้งสองเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นสาม หลี่ถงซียืนชี้ไปตรงทางเดินด้านในสุดและกล่าวว่า

“ห้องด้านในสุดจะเป็นห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน ไปรายงานตัวเถอะ ฉันต้องไปสอนแล้ว”

“ขอบคุณมากครับ แล้วจำที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านะครับ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น โยนมาให้ผมเลย เดี๋ยวที่เหลือจัดการเองครับ”

ฉีเล่ยเหลือบหางตามองหลี่ถงซีอยู่แวบหนึ่งพร้อมกล่าวย้ำเตือนเธออีกครั้ง

เขาทราบดีว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้

“อืม”

หลี่ถงซีเหลือบมองด้วยหางตากลับพร้อมพยักหน้าตอบ จากนั้นเธอก็ขอตัวและเดินลงบันได

……….

เนื่องจากได้รับรายงานมาจากหัวหน้าภาคหลินแล้ว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีคนนี้จึงค่อนข้างสุภาพกับฉีเล่ย

ก่อนอื่นเลย เขาเริ่มอธิบายภาพรวมเกี่ยวกับสาขาแพทย์แผนจีนในปัจจุบันให้ฟัง จากนั้นจึงค่อยถามฉีเล่ยว่าเขาถนัดด้านไหนที่สุด จะได้นำในจุดนั้นมาประยุกต์กับจุดแข็งของเขา เพื่อตัดสินใจคัดเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมให้เขาไปสอน

ทีแรกฉีเล่ยต้องการจะตอบเชิงสุภาพกลับไป แต่หลังจากครุ่นคิดพินิจอีกครั้ง เขาก็แจ้งไปทันทีว่า ตนเคยมีประสบการณ์ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงต้องการรับหน้าที่สอนวิชา‘เทคนิคแพทย์แผนจีนและการใช้ยา’โดยตรง

เดิมทีหัวหน้าคณะอาจารย์ซีคิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้ยังอายุค่อนข้างน้อยน่าจะเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ น่าจะให้ความสำคัญกับวิชาด้านทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ อย่างเช่น วิชาประวัติศาสตร์พัฒนาการแพทย์แผนจีน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า อีกฝ่ายจะเลือกวิชา‘เทคนิคแพทย์แผนจีนและการใช้ยา’แบบนี้เลย

หลังจากกรอกเอกสารต่างๆจนเสร็จสมบูรณ์ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็เสนอตัวเดินไปส่งฉีเล่ยที่ห้องเรียนแรก แต่กลับโดนปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากจะรบกวนจนเกินไป จากนั้นฉีเล่ยก็ถือหนังสือที่เพิ่งได้รับมา เดินตรงไปยังห้องเรียนที่408 ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าภายในห้องเรียน มีนักศึกษาจำนวนหลายสิบคนกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ไม่มีใครสังเกตเห็นอาจารย์คนใหม่เดินเข้ามายืนหน้าห้องเลยสักคน ฉีเล่ยย่างเท้าก้าวเข้ามาไร้สุ้มเสียงราวกับกรวดหินแผ่นบางเสียดผิวทะเลสาบไร้ระรอกคลื่น

จนกระทั่งเดินมาถึงหน้ากระดาษดำ นักศึกษาแต่ละคนจึงเพิ่งสังเกตเห็นเป็นชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงิน ใบหน้าหล่อเหลา ผนวกกับเสื้อสีสดใสข้างในช่วยเสริมให้ดูภูมิฐานยิ่งขึ้น แต่กลับไม่มีใครคิดเลยว่าเขาจะเป็นอาจารย์

เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน ฉีเล่ยก็เลยวางกองหนังสือเรียนไว้บนโต๊ะหน้าห้อง จากนั้นก็เดินไปลากเก้าอี้ชั้นเรียนแถวแรกมานั่งพักผ่อน

ด้านข้างของเขาเป็นสาวสวยสวมหมวกเบสบอล ผมสีดำสลวยถูกรวบไปปกคลุมบนไหล่ข้างหนึ่ง รูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ถ้าสังเกตดูให้ดีเธอเหมือนตุ๊กตาพอร์ซเลนที่ลูกผู้ดีอังกฤษนิยมเล่นกัน ดูไม่ใช่ผู้หญิงแต่งตัวจัดสักเท่าไหร่ รวมไปถึงการแต่งหน้าแต่งตาด้วยเช่นกัน เพียงทารองพื้นมาบางๆเท่านั้น ดูสวยแบบเป็นธรรมชาติ

หญิงสาวนั่งอยู่ข้างซ้ายมือของฉีเล่ยดูมีท่าทีเปิดเผย หากมองผ่านๆภาพฉากนี้ดูลวงตาไม่น้อย เสมือนกับว่าเธอตัวสูงกว่าเขาเสียอีก

แน่นอนว่าสาเหตุที่เธอสูงกว่าเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้นั่งตำแหน่งหลัง ในขณะที่ฉีเล่ยนั่งห่อไหล่เล็กน้อย แผ่นหลังเอนไปพิงกับเก้าอี้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริงสาวสวยคนนี้ก็ไม่ใช่ว่าเตี้ยเลย มองด้วยสายตาผ่านๆอย่างน้อยก็น่าจะสูงประมาณ170ซม.ขึ้นไป

หญิงสาวคนนี้สวมเสื้อสเวตเตอร์สีแดง กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปาก มีเป่าเป็นลูกโป่งสีชมพูพองใหญ่อยู่สองสามรอบ พร้อมเสียงแตกดัง‘ป๊อป’ เธอกำลังสวมหูฟังสีขาวฟังเพลงดูท่าทางกำลังเพลิดเพลิน

เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งข้างๆวันนี้ดูไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตา หญิงสาวก็หยิบหูฟังออกและเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า

“นายเป็นใครน่ะ? เรียนอยู่ในคลาสเดียวกับเราด้วยเหรอ?”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มตอบ

“ผมเพิ่งมาใหม่น่ะ”

เมื่อเห็นชายหนุ่มส่งยิ้มให้ หญิงสาวคนนั้นก็หัวเราะ จากดวงตาคู่กลมสวยประดุจอัญมณี ถูกบีบจนหรี่เล็กเป็นทรงเรียวคล้ายกับเสี้ยวจันทร์สวย เธอยิ้มตอบไปว่า

“ฉันเหอจื่อ จะเรียกว่าเสี่ยวจื่อก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จัก!”

“เหอจื่อ? ชื่อฟังดูเพราะมากเลยครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

“ก็นะ…แม่บอกว่าตอนที่คลอดฉัน หมอดูทักว่า‘ลูกของเธอมาพร้อมความสามารถแห่งการรักษาและบรรเทาโรคภัย’”

พอเหอจื่นเล่ามาถึงจุดนี้ก็แกล้งดัดเสียงเป็นคนแก่เหมือนหมอดู จากนั้นก็กล่าวต่อว่า

“คิดอะไรไม่ออกแม่ของฉันก็เลยอยากตั้งชื่อตามสมุนไพร แล้วบังเอิญว่าพ่อของฉันสกุลเหอพอดี ฉันก็เลยได้ชื่อว่า เหอจื่อ”

พลางได้ฟังความขี้เล่นของหญิงสาว ฉีเล่ยก็อดยิ้มไม่ได้และกล่าวว่า

“คุณเป็นคนตลกดีนะ”

‘ป๊อป’เหอจื่อเป่าหมากฝรั่งเป็นลูกโป่งอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า

“แล้วฉันก็น่ารักด้วยนะ บางทีหมอดูคนนั้นอาจจะพูดถูก แต่ก่อนจะไปช่วยใคร ฉันต้องเรียนให้จบก่อนนะ ฮ่าฮ่า…”

น่ารักดูเป็นมิตรจริงๆ แม้แต่ความคิดเองก็ยังน่ารัก

“ว่าแต่นายชื่ออะไร?”

“ฉีเล่ย”

จู่ๆเหอจื่อก็ยกมือขึ้นมานับนิ้วใหญ่และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฉีก็คือก้อนหินหนึ่งก้อน ส่วนเล่ยก็เท่ากับสามก้อน ชื่อของนายหมายความว่ายังไงอ่ะ? ก้อนหินสี่ก้อนงั้นเหรอ? จะพยายามสื่อว่า ตัวเองแข็งแกร่งดั่งภูผาอะไรแบบนั้น?”

หลังจากพูดจบยังไม่ทันเปิดโอกาสให้ฉีเล่ยเอ่ยปากอะไรตอบ เหอจื่อก็กล่าวขึ้นแสดงความเห็นของตัวเองไปทันทีว่า

“งั้นฉันเรียกนายว่า ฉีเล้ยเล่ย นะ จะได้มีหินครบเจ็ดก้อน ดูหนักกว่าหกก้อนตั้งเยอะ อิอิ”

ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้ามุกตลกของเธอคนนี้ พลางคิดกับตัวเองในใจว่า ทำไมไม่ถึงตั้งชื่อให้เขาใหม่ว่า ฉีเล้ยเล่ยเล้ยเล่ยเล้ยเล่ย….ไปเลยล่ะ คงสร้างเหมืองหินได้พอดี

แต่แทนที่จะเล่นมุกตอบเธอกลับไป เขากลับก้มหน้าก้มตาพลิกหน้าหนังสืออ่านอย่างตั้งใจแทน หัวหน้าคณะอาจารย์ซีอุตส่าห์ปล่อยให้เขามาสอนทันทีตั้งแต่เริ่มงานวันแรก นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไว้วางใจในตัวเขาขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกศิษย์ของตนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดีกว่าที่จะเลือกเพิกเฉยต่อคำพูดของพวกเขา

เมื่อเหอจื่อสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งข้างๆหยุดสนทนากับเธอไป และก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ เธอก็ชะโงกหน้ามาดูเล็กน้อยและเปลี่ยนเรื่อง เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่ๆ ฉันได้ยินมาว่า อาจารย์คนใหม่ที่จะมาสอนวิชา‘การวินิจฉัย’เข้าสอนวันนี้เป็นวันแรก นายรู้ข่าวรึยัง?”

“อ่อ ผมรู้แล้วครับ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบและพลิกหน้าหนังสืออ่านต่อไป

“เห๊~? ทำไมนายข่าวเร็วจัง? ฉันคิดว่าตัวเองรู้คนแรกเลยนะเนี่ย”

เหอจื่อถอนหายใจทอดเสียงยาวด้วยความเศร้าใจ ก่อนหน้านี้เธอมั่นใจอย่างมากว่า ตัวเองรู้ข่าวเป็นคนแรกของห้อง แต่ที่ไหนได้ กลับมีชายหนุ่มที่นั่งข้างๆดันรู้ก่อนเธออีก นี่เป็นอะไรที่ชวนตกใจจริงๆ

ฉีเล่ยหยุดจ้องหน้าหนังสือเล็กน้อย หันมากล่าวต่อว่า

“แต่ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”

ใช่แล้ว หนึ่งในวิชาเสริมของหมวด‘เทคนิคแพทย์แผนจีนและการใช้ยา’ก็คือ วิชา‘การวินิจฉัย’ และเขากำลังจะเริ่มสอนวิชานี้ในอีกไม่ช้า

เหอจื่อเอนหลังพิงเก้าอี้ ยกมือทั้งสองข้างประสานไว้หลังศีรษะ แหงนมองเพดานห้องเรียนอย่างว่างเปล่าพลางกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่รู้ว่าอาจารย์คนนี้จะทำได้หรือเปล่านะ ถ้าทำไม่ได้อีกก็คงโดนพวกเรารับน้องจนโดนไล่ออกอีกแหงๆ”

“โดนรับน้อง?”

ในที่สุดฉีเล่ยก็ถอนสายตาออกจากหนังสือเรียนและปิดลงทันที หันไปมองเหอจื่อและเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ใช่ พวกเราไล่ออกไปสองคนแล้ว เหอะ เหอะ…ก็จะให้ทำไงได้? กล้ามาหลอกนักศึกษาอย่างเราแถมยังทำตัวอวดฉลาด ทั้งที่เนื้อในกลับไม่มีดีอะไรเลย เป็นนายจะยอมทนให้คนแบบนั้นมาสอนรึไงล่ะ?”

ท่าทางการแสดงออกระหว่างที่เธอกล่าวออกมาดูจะภูมิใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าแผนการทั้งหมดที่ไล่อาจารย์พวกนั้นออกไปเป็นฝีมือของเธอเอง

ฉีเล่ยเอ่ยถามต่อว่า

“พวกเขามาตรฐานต่ำขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ต่ำมาก ขนาดตอบคำถามพวกเรายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับอาจารย์คนล่าสุด ดันวินิจฉัยว่าเพื่อนร่วมคลาสของเราเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ที่ไหนได้ดันเป็นโรคบิด เล่นซะเพื่อนคนนั้นเกือบรักษาไม่ทัน”

ฉีเล่ยลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“คนแบบนี้ยังมีหน้าเป็นอาจารย์ได้อีกเหรอ?”

“ป๊อป! ใช่ไหมล่ะ?”

เสียงหมากฝรั่งลูกโป่งแตกดังขึ้นอีกครั้ง เหอจื่อค่อยกล่าวตอบเชิงเห็นพ้องกับอีกฝ่าย ขณะเดียวกันริมฝีปากของเธอกลับเปื้อนหมากฝรั่งเหนียว จนต้องรีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดทันที ดูไปดูมาเธอเป็นคนน่ารักมีเสน่ห์ไม่น้อยเลย

ฉีเล่ยจับจ้องไปทางอีกฝ่ายและกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“ไม่ต้องห่วง อาจารย์คนใหม่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset