ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 74 มู่เซียวหยาน! ฉันกำลังมีความรัก!

ตอนที่74 มู่เซียวหยาน! ฉันกำลังมีความรัก!

ตั้งแต่แรกเริ่มจวบจนตอนนี้ สีหน้าการแสดงออกของหลี่ถงซียังคงเรียบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน

เธอเอาแต่จับจ้องไปยังชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินที่เคยซื้อให้อย่างตั้งอกตั้งใจ เขาดูหล่อมากเลย

คำพูดของฉีเล่ยที่ดุนักศึกษาเหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู ที่ว่า ‘เศษเงินต่อเดือนที่ได้มาจากกระเป๋าพวกคุณ มันน้อยจนผมไม่เห็นค่ามันด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่อยากมากสอนล้วนมาจากจรรยาบรรณและเจตจำนงของตัวผมเอง’ ประโยคดังกล่าวเปรียบเสมือนคมมีดที่ทิ่มแทงทะลุขั้วหัวใจ

หลี่ถงซีรู้สึกอย่างกับว่ามีบางอย่างได้กระทบหัวใจของเธอโดยตรง

มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างมาก

ฉีเล่ยรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่า มีคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่จากนอกห้องเรียน แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร ตราบใดที่มีใครก็ตามเข้าใกล้ในรัศมี50เมตร ต่อให้อีกฝ่ายจะตีนเบาแค่ไหนหรือกลั้นหายใจ เขาก็จะรู้ตัวทันที

ฉีเล่ยหันศีรษะส่งยิ้มให้หลี่ถงซีที่แอบมองอยู่ด้านนอกเล็กน้อย ก่อนจะหันมากล่าวกับนักศึกษาว่า

“ตอนนี้ผมจะให้โอกาสพวกคุณได้เลือกเอง จงจำเอาไว้นะครับว่า พวกคุณมีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าเลือกที่จะให้ความร่วมมือกับผม ผมเองก็จะตั้งใจสอนพวกคุณอย่างสุดความสามารถ แต่หากเลือกที่จะออกจากห้องเรียน ก็อย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก ต่อให้ในอนาคตพวกคุณกลับตัวกลับใจแล้วก็ตาม หรือยังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีก ผมจะไล่พวกคุณออกไปทันที”

“ทักษะทางการแพทย์ของผมมันไม่ใช่ของราคาถูกพอที่จะขอร้องให้พวกคุณต้องเรียน ผมต้องการแค่คนที่มาด้วยใจจริงเท่านั้น”

ทุกคนนั่งเงียบไม่มีใครต้องการเดินจากห้องเรียนไปสักคน

ทันใดนั้นนักศึกษาหนุ้มคนนั้นก็กวาดสายตามองไปโดยรอบและตะโกนขึ้นว่า

“มีใครอยากออกไปพร้อมฉันบ้าง! ไปเดินห้างกัน! เดี๋ยวฉันเลี้ยงสเต็กพวกนาย!”

ในอดีต เขามักจะชอบตะโกนชวนเพื่อนๆ โดดเรียนอยู่เป็นประจำ และทุกครั้งก็จะมีพวกเพื่อนๆ ร่วมชั้นพยักหน้าตอบด้วยความดีอกดีใจ ท้ายที่สุดแล้ว มีนักศึกษาไม่มากนักที่มีฐานะมากพอจะกินสเต็กร้านหรูได้ ทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะได้กินของแพงๆ

อย่างไรก็ตามแต่…ครั้งนี้เขาจำต้องผิดหวัง เพราะไม่มีใครตอบรับเขาเลยสักคน

นักศึกษาชายคนนั้นได้ค้นพบสิ่งที่ตนเองหวาดกลัวที่สุดแล้ว นั้นคือการถูกทอดทิ้งจากเพื่อนร่วมชั้น

ทว่าเขาไม่แม้แต่เลือกที่จะโทษตัวเองด้วยซ้ำ กลับหันหน้าจ้องตาฉีเล่ยเขม็งและกรนเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า

“ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น คอยดูได้เลย!”

“เชิญ”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มให้เป็นคำตอบและเดินออกไปเปิดประตูห้องเรียนให้

“เชิญออกครับ”

นักศึกษาหนุ่มคนนั้นเอื้อมมือไปดึงแขนแฟนสาวอย่างแรงด้วยความโกรธจัด เขาต้องการออกจากที่บ้าๆ แห่งนี้ไปพร้อมกับเธอ ทว่าสุดท้ายกลับถูกแฟนสาวสะบัดมืออย่างแรงพร้อมตะคอกใส่ว่า

“ฉันไม่ไป! ฉันยังอยากเรียน! ถ้าอยากออกก็ออกไปคนเดียวเถอะ!”

“ได้! ได้! ได้เลย! พวกมึงทั้งหมดคอยดูเถอะ!”

นี่เป็นครั้งแรกของนักศึกษาหนุ่มคนนี้ที่ถูกแฟนสาวปฏิเสธ เขาลุกขึ้นยืนพร้อมชี้หน้าด่าทุกคนด้วยถ้อยคำหยาบคาย พลางรู้สึกเสียดายเงินไม่น้อยที่ผ่านมาต้องเสียเพื่อเลี้ยงสุนัขไม่เชื่องแบบนี้

“พล่ามเสร็จรึยังวะ! รีบๆ ไสหัวออกไป! คนอื่นเขาจะเรียนกัน!”

นักศึกษาหนุ่มร่างกำยำทรงสกินเฮดที่เอ่ยปากท้าทายอาจารย์ฉีเล่ยก่อนหน้า ตอนนี้กลับแปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายเดียวกับฉีเล่ยโดยสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้เขามีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับสิวที่ขึ้นเยอะเป็นพิเศษ จนสุดท้ายได้อาจารย์ฉีเล่ยช่วยวินิจฉัยและบอกว่า เกิดจากการทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ พร้อมเขียนใบสั่งยาให้เสร็จสรรพ

นักศึกษาหนุ่มคนนี้ชี้หน้าใส่นักศึกษาหนุ่มร่างกำยำทรงสกินเฮด แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเจออีกฝ่ายถกแขนเสื้อเบ่งกล้ามใส่ก็ถึงกับผวารีบวิ่งจากออกไปด้วยความโมโห

หลังจากที่อีกฝ่ายได้จากออกไปแล้ว ฉีเล่ยก็ปิดประตูห้องและเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า

“มีใครอยากจะออกอีกไหม? ถ้าไม่…นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกคุณคือลูกศิษย์ของผม และผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตอันสดในของพวกคุณทุกคน”

“อาจารย์ ผมไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ ต่อให้โดนอาจารย์กระทืบจนตาย!”

“ใช่แล้วครับ! ไม่ใช่ว่าสมองพวกเรามีแต่ศักศรีไร้สาระ พวกเราพยายามอย่างหนักตลอดสามปีที่ผ่านมาในช่วงมอปลาย ทั้งหมดก็เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ดังนั้นใครบ้างไม่อยากเรียนทักษะและประสบการณ์จากแพทย์ที่มีฝีมือจริงๆ แบบอาจารย์!”

“เอ่ออ…อาจารย์ค่ะ อาจารย์ไม่เพียงแค่เก่ง…แต่ยังหล่อมากอีกด้วย หนูขอแค่ได้เจอหน้าอาจารย์ทุกวันก็มีความสุขแล้วค่ะ อิอิ”

“….”

ฉีเล่ยที่ได้ยินว่า หลายคนอยากเรียนรู้ทักษะและฝีมือของเขายังพอทำเนา แต่จะมาเรียนเพราะอยากเจอหน้าเขาแบบนี้มันแปลกๆ อยู่นะ เขาส่ายหัวพลางยิ้มขื่นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้และกล่าวว่า

“ก็อย่างที่บอกไป ยังออกไปตอนนี้ทันนะ เพราะเกณฑ์การวัดคะแนนของผมค่อนข้างโหด ถ้าใครทำคะแนนปลายภาคเรียนได้ไม่ถึง90%ขึ้นไป ผมก็จะไล่พวกคุณออกไปอยู่ดี”

“เอ่อ…”

“อาจารย์ ไม่โหดเกินไปหน่อยเหรอครับ?”

“โหอาจารย์! ละเว้นผมสักคนได้ไหม? ทั้งชีวิตผมยังไม่เคยทำคะแนนได้เกิน90%มาก่อนเลย!”

ท่ามกลางเสียงประท้วงของบรรดานักศึกษา ฉีเล่ยเคาะกระดาษดำเสียงดังสนั่นคลาส ก่อนตวาดน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นว่า

“เงียบ! สำหรับเรื่องนี้ไม่มีผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น! ผมก็เลยถามพวกคุณก่อนยังไงว่า จะเลือกทางไหน!”

“สิ่งที่พวกคุณกำลังเรียนอยู่ในขณะนี้คือการแพทย์แผนจีน!”

ฉีเล่ยกล่าวต่อว่า

“คนเรียนสายคำนวณถ้าตอบผิดก็ยังแก้คำตอบได้ คนเรียนสายศิลปะ ถ้าโครงร่างไม่สมบูรณ์ยังเปลี่ยนเฟรมวาดใหม่ได้ หรือแม้แต่คนเรียนด้านเทคโนโลยี เขียนโค้ดผิดก็ยังปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์ได้ แต่พวกคุณทุกคนกำลังเรียนการแพทย์! ถ้าพวกคุณวินิจฉัยอาการผิดพลาดและสั่งยาสุ่มสี่สุ่มห้าให้ผู้ป่วย และหากเกิดพวกเขาตายขึ้นมาจะทำยังไง! มันใช่เรื่องที่ย้อนกลับไปแก้ไขหรือเริ่มใหม่ได้งั้นเหรอ?!”

“ไม่ครับ/ไม่ค่ะ!”

บรรดานักศึกษาประสานเสียงตอบโดยพร้อมเพรียง

“ก็ดีที่ยังรู้”

ฉีเล่ยพยักหน้าและกล่าวขึ้นต่อว่า

“โยนหนังสือเรียนพวกนี้ทิ้งไปให้หมด แล้ววันหน้าก็ไม่จำเป็นต้องแบกพวกมันมาให้หนักกระเป๋าอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สิ่งที่พวกคุณทุกคนจะได้เรียนรู้ต่อจากนี้คือ แก่นแท้แห่งศาสตร์แพทย์แผนจีน!”

ปัง!

นักศึกษาทุกคนพร้อมใจกันโยนหนังสือเล่นบนโต๊ะทิ้งไปทันที และหยิบสมุดจดบันทึกของตัวเองขึ้นมาเตรียมจดสิ่งที่ฉีเล่ยกำลังจะสอนต่อจากนี้

แค่คาบแรกกับอาจารย์คนนี้ มันก็น่าตื่นเต้นเกินจะหักห้ามแล้ว

หลังจากเสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น ฉีเล่ยก็เก็บหนังสือที่นำมาจากออกไปโดยตรง

“นี่เธอ~ อาจารย์ฉีโคตรหล่อเลยอ่ะ แถมยังดูแมนเกินร้อย ฉันไม่มีทางทำคะแนนสอบต่ำกว่า90%แน่! แต่…ฉันไม่มั่นใจเท่าไหร่เลยว่าจะทำได้… เราควรทำยังไงกันดี?”

นักศึกษาสาวคนหนึ่งคว้าแขนเสื้อของนักศึกษาสาวร่วมโต๊ะข้างๆ กันทันและกรีดร้องลั่นด้วยความงองแง

“หยุดบ่นได้แล้วน่า! อาจารย์ฉีเขาหล่อจริงๆนั่นแหละ เฮ้ออ…ผู้ชายแบบนี้ไม่เหลือถึงมือพวกเราหรอก”

นักศึกษาสาวสาวอีกคนจากโต๊ะข้างๆ กล่าวตอบ

“นี่พี่เซิง พี่คิดว่าโห่วเจียนจะทำอะไรอาจารย์ฉีไหมหลังจากนี้? พวกเราต้องระวังหมอนั่นให้ดี ต่อไปมันอาจทำเรื่องที่คาดไม่ถึงกับอาจารย์ฉีก็ได้นะ!”

ทันใดนั้นนักศึกษาสาวสามคนนั้นก็วิ่งขึ้นมาตรงแถวเรียนที่นักศึกษาหนุ่มร่างกำยำทรงสกินเฮดนั่งอยู่

ชายหนุ่มร่างกำยำทรงผมสกิลเฮดคนนี้มีชื่อว่า จินเซิง เขาส่ายหัวและตอบว่า

“เออ ก็ลองดูสิ ถ้าหมอนั่นกล้า ฉันนี่แหละจะเป็นคนหักขามันให้พิการเลยคอยดู!”

พอเห็นผู้หญิงกลุ่มนั้นในคลาสทำหน้าเงาะแงะออดอ้อนพล่ามถึงความรักที่มีต่ออาจารย์ฉี เหอจื่อก็ปั้นหน้ารังเกียจและลุกขึ้นเดินจากห้องเรียนออกไปโดยตรง

หลังจากเดินจากอาคารเรียนมาแล้ว เหอจื่อก็เดินไปนั่งพักบริเวณม้านั่งริมสระบัว เธอนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสีครามอยู่สักครู่ เหมือนว่าคิดอะไรขึ้นได้จึงรีบหยิบมือถือในกระเป๋าเสื้อออกมาและกดโทรออกทันที

คล้อยหลังโทรติด เธอก็ตะโกนใส่มือถือขึ้นคำแรกทันทีว่า

“มู่เซียวหยาน! ฉันกำลังมีความรัก! นี่มันรักแรกพบชัดๆ เลย!”

ผู้หญิงที่อยู่ปลายสายผงะทันทีด้วยความตกใจและตะคอกสวนกลับไปทันทีเจือน้ำเสียงโมโหว่า

“ไอ้เด็กคนนี้! ใครสั่งสอนให้เรียกแม่ตัวเองด้วยชื่อจริงกันห๊ะ!? ถ้ายังกล้าเรียกฉันด้วยชื่อนี้อีกล่ะก็ เชื่อไหมว่าแกไม่ได้ค่าขนมเดือนนี้แน่นอน!”

“ไม่ ไม่ ไม่ ที่ผ่านมาไหนบอกให้แม่ด้วยชื่อจริงไม่ใช่รึไง?”

เหอจื่อเบะปากใส่พลางเป่าลูกโปร่งหมากฝรั่งเล่น

แม่และพ่อของเหอจื่อตกหลุมรักกันตั้งแต่ยังวัยรุ่น และตั้งท้องก่อนแต่งงานเสียอีก แม่ของเธอให้กำเนิดเหอจื่อตอนอายุแค่19ปี เวลาทั้งสองคนนี้ไปไหนมาไหน มันไม่เหมือนคู่แม่ลูกสักเท่าไหร่ แต่เหมือนพี่สาวพาน้องสาวออกมาเดินเล่นมากกว่า

เมื่อเหอจื่อโตขึ้นมาประมาณหนึ่ง เวลามู่เซียวหยานพาลูกสาวออกไปเดินเล่น เธอมักจะกำชับกับเหอจื่อล่วงหน้าตลอดว่า ให้เรียกเธอว่า ‘พี่สาว’ ไม่ก็ ‘พี่มู่’ แต่ห้ามเรียกว่า ‘แม่’ เด็ดขาด

เหอจื่อไม่พอใจอย่างมากก็เลยเลือกที่จะเรียกชื่อจริงของแม่มาโดยตลอดตั้งแต่นั้น ซึ่งแม่ลูกคู่นี้ก็มักจะทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ทว่าเหอจื่อยังคงหัวรั้นไม่เปลี่ยนใจ

จะว่าก็เป็นครอบครัวที่แปลกมาก

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset