ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 76 โกลาหล

 ตอนที่76 โกลาหล

เหอจื่อเอ่ยเสียงตะกุกตะกักขึ้นทันควัน

“อ่า…แต่…แต่อาการของแม่หนูแตกต่างจากคนอื่นมากนะคะ มันแปลก! คือ…คือหนูไม่กล้าอธิบายชัดเจนนน่ะ กลัวแม่จะอาย เอ่อ…เอ่อ…รีบๆ ให้เบอร์มาเถอะค่ะ! ถ้ามีอะไรเดี๋ยวหนูโทรไปถามเอง!”

เหอจื่อตัดสินใจโกหกหน้าด้านๆ ออกไปตามตรง เธอคิดกับตัวเองว่า จะยังไงก็เถอะ วันนี้ฉันต้องได้เบอร์อาจารย์! ส่วนที่ว่าจะกล้าโทรหาไหมหลังจากนี้ค่อยว่ากัน!

แม้ฉีเล่ยจะดูสงสัยไม่น้อยเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของเด็กสาวตัวน้อย ทว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดเช่นกันนอกจากเอ่ยปากบอกเบอร์ของตัวเองกับเหอจื่อ

“เดี๋ยวๆ”

เหอจื่อหยิบมือถือออกมาอย่างรวดเร็ว

“ทวนใหม่อีกครั้งทีค่ะ”

มุมปากฉีเล่ยพลันกระตุกขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยทวนขึ้นว่า

“13xxxxxxxx”

เหอจื่อรีบฟังพลางกดเบอร์ตามที่ได้ยิน หลังจากบันทึกเสร็จสรรพก็เก็บมือถือลงตามเดิม เธอคลี่ยิ้มหวานกล่าวขอบคุณทันที

“ขอบคุณค่ะอาจารย์ ถ้าแม่หนูอาการกำเริบขึ้นมาอีก หนูค่อยโทรหานะคะ บ๊ายบาย”

ทันทีที่พูดจบ เด็กสาวก็สวมหูฟังกลับเข้าหูของเธอ หมุนตัวกลับเข้าห้องเรียนไป ก่อนจากยังหันมาโบกมือให้ฉีเล่ยดูราวกับว่าวันนี้เป็นวันที่ดียิ่ง

เมื่อเห็นร่างเพรียวเรียวสวยของเหอจื่อกลับเข้าห้องเรียนไป ฉีเล่ยพลันส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้

สาวน้อยคนนี้ทำอะไรตรงไปตรงมา พูดจาค่อนข้างฉะฉานมีขวานผ่าซากเล็กน้อยราวกับเด็กผู้ชาย แต่เมื่อผนวกเข้ากับความน่ารักและซุกซนตามภาษาวัยรุ่นแล้ว เธอกลับดูมีเสน่ห์เหลือล้น

หลี่ถงซียังมีคาบสอนต่อตอนบ่ายสอง ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจขึ้นรถออกไปจิบกาแฟข้างนอก พอใกล้ถึงเวลาเข้าสอนค่อยขับกลับมานั่งพักต่อในห้องพักอาจารย์

ก่อนหน้านี้ หลี่ฮั่วเฉินเคยบอกกับฉีเล่ยว่า เขาต้องการจะมอบตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ให้ แต่เรื่องนี้กลับถูกหัวหน้าภาคอย่างหลินหมิงซางคัดค้าน มันไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าภาคหลินไม่เชื่อมั่นในความสามารถของฉีเล่ย ทว่าเป็นเพราะหัวหน้าภาคหลินกลัวว่า การที่มอบตำแหน่งสูงขนาดนี้ให้ฉีเล่ยที่เพิ่งมาสอนได้แค่วันเดียว อาจจะทำให้บรรดาอาจารย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ และนั้นอาจทำให้การทำงานของฉีเล่ยลำบากยิ่งขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะถูกกีดกันโดยอาจารย์คนอื่นๆ

ส่วนตัวฉีเล่ยเองก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เขาต้องการมาที่นี่เพื่อมอบความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ ไม่ใช่เพื่อลาภยศ

ซึ่งโต๊ะทำงานของฉีเล่ยถูกทิ้งร้างมาสักพักแล้ว เจ้าของคนเก่าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากอาจารย์วิชาการวินิจฉัยคนก่อนที่เพิ่งโดนไล่ออกไป ปัจจุบันมีอาจารย์อยู่ในห้องพักไม่ถึง6คนด้วยซ้ำในช่วงเช้า อาจารย์พวกนี้ถ้าไม่มีคาบสอนโดยส่วนใหญ่มักจะไม่เดินทางมามหาวิทยาลัยให้เสียเวลาเปล่า เพราะแทนที่จะเสียเวลานั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องเฉยๆ สู้พวกเขาออกไปรับจ้างตรวจคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเล็กๆ เพื่อหารายได้เสริมไม่ดีกว่าเหรอ?

นอกจากนี้เอง มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งเองก็ยังมีโรงพยาบาลในเครือของตัวเองอีกด้วย มีอาจารย์หลายคนที่ควบสองหน้าที่ในเวลาเดียวกัน ไม่ได้เป็นแค่อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังเป็นแพทย์ที่ออกตรวจอยู่ในโรงพยาบาลในเครืออีกด้วย เพียงว่า อาจารย์ที่อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นหาได้ค่อนข้างยากในสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้

“น้องฉี วันแรกของการสอนเป็นยังไงบ้าง? ปกติดีใช่ไหม?”

อาจารย์ในวัย50เดินเข้ามาไถ่ถาม

ในช่วงพักระหว่างคาบสอนตอนเช้า หัวหน้าคณะซีได้เข้ามาแนะนำอาจารย์คนอื่นๆ ให้ฉีเล่ยได้รู้จักในฐานะเพื่อนร่วมงาน ชายแก่ที่กำลังไถ่ถามอยู่ตอนนี้สกุลซง เขาเป็นอาจารย์สอนวิชา ‘สารานุกรมสมุนไพร’ และเนื่องจากลุงซงคนนี้อาวุโสที่สุดในหมู่อาจารย์ทั้งหมด ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างให้หน้าเขา นอกจากหัวหน้าคณะซีแล้ว คนที่มีอำนาจรองลงมาก็คือเขานี่แหละ

ฉีเล่ยเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบไปว่า

“ก็ดีครับ”

เขาสังเกตเห็นสีหน้าของอาจารย์ซงที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเยาะเย้ย แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามปกปิดแค่ไหนก็ตาม

“เด็กสมัยนี้ค่อนข้างก้าวร้าว ถ้าพูดยากก็ไม่ต้องไปสนใจมักหรอก อาจารย์สองคนก่อนหน้าน้องฉีที่มาสอนวิชา ‘การวินิจฉัย’ ก็ถึงขั้นโดนเด็กพวกนี้กดขี่จนลาออก นายเองก็ระวัง อย่าไปเข้าใกล้กับเด็กพวกนั้นมากล่ะ ไอ้เด็กพวกนี้มันชอบลองภูมิ ไม่ไหว ไม่ไหว”

บนผิวเผิน สีหน้าการแสดงออกของตาลุงคนนี้กำลังปลอบฉีเล่ยอยู่ก็จริง แต่เบื้องหลังคำกล่าวเหล่านี้กลับกำลังเยาะเย้ย คล้ายจะบอกว่า ความสามารถของฉีเล่ยมันไม่เพียงพอที่จะไปสอนพวกเด็กๆ เหล่านั้นได้ ทางที่ดีอยู่ห่างๆ เอาไว้จะดีกว่า

ฉีเล่ยวางหนังสือในมือลง เขาเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายพลางหัวเราะตอบไปว่า

“ก็ไม่นะครับ ผมว่าพวกเขาเป็นเด็กน่ารักตั้งใจเรียนกันมาก”

“ฮ่าฮ่า ก็ดี ก็ดี ยังหนุ่มยังแน่นมีพละกำลังสู้กับพวกเด็กๆ ไหวอยู่นั่นแหละ”

ตาลุงซงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มที่หาใช่รอยยิ้มจากใจจริง จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับอาจารย์อ้วนท้วอีกคนที่อยู่ข้างๆ ว่า

“เสี่ยวหม่า ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอะไรนะ? อาจารย์คนไหนที่มีข่าวฉาวกับลูกศิษย์ตัวเอง?”

หัวข้อสนทนาเรื่องผู้หญิงโดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในหมู่ผู้ชาย แม้แต่ในมหาวิทยาลัยเองก็ไม่เว้น

“โอ้? อาวุโสซงเองก็สนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ? อืมม…ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอาจารย์คนไหน?”

อาจารย์หม่าปั้นหน้าดูครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่รู่เช่นกันว่าทำไมสีหน้าของเขาดูน่ากลัวแปลกๆ จนอยากจะรู้เลยว่า เวลาอาจารย์คนนี้สอนอยู่หน้าห้องเขาเป็นยังไง?

ตาลุงซงขมวดคิ้วแน่นกล่าวว่า

“อาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็เยอะเหลือเกิน แกคิดว่าใครล่ะ?”

“หุหุ ถ้าจะให้เดาคงต้องมุ่งเป้าไปที่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดล่ะนะ”

“หลินชูวโม่หรือไม่ก็หลี่ถงซี? พวกเธอทั้งคู่ล้วนแต่เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้คงเดาได้ไม่อยาก เพราะบุคลิกของทั้งคู่แตกต่างโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งดูกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ตลอด ส่วนอีกคนตีตัวออกจากสังคมอย่างเดียว สำหรับเรื่องฉาวแบบนี้คงเดาได้ไม่ยาก”

อาจารย์หม่าหัวเราะ

“ถ้าเป็นหลินชูวโม่ ปฏิกิริยาท่าทางของทุกคนจะแสดงออกมารุนแรงแบบนี้เหรอครับ? ไม่ใช่ว่าเธอเปลี่ยนหนุ่มควงทุกสัปดาห์อยู่แล้วเหรอ?”

“ถ้างั้น…ก็อาจจะเป็นหลี่ถงซี?”

น้ำเสียงของตาลุงซงดูตกใจอย่างยิ่ง

อาจารย์สาวทั้งสองคนนี้ล้วนมีชื่อเสียงที่สุดแล้วในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ในด้านความสวย และแน่นอนว่าทุกคนยังลือกันไปถึง บุคลิกของดอกไม้งามทั้งสองที่แตกต่างกันสุดขั้ว

หลินชูวโม่เป็นสาวสวยโปรไฟล์จบจากต่างประเทศ ว่ากันว่าชีวิตรักของเธอค่อนข้างเปิดกว้างแบบชาวตะวันตก เธอเปลี่ยนแฟนรายสัปดาห์ยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับหลี่ถงซีสุดขั้ว เธอปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่พยายามเข้าใกล้ โดยเฉพาะในระยะหลังขนาดผู้หญิงเองยังไม่ค่อยชอบให้เข้าใกล้ ใครก็ตามที่เข้ามาคุยกับเธอเกินสามครั้ง ในคราที่สี่หลี่ถงซีจะเริ่มขมวดคิ้วใส่เผยสีหน้ารังเกียจออกมาแล้ว ไม่ว่าเพื่อนคนนั้นจะหน้าด้านแค่ไหน ก็ยังไม่อาจทนต่อความเย็นชาของเธอได้

ดังนั้นแล้ว ถ้าจะพูดว่าใครกันที่สร้างข่าวจนเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นได้ขนาดนี้คงหนีไม่พ้นหลี่ถงซี เพราะถ้าเป็นหลิวชูวโม่ที่ควงหนุ่มไม่เคยซ้ำหน้าคงไม่มีใครให้ความสนใจด้วยซ้ำ

เดิมทีฉีเล่ยไม่เคยกังวลหรือสนใจกับบทสนทนาของเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนนี้นัก แต่พอได้ยินว่าเป็นเรื่องของหลี่ถงซีออกจากปากพวกเขา ฉีเล่ยก็แกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในขณะที่หูก็ตั้งใจฟังพวกเขาสองคนคุยกัน

“น่าจะใช่ แถมผมยังได้ยินจากเพื่อนที่สอนสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันอีกว่า ตอนนี้ทุกคนในสาขานั้นทั้งอาจารย์ทั้งนักศึกษาพูดกันจ้าละหวั่น ว่ากันว่าแฟนหนุ่มของหลี่ถงซีน่าจะอยู่ในหมู่พวกเขานี่แหละ จนถึงขั้นเสนอราคาสูงเป็นรางวัลสำหรับคนที่จับได้ว่า ใครกันที่กล้าแย่งเทพธดาของพวกเขาไป!”

“ห่ะ? ขนาดนั้นเชียวเหรอ? สมัยนี้ผู้ชายดีๆ มันหายากนักรึไง ถึงได้ไปเอาลูกศิษย์ตัวเองแบบนี้ แย่จริงๆ”

“โถ่ว อาวุโสซง ล้าสมัยมากเลยนะครับรู้ไหม เพิ่งใช้อินเทอร์เน็ตเป็นใช่ไหมครับถึงได้พูดแบบนี้? ว่ากันว่าอาจารย์สมัยนี้ทั้งมีข่าวออกเดตทั้งกอดทั้งจูบกับนักเรียนของตัวเองก็เยอะแยะเต็มไปหมด อาจารย์บางคนถึงขั้นมีเมียแล้วก็ยังจับเด็กสาวเป็นกิ๊กก็ยังมี!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉีเล่ยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เลย

ข่าวที่มีอาจารย์คบหากับนักเรียนสาวเป็นกิ๊กทั้งๆ ที่ตนมีภรรยาอยู่แล้ว เรื่องนี้ฉีเล่ยไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือ ทำไมปมปัญหาชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งต้องกลายมาเป็นขี้ปากของคนพวกนี้?

หลี่ถงซีไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไง?

ตราบเท่าที่ได้แก้แค้นหลี่ถงซี ซูเสี่ยวหยานไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำว่าข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่ถูกบิดเบือน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset